Skip to content

เจ้าของร้านพิศวง 128

128 : ลองสกัดความรู้ของผมสิ

หลินเจี๋ยให้มูเอนปลด ‘ชุดเกราะส่วนตัว’ ของพวกคนที่นอนแอ้งแม้งกับพื้นออก หลังจากเกราะใบหน้าถูกปลดออกไป ก็เห็นได้ว่าผู้บุกรุกที่น้ำตานองหน้าพวกนี้ยังถือว่าเด็กกันอยู่ทั้งนั้น

เป็นอย่างที่เขาสงสัย ฮู้ดที่ขึ้นชั้นสองไปเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ อายุเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ ยี่สิบปี ดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็นแก๊งวัยรุ่น

ทว่าจุดประสงค์ที่น่าขำอย่าง ‘ขโมยหนังสือ’ นั้นลดโทสะที่หลินเจี๋ยมีลงเล็กน้อย

หากเจ้าพวกนั้นตั้งใจจะบุกเข้ามาแล้วปล้นบ้านคนด้วยปืน หลินเจี๋ยก็คงสั่งสอนพวกเขาว่าเป็นคนดีๆ เขาทำยังไง แทนที่จะมัดพวกเขาแล้วอยากชวนคุยอย่างเป็นกันเองแบบนี้

ฮู้ดที่ได้รับการปฏิบัติด้วย ‘อย่างเป็นกันเอง’ เขาหลบสายตาจากชิ้นส่วนชุดเกราะที่ถูกปลดออกอย่างโหดร้ายบนพื้นแล้วมองคมดาบที่คอของเขาเอง

พวกนักวิชาการกับนักเวทนั้นคล้ายคลึงกันตรงที่พวกเขาต่างพึ่งพาอำนาจภายนอกในการควบคุมอีเธอร์โดยไม่ฝึกฝนร่างกายของพวกเขาเป็นพิเศษ คุณภาพทางกายภาพของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น อย่างมากก็มีความแข็งแกร่งทางกายภาพเทียบเท่าระดับผิดปกติ

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่แกะที่รอถูกเชือด

ยิ่งกว่านั้น ในตอนที่ฮู้ดได้มองเพื่อนฝูงที่เจ็บปวดทรมานของเขาดีๆ เขาก็ตระหนักถึงความจริงที่โหดร้ายว่ามันไม่ได้เกิดจากการโจมตีจากมนุษย์ประดิษฐ์เลย

ไม่มีบาดแผลทางกายภาพเลยสักแผล แล้วพวกเขาก็โหยหวนพร่ำเพ้อฟังไม่ได้ศัพท์พลางอาเจียนในขณะที่ข่วนขูดตัวเองไปทั่วราวกับเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว

นี่…ดูเหมือนความพยายามที่ล้มเหลวในการปล้นความรู้ และวิญญาณของพวกเขาก็กำลังได้รับผลข้างเคียง

ฮู้ดมองเพื่อนพ้องของเขาอย่างกังวลใจสุดๆ เขาพบว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น โอกาสผิดพลาดในการปล้นความรู้นั้นต่ำมากและพวกเขาแต่ละคนต่างอ่านหนังสือเพียงเล่มเดียว แล้วมันจะผิดพลาดไปได้อย่างไรกัน?

อีเธอร์คือหน่วยเงินของเลือดและวิญญาณ เป็นสิ่งที่สื่อถึงเส้นทางการพัฒนาอีเธอร์สองสาย

ในฐานะนักวิชาการที่เด่นเรื่องวิญญาณ จำนวน ปริมาณและพลังวิญญาณของพวกเขาสูงกว่านักเวทส่วนใหญ่ไปมาก

มีคำกล่าวว่านักวิชาการที่ดีจะเป็นนักเวทที่ดีได้แน่นอน แต่นักเวทที่ดีไม่จำเป็นว่าจะเป็นนักวิชาการที่ดีได้

ในสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว มีสองเหตุผลที่จะเกิดความล้มเหลวเมื่อเป็นเรื่องของการปล้นความรู้

อย่างแรกคือความรู้ที่ปล้นมามีสิ่งที่อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปไกลโข เช่นความรู้ต้องห้าม ความรู้โบราณหรือความรู้ชั้นสูงที่เกินกว่าที่วิญญาณของพวกเขาจะรับไหวมาก

ในกรณีเหล่านี้ ผลกระทบจะรุนแรงกว่าและอาจจะทำให้วิญญาณของพวกเขาบาดเจ็บหรือฉีกขาด รวมไปถึงก่อให้เกิดผลที่ไม่คาดฝันกับร่างกายของพวกเขาด้วย

อย่างที่สองก็คือความรู้ที่มากเกินไปจนวิญญาณไม่สามารถกักเก็บไว้ได้หมด เหมือนการกินอาหารมากเกินไป มันอาจส่งผลให้เกิดการใช้งานจิตใจเกินขนาด ทำให้เกิดการเสียความทรงจำหรือการขับความทรงจำออกในเวลาเดียวกัน

ถ้าเป็นทั้งสองเหตุผล งั้นผลของมันก็คงเหมือนเจ้าพวกนี้ที่คืบคลานไปทั่วแบบเสียสติ

นั่นก็คือจะบอกกันว่า ในร้านที่เต็มไปด้วยหนังสือนี้ ขอแค่ลองปล้นความรู้จากหนังสือสักเล่มก็เกินพอแล้วที่จะเปลี่ยนใครสักคนเป็นคนปัญญาอ่อนชั่วคราวได้

“พวกคุณมาจากสมาคมแห่งสัจธรรมกันสินะครับ?”

หลินเจี๋ยนั่งลงบนม้านั่งแล้วจ่อดาบของเขาเข้าที่คอของฮู้ดเป็นครั้งคราว

พวกผู้บุกรุกที่ถูกมัดค่อยๆ หยุดเสียงกรีดร้องโหยหวนลงทีละคน คงเป็นเพราะพวกเขาได้สติกลับมาเล็กน้อยแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็นอนแอ้งแม้งบนพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า พึมพำไม่ได้ศัพท์ มีเพียงฮู้ดที่ยังนั่งอยู่บนพื้น

ฮู้ดหดตัวอย่างขนลุก ภาพอาวุธและชุดเกราะของเขาถูกทำลายในดาบเดียวยังเป็นแผลใจของเขาอยู่

“ใช่” ในที่สุดเขาก็ตอบ

สายตาที่หลินเจี๋ยมองมาที่เขานั้นดูราวกับเขากำลังมองนักเรียนจากสถาบันมีชื่อเสียงที่ทำเรื่องลักขโมย แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการมีการศึกษาดีกับสันดานคนก็ตามที มันก็ยังแปลกอยู่ดี…

การเลือกหนทางที่เอาแต่ใจแบบนี้ในขณะที่มีทางตรงถูกปูไว้ให้แล้วนี้ช่างน่าเศร้าใจนัก

ฮู้ดคุ้นเคยกับสายตาประมาณนี้ดี สมาชิกคนอื่นในสมาคมแห่งสัจธรรมมักจะมองพวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ด้วยสายตาแบบนี้แหละ

ลึกๆ แล้วเขาย่อมรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน

ทว่าเมื่อเขาระลึกถึงคำเตือนของหลินเจี๋ยได้ เขาก็เลือกจะหุบปากอย่างว่าง่าย

แต่นี่ไม่ใช่เพราะเขากลัวหรอก

หาก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ รู้จักความกลัว พวกเขาคงไม่ถูกเรียกว่าคนบ้าได้

และคนบ้าไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโง่เง่า และคนฉลาดรู้ว่าต้องยอมสยบในสถานการณ์ใด?

ฮู้ดรู้คำพูดนี้ดี และเขาจะแค่อดทน…

หลินเจี๋ยตั้งคำถามต่อไป “พริทท์ ฮอลกับทรอลโลป รูเพิร์ด พวกคุณเคยได้ยินชื่อนักวิจัยสองคนนี้ไหม?”

ฮู้ดนิ่งงัน เขาไม่รู้ว่าร้านหนังสือจะทำอะไร

แต่ว่าเขาก็สงบตัวเองลงก่อนจะตอบ “พริทท์ ฮอลเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายการแพทย์ รูเพิร์ดเป็นหัวหน้าฝ่ายโบราณคดีคนสุดท้าย แต่เขาตายไปนานกว่าร้อยปีแล้ว”

“ทั้งฝ่ายโบราณคดีเละเทะหลังเขาตาย และไม่มีใครเต็มใจจะมาเป็นผู้นำ เพราะอย่างนั้นทั้งฝ่ายจึงถูกประธานคนก่อนของสมาคมแห่งสัจธรรมยุบไป”

ใครจะรู้ว่านักวิจัยทั้งสองจากชิ้นส่วนเอกสารนั้นที่จริงแล้วจะเป็นนักวิชาการระดับหัวหน้าฝ่าย แต่ขนาดพวกเขายังยืมหนังสือยุคมืด การรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ดเล่มนั้นไม่ได้

ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้จะมีระดับสูงจริงๆ เราต้องมองเรื่องนี้ในมุมมองระยะยาวแล้ว…

ทว่าการตายของรูเพิร์ดดูจะมีปัญหาอยู่ แม้ว่าเขาจะตายด้วยเหตุผลทางธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรถ้าจะไม่มีใครยินยอมนำทีมขึ้นมากะทันหัน หรือกระทั่งยุบฝ่ายทั้งฝ่ายไปเลย

หืม…บางทีสองอย่างนี้อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ประโยคสุดท้ายก็ดูเกินไปหน่อย

ต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่

หลินเจี๋ยตระหนักได้ว่าฮู้ดดูจะมีความปรารถนาพิเศษที่จะแสดงความรู้ของเขา เขามีสีหน้าที่ดูพอใจอย่างเป็นธรรมชาติในตอนที่เขาพูดถึงส่วนหลัง

“รูเพิร์ดตายยังไง?” หลินเจี๋ยโพล่งถามขึ้น

ฮู้ดรู้ตัวว่าเขาหลุดปากไปแล้ว จึงหุบปากไป

“ผมยังถามพวกเขาได้อีกนะ ถ้าคุณไม่อยากบอก” หลินเจี๋ยหัวเราะหึแล้วชี้ไปที่เพื่อนพ้องของฮู้ดบนพื้น

ฮู้ดแค่นหัวเราะ “พวกเขาไม่รู้หรอก”

หลินเจี๋ยลูบคาง “คุณดูจะรู้เยอะนะ”

“แน่นอน” ฮู้ดยิ้มเยาะ “ผู้แสวงหาความจริงอย่างเราๆ คือเส้นทางสู่ความจริงอย่างแท้จริง ประสิทธิภาพในการเรียนของเรามีประสิทธิภาพยิ่งกว่าใคร ตราบใดที่เราชิงความรู้ที่ต้องการมาได้ เราก็จะได้เห็นความจริงเอง!”

หลินเจี๋ยเมินเขา “ในเมื่อคุณพูดอะไรไม่ได้ ก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้”

“ขอบเขตของการขโมยความรู้คงจะมาจากคนบางคนหรือทรัพยากรบางอย่างใช่ไหมล่ะ? ผมสงสัยจังว่าใครจะให้ข้อมูลที่ลับขนาดนี้ให้พวกคุณได้…จากพฤติกรรมเกเรของพวกคุณ ดูเหมือนพวกคุณคงกลัวที่จะต้องรับผิดชอบนะครับ”

หลินเจี๋ยจ้องฮู้ดอยู่นานแล้วเผยรอยยิ้มเป็นมิตร “เจ้าฮู้ดเอ๋ย คุณดูไม่เหมือนคนระดับสูงเลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้แค่เรื่องเดียว ผู้ปกครองของคุณ…มีตำแหน่งสูงในสมาคมแห่งสัจธรรมสินะครับ”

“ว่าไงครับ ผมใช้คุณเพื่อต่อรองกับสมาคมแห่งสัจธรรมดีไหมเอ่ย?”

แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ได้จะหลอกลวงกัน ในฐานะเจ้าของร้านหนังสือผู้ซื่อตรงและใจดี หลินเจี๋ยจะทำอะไรแบบจับคนเรียกค่าไถ่ได้อย่างไรกัน

การใช้คล็อด นายตำรวจที่เขารู้จักให้จัดการกับเรื่องนี้ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการคลี่คลายเรื่องนี้ ไม่มีจุดประสงค์อื่น

สีหน้าของฮู้ดแข็งทื่อ เหลือบมองคมดาบที่เขยิบใกล้คอยิ่งกว่าครั้งไหนแล้วส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต

“ไม่เหรอ?” หลินเจี๋ยถอนหายใจ “เอาน่า ผมแค่หยอกเล่นครับ คุณนี่เป็นเด็กที่ไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย”

ก่อนที่ฮู้ดจะทันได้ผ่อนคลาย เขาก็ได้ยินหลินเจี๋ยพูดต่อ “เอาอย่างนี้ไหมครับ? ในเมื่อคุณเอาแต่พูดถึงเรื่องของผู้แสวงหาความจริง สกัดความรู้หรืออะไรเทือกนั้น ผมจะไม่ติดต่อสมาคมแห่งสัจธรรมแล้ว แต่เราสองคนจะเล่นเกมกันแทน”

“ลองสกัดความรู้ของผมสิ ผมจะปล่อยคุณไปถ้าคุณทำได้ แต่ถ้าคุณพลาด ก็ถือว่าผมยึดความรู้ของคุณไปแล้ว แล้วคุณก็จะต้องบอกผมเรื่องการตายของรูเพิร์ดแล้วกัน”

รอยยิ้มของหลินเจี๋ยกว้างขึ้น “แบบนี้เป็นไงครับ?”

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!