บทที่ 552
มีท่านอยู่ ข้าไม่กลัว 3
เคล็ดนั้นซับซ้อนเข้าใจยากยิ่งนัก โชคดีที่เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วเคยเห็น เคล็ดนี้ในส่วนท้ายของตำราพลังวิญญาณเล่มนั้น ดังนั้นเขาเพิ่งกล่าวส่วนต้นขึ้นมา เธอก็ทราบแล้วว่าหมายถึงอะไร
แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าเคล็ดนี้มีประโยชน์อะไร เธอเคยใช้วิถีของเคล็ดนี้โคจรพลังวิญญาณ รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ยามปกติจึงไม่ฝึกฝนมัน
ยามนี้พอได้ยินเขาท่องขึ้นมา จึงกระตุ้นพลังวิญญาณในร่างเดินลมปราณด้วยเคล็ดของเขาตามสัญชาตญาณ หลังจากโคจรเช่นนี้อยู่สักพัก เสียงขลุ่ยเสียดหูนั้นก็ฟังดูไม่เสียดหูแล้ว ไม่ทรมานถึงเพียงนั้นอีกแล้ว
นึกไม่ถึงว่าเคล็ดบทนี้จะมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย สามารถขจัดเสียงรบกวนระหว่างการต่อสู้ได้
กู้ซีจิ่วถอนหายอย่างโล่งอก มองไปที่สนามรบ
ในสนามรบสับสนอลหม่าน เกิดแสงหลากหลายพุ่งวูบวาบ ทำให้สายตาคนพร่ามัว
กู้ซีจิ่วทราบว่าด้วยฝีมือในปัจจุบันของตนลงไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย ดังนั้นเธอจึงยืนมองอยู่ไกลๆ
วรยุทธ์ของเธอยังอ่อนด้อย ยากที่จะได้เห็นการลงมือกวาดล้างของแต่ละคน มองออกแค่ว่าฝ่ายใดครองความได้เปรียบ
ตอนนี้คนชุดเขียวผู้นั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาปลดปล่อยเมฆหมอกเขียวขจีที่มีแรงกดดันมหาศาลออกมา ทำให้ทั้งเก้าคนที่ต่อสู้อยู่กับเขาแทบจะหายใจไม่ออก
ยามนี้เป็นเก้าคนแล้ว เนื่องจากในที่สุดทูตเฉิงเอ้อก็ตามมาสมทบ
พอมาถึงเขาก็เข้าร่วมการต่อสู้ทันที
แต่คนชุดเขียวผู้นั้นแข็งแกร่งเหลือเกิน เพิ่มทูตเฉิงเอ้อเข้าไปอีกคนก็ยังพลิกสถานการณ์ไม่ได้
กู้ซีจิ่วมองอยู่ครู่หนึ่ง ในใจค่อนข้างร้อนรน อดไม่ได้จึงเร่งรัดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนเอ้อระเหยอยู่ข้างๆ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่ลงมือหรือเจ้าคะ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์น้ำเสียงเฉยชา “ต้องให้เปิ่นจุนลงมือเองทุกเรื่อง แล้วให้พวกเขายืนลอยชายงั้นหรือ?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถือโอกาสนี้ฝึกฝนความสามารถในการต่อสู้ให้ลูกน้องงั้นหรือ?
เธอมองไปที่สนามรบอีกครา บางทีอาจเป็นเพราะสัมผัสได้ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว คนชุดเขียวผู้นั้นเลยเร่งร้อนจะหลบหนี เมฆหมอกสีเขียวรอบกายทวีขึ้นท่วมท้น ในพายุสีเขียวคลํ้าแฝงเข็มบินจากต้นไม้นับไม่ถ้วนกวาดม้วนใส่ทั้งเก้าคนอย่างบ้าคลั่ง…
เก้าคนนั้นก็เกือบจะต้านไว้ไม่อยู่ หนึ่งในนั้นวรยุทธ์ต้อยกว่าเล็กน้อย ถูกพายุนั้นกระแหกจนล้มควํ่า หลังจากล้มลงไปกองกับพื้นหากมิใช่ว่าคนข้างๆ ช่วยต้านไว้ให้เขา เกรงว่าเขาคงถูกเข็มบินสีเขียวเหล่านั้นปักจนกลายเป็นตัวเม่น!
ถึงจะเป็นเช่นนั้น บนร่างคนผู้นั้นก็ยังถูกทิ่มแทงอยู่หลายจุด โลหิตพรั่งพรูออกมาทำให้เขาแทบกลายเป็นมนุษย์โลหิตแล้ว…
คนผู้นั้นคือหนึ่งในสี่ทูตรับใช้ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะได้ออกโรงไม่มากนัก แต่กู้ซีจิ่วก็ยังรู้จักเขา
สี่ทูตรับใช้ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นอกเหนือจากส่างซั่น เฉิงเอ้อแล้ว ยังมีเฟิงสิงฉานติ้ง(เจริญภาวนา) ด้วย ผู้ที่ล้มไปกองกับพื้นก็คือ ทูตฉานติ้ง…
กู้ซีจิ่วเห็นแล้วหวาดหวั่นนัก อดจะเร่งรัดอีกหนไม่ได้ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ยามนี้ท่านควรลงมือแล้วกระมัง?”
หากเธอเก่งกาจพอ ยามนี้คงลงมือช่วยคนไปนานแล้ว
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สงบนิ่งดั่งขุนเขา เพียงหรี่ตาลงนิดๆ นํ้าเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย “เขาจะต้องเติบโต!”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างจิตใจเย็นชาเสียจริง!
กับเทวทูตทั้งสี่ที่คอยอารักขาอยู่ข้างกายเสมอเขายังเย็นชาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นที่เขาปฏิบัติต่อเธอ…
จู่ๆ หัวใจกู้ซีจิ่วก็หนาวสะท้านขึ้นมา มือกุมด้ามดาบแน่น
ทูตฉานติ้งช่างสมกับเป็นหนึ่งในสี่เทวทูต ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าสามารถลุกขึ้นมาได้ทันที ต่อสู้ต่อไป
ทูตอีกสองคนมองเห็นสหายได้รับบาดเจ็บ นัยน์ตาพลันแดงก่ำ
ทูตส่างซั่นตะโกนขึ้นมาทันที “จัดค่ายกลสี่พิธีการ!”
ทูตอีกสามคนขยับร่างให้เสมอกัน ต่างคนต่างเข้าประตำแหน่งของแต่ละคน
ทูตส่างซั่นสูดลมหายใจพลางเอ่ย “กู่ฉานโม่ พวกเจ้าห้าคนจัดค่ายกลห้าวิถึ! ไปที่ทวารโลกันต์ ย่ำตำหนักวายุ…” เขาเอ่ยคำนามติดกันเป็นชุดอย่างรวดเร็ว
กู้ซีจิ่วฟังแล้วมึนงง เนื่องจากตำแหน่งที่เขากล่าวถึงเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่กู้ฉานโม่ฟังเข้าใจ เริ่มพาคนเข้าประจำตำแหน่งทันที…