Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 110

№ 110 จากไปอย่างอับอาย!

เฟิ่งจิ่วตั้งรับนางไว้ก่อนแล้ว!

เห็นนางยื่นมือมาดึงผ้าคลุมหน้าเธอ จึงหลบไปด้านหลังกวนสีหลิ่นเองตามธรรมชาติ สองมือกำเสื้อด้านหลังไว้แน่น ดวงตาคู่งามกะพริบปริบๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อน้อยใจว่า “ท่านพี่ นางกลั่นแกล้งข้า”

มู่หรงอี้เซวียนข้างๆ ตื่นตะลึงเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยสง่างามสงบนิ่งเมื่อครู่ จู่ๆ จะหลบอยู่หลังพี่ชาย และเผยแววตาหมองเศร้าใจเสาะเช่นนี้ ซ้ำยังใช้คำพูดนุ่มนวลที่มีความกล่าวฟ้องอย่างคับข้องใจ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอยากปกป้องอยู่เบื้องหน้า เพื่อเป็นที่พึ่งให้นางบ้าง

พอเห็นน้องสาวสุดที่รักมาหลบอยู่ด้านหลังเขา แล้วใช้น้ำเสียงน้อยใจกล่าวฟ้องถึงการกระทำไร้มารยาทของหญิงผู้นั้น กวนสีหลิ่นจึงถลึงตามองแรง ยืดผายแผ่นอก สองมือยกขึ้นเท้าสะเอว

“เจ้าคิดจะทำอะไร? ไยจึงหยาบคายเช่นนี้? ไหนว่าเป็นลูกสาวแม่ทัพเฟิ่ง? แม่ทัพเฟิ่งชื่อเสียงเกรียงไกร จะสั่งสอนลูกสาวที่ไร้มารยาทเช่นเจ้าได้เยี่ยงไร? ข้าว่าเจ้าเป็นของปลอมแน่แล้ว!”

เสียงเขาดังมาก ในความหยาบกระด้างยังมีความอาจหาญ พอสิ้นสุดน้ำเสียง ก็ไม่รอให้เฟิ่งชิงเกอตอบโต้ เห็นคนรอบด้านมามุงดูกันไม่น้อย จึงเอ่ยเสียงดังลั่น “ท่านทั้งหลาย พวกท่านลองมาคิดดู ผู้หญิงคนนี้ไร้มารยาทใช่หรือไม่? พวกเรากับนางหาได้รู้จักกัน นางเข้ามาก็ตบข้าทีหนึ่ง ซ้ำยังจะดึงผ้าคลุมหน้าของน้องสาวข้าอีก พวกท่านคิดว่านางระรานเกินไปหรือไม่เล่า?”

เพราะเขาผายอกขึ้นขวาง เฟิ่งชิงเกอจึงไม่ถอยไม่ได้ แต่พอฟังคำพูดนั้น ในใจก็ยิ่งโกรธเคืองอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นผู้คนรอบข้านมากมายต่างชี้มือชี้ไม้มาที่นาง ส่วนมู่หรงอี้เซวียนที่นางนึกถึงอยู่ตลอด เวลานี้กลับกำลังมองสาวน้อยชุดขาวที่หลบอยู่หลังพี่ชายด้วยท่าทีหลงใหล ขณะที่ไม่ออกมายืนพูดให้นางสักประโยค ก็ยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้า

นางมองเขาแวบหนึ่งด้วยความน้อยใจและเจ็บใจ เบ้าตาแดงน้อยๆ ก่อนจะปิดหน้าเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป

“อ้าว สาวงามของท่านวิ่งร้องไห้ไปเสียแล้ว”

เฟิ่งจิ่วพูดด้วยแววตายิ้มกริ่ม เห็นมู่หรงอี้เซวียนยังคงใช้สายตาจับจ้องมาที่เธอ จึงคิดว่า พวกผู้ชายล้วนมีนิสัยน่ารังเกียจ กินของในชามอยู่ ยังคิดจะมองของในจานอีก

มู่หรงอี้เซวียนมองนางอย่างสับสน กลับไม่พูดอะไรอีก แค่ประสานมือคารวะนาง จากนั้นถึงจะสาวเท้าจากไป

“ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะ! อยู่ที่นี่ก็เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว” เธอตบๆ บ่าเขา เพื่อส่งสัญญาณให้ขึ้นรถม้า

“ก็ได้”

กวนสีหลิ่นฉีกยิ้มกว้างขานรับ มองเฟิ่งจิ่วที่กำลังขึ้นรถม้า พลันหยุดฝีเท้าลง เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เสี่ยวจิ่ว ทำไมข้ารู้สึกว่าหญิงคนเมื่อครู่เหมือนจะคล้ายคลึงกับเจ้าอยู่นิดหน่อยนะ?”

เมื่อเฟิ่งจิ่วที่แหวกเปิดผ้าม่านและกำลังจะเข้ารถม้าได้ยินคำพูดนี้ ในแววตาก็ฉายแววแปลกใจ หันกลับไปยิ้ม “เหมือนกันตรงไหนรึ?” นึกไม่ถึงว่าพี่ชายคนข้างกายที่ดูเหมือนไม่สนใจอะไร จริงๆ ก็ละเอียดถี่ถ้วนดีนี่นา!

กวนสีหลิ่นเกาหัวคิดๆ ดู “ก็รูปร่างท่าทางคล้ายกัน อารมณ์แตกต่าง แต่โครงหน้ากับดวงตาเหมือนว่าจะคล้ายกันอยู่บางส่วนนะ”

เธอยิ้มพลางเข้าไปนั่งในรถม้า แล้วกวักมือเรียกเขา “รีบขึ้นมาสิ”

“โอ้” เขาถึงจะก้าวยาวเหยียบขึ้นรถม้า เลื่อนเปิดผ้าม่านเข้าไปนั่งด้านใน

หลังจากเหลิ่งซวงด้านนอกรอพวกเขานั่งลง ถึงจะควบรถม้าไปยังบ้านตระกูลกวนต่อ

เฟิ่งจิ่วในรถม้าเก็บผ้าคลุมหน้าลง เอ่ยพลางมองเขาด้วยแววตาแย้มยิ้ม “ท่านพี่ สายตาท่านยังหลักแหลมกว่าบางคนนัก”

“ห๊า?” เขาตะลึงอยู่บ้าง ไม่เข้าใจคำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้เอามากๆ

“อีกหน่อยท่านก็รู้เอง”

เธอขยิบตาให้เขา ส่งยิ้มโดยไม่พูดอะไร และไม่คิดจะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เขารู้ในตอนนี้

…………………………………….

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!