№ 30 จ้องน้องชายข้าทำไม!
หลังจากนั้น กวนสีหลิ่นตามเฟิ่งจิ่วเข้าใกล้คนพวกนั้นอย่างเงียบๆ คอยสังเกตุการณ์อยู่หลังต้นไม้ไกลๆ สักพักหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยเดินนำเขาไปด้านหน้าอย่างวางมาด เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายคงเตรียมการอะไรให้คนพวกนั้นพาพวกเขาไปด้วย กลับนึกไม่ถึง ตลอดทางเขากลับเดินผ่านบริเวณรอบๆ คนพวกนั้นไปโดยไม่ส่งเสียง และไม่ปรายตามองไปทางคนกลุ่มนั้นเลยสักนิด
แต่คนพวกนั้นพลันเห็นการปรากฏตัวของทั้งสองคน จึงระวังตัวกันขึ้นมาทันใด หลังจากผู้เป็นหัวหน้าแอบพินิจมอง ถึงจะคลายความระแวดระวังลง เพราะวรยุทธ์ของทั้งสองไม่ได้สูงมากนัก ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรสำหรับพวกเขา
ทว่าตอนนั้นเอง ก็ได้ยินพวกพ้องร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“คุณชายสาม นั่นฝูงหมาป่าขอรับ!”
เพราะเสียงร้องตกใจนี้ ทั้งสามสี่คนที่เดิมนั่งพักกันอยู่จึงเตรียมพร้อมระวังอย่างว่องไว และยามนี้เอง เฟิ่งจิ่วที่เดินไปข้างหน้าแล้วได้ยินที่พวกเขาพูดกันก็อุทานออกมา
“อะไร? ฝูงหมาป่ารึ? ที่ไหนล่ะ? ตรงไหน?” เธอถามอย่างร้อนรนพลางก็ลากกวนสีหลิ่นถอยไปรอบๆ คนพวกนั้น
“พวกเจ้าเป็นใคร? หมาป่าฝูงนั้นเป็นพวกเจ้าลากมาล่ะสิ!” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตะโกนเสียงเข้ม มองพวกเขาอย่างขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เฟิ่งจิ่วถลึงตามอง ก่อนกล่าวว่า “พวกนั้นเป็นหมาป่านะไม่ใช่ลูกแมว พวกข้าจะล่อมันให้ตามมาได้อย่างไรล่ะ? อีกอย่างถ้ารู้ว่ามีหมาป่าตามมา พวกข้าคงรีบวิ่งหนีไปก่อนแล้ว ไหนเลยจะเดินกันมาช้าๆ เช่นนี้?”
“พี่หก อย่าได้หุนหันพลันแล่นไปก่อนเลย ระวังตัวไว้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้!” ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าตะโกนเสียงทุ้มต่ำ “พวกนั้นเป็นสัตว์ร้ายหมาป่าเทา ความเร็วสูงยิ่ง ทุกคนต้องระวังด้วย”
เฟิ่งจิ่วเห็นกลุ่มพวกเขาตั้งวงล้อมป้องกันในบริเวณรอบๆ เฉกเช่นผู้ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อายุค่อนข้างน้อยได้รับการคุ้มกันอยู่ตรงกลาง เธอลากกวนสีหลิ่นเคลื่อนไปใกล้กองกำลังของพวกเขา ทว่าก็แค่เฝ้าอยู่รอบนอก มิได้เข้าไปในวงล้อมป้องกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็แลกมาด้วยสายตาขุ่นเคืองของสาวน้อยคนหนึ่งในวงล้อมป้องกัน
“ขอทานน้อย เนื้อตัวเจ้ามอมแมม ออกไปห่างๆ ข้าหน่อย!”
“น้องหญิง อย่าเสียมารยาท” เด็กหนุ่มตะโกนด้วยน้ำเสียงเคร่ง ไม่ค่อยพอใจกับความจองหองและหยาบคายของเด็กสาว
เขามองเฟิ่งจิ่วกับกวนสีหลิ่น เอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “ข้าเห็นว่าวรยุทธ์ของพวกเจ้าสองคนไม่สูง มายืนในวงล้อมป้องกันนี้เถอะ! ความแข็งแกร่งของท่านอาพวกเรากับองครักษ์เป็นถึงอันดับหนึ่ง แค่หมาป่าไม่กี่สิบตัวไม่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเรานักหรอก”
“ฮ่าๆ ไม่เลว! แค่หมาป่าไม่กี่สิบตัวเท่านั้นเอง พวกเราจะได้ออกกำลังกระดูกกระเดี้ยวพอดี” ชายร่างกายกำยำคนหนึ่งได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มก็หัวเราะเสียงดัง พลางกวัดแกว่งขวานใหญ่ในมือ “ข้าใช้แค่ขวานเดียวก็ฆ่ามันได้ตัวหนึ่งแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หัวหน้าชายวัยกลางคนส่ายหัวกับตัวเอง “เถี่ยหนิว ไม่ว่าเมื่อใดก็อย่าได้ใจจนประมาทศัตรู ระวังตัวไว้ให้ดี หากฝูงหมาป่ากระโจนมาค่อยสู้”
“ขอรับๆๆ” ชายผู้นั้นขานรับยิ้มๆ เขาจ้องมองฝูงหมาป่าที่อยู่ไม่ไกล พอเห็นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีก “คุณชายสาม ท่านก็เห็นว่าพวกฝูงหมาอะไรนี่ไม่กล้าเข้ามา! ฮ่าๆๆๆ คงกลัวข้ากันแน่แล้ว”
เฟิ่งจิ่วได้ยินคำพูดหลงตัวเองนี้ จึงหัวเราะเยาะเย้ยไปอย่างอดใจไม่ได้ ถึงค่อยพูดกับเด็กหนุ่มว่า “ขอบคุณคุณชายน้อยท่านนี้มาก พวกเรายืนอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว”
“เจ้าหนู เจ้าหัวเราะอะไร? หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่มีฝีมือพอจะทำให้ฝูงหมานั่นกลัวจนถอยไป?” ชายผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นดั่งอสูรร้าย มองเฟิ่งจิ่วเขม็งด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก
เฟิ่งจิ่วยังไม่ทันพูดอะไร กวนสีหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงเธอไปด้านหลัง
เห็นแต่เขาขวางอยู่ด้านหน้า ยืดอกขึ้นแล้วถลึงตามอง “เจ้ามองน้องชายข้าทำไม!”
…………………………………….