Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 134

№ 134 สำรวจจวนตระกูลเฟิ่งยามวิกาล!

“หรือจะบอกว่า ครั้งนี้ที่ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งมีอาการคลุ้มคลั่ง ก็เป็นฝีมือซูรั่วอวิ๋นรึ?”

กวนสีหลิ่นเบิกดวงตาโตเล็กน้อย เพียงรู้สึกว่าสาวน้อยผู้นั่นช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว ในเมื่อยึดตัวตนเสี่ยวจิ่วไป กลับทำเหมือนญาติพี่น้องนางหาใช่ของตนไม่ ซ้ำยังวางแผนทำร้ายพวกเขาอีก ผู้หญิงเช่นนี้ต้องลงโทษจับหั่นเป็นชิ้นๆ สถานเดียว!

เธอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “หลังจากกลับไป ท่านปู่ไม่น่าจะจู่ๆ ก็เป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าต้องเป็นฝีมือนางแน่นอน รอพลบค่ำข้าลองเข้าไปดูแล้วค่อยว่ากัน”

“เจ้าคิดจะแอบเข้าไปในจวนรึ? แต่สถานที่เช่นจวนตระกูลเฟิ่ง ต้องคุ้มกันไว้แน่นหนามากเป็นแน่ เกรงว่าจะเข้าไปไม่ง่ายดายนัก” เขาพูดอย่างกังวลอยู่บ้าง กล่าวอีกว่า “อีกอย่าง หากถูกจับได้ นึกว่าเจ้าเป็นนักฆ่าแล้วฆ่าทิ้ง จะทำเช่นไร?”

“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ด้วยกำลังของข้าตอนนี้ จะแอบเข้าจวนตระกูลเฟิ่งก็ไม่ใช่ปัญหา” ในคำพูดเธอมีความมั่นใจ สายตาจับจ้องบนตัวเขา กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ ท่านไม่ต้องกังวลใจ ทั้งหมดรอหลังจากข้าสำรวจจวนตระกูลเฟิ่งคืนนี้ค่อยว่ากัน”

“อืม งั้นเจ้าจำต้องระวังหน่อยนะ” กวนสีหลิ่นกำชับอย่างไม่วางใจ

“นายท่าน ให้ข้าตามไปด้วยไหมเจ้าคะ? หรือจะให้คอยหนุนอยู่ด้านนอก?” เหลิ่งซวงเอ่ยปากถาม

“ไม่ต้องหรอก”

เธอลุกยืนขึ้นมา เอ่ยกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าคอยอยู่ในบ้านเถิด! ข้าจะกลับไปฝึกวิชาในห้องก่อน มื้อเย็นไม่ต้องตามข้านะ” หลังจากกำชับแล้ว พอจะหันตัวเข้าห้อง ก็หยุดฝีเท้าลง มองไปที่เหลิ่งซวง

“พี่ชายข้าจะไปลานประลองตลาดมืด สักพักเจ้าเข้าไปกำชับพวกเขาที ให้คอยดูแลเขามากๆ หน่อย”

“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงขานรับ หลังจากเห็นนางเข้าห้องไป ถึงจะมองที่กวนสีหลิ่นข้างๆ “คุณชาย ท่านจะไปลานประลองรึเจ้าคะ?”

“ถูกต้อง ข้าอยากไปลองเชิงฝีมือที่นั่นน่ะ”

น้ำเสียงเขามีความกระตือรือร้นอยากลองอยู่บางส่วน กล่าวด้วยสายตาที่มีจิตวิญญาณโลดแล่น “และข้าอยากจะเข้าสำนักดาวประดับเมฆา ดังนั้นในการประลองที่จัดทุกสามปี ข้าต้องมีชื่ออยู่ในสิบอันดับแรกของแคว้นแสงสุริยัน”

“สำนักดาวประดับเมฆาคัดเลือกผู้ฝึกทุกสามปี ตอนนี้ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งปี” ขณะที่พูด เธอก็มองเขา เอ่ยว่า “แต่ว่า ที่นั่นเคร่งครัดมาก รวมรวบยอดฝีมือจากแต่ละที่มาไว้ในที่เดียว เวลาหนึ่งปีท่านมั่นใจว่าจะเข้าสำนักดาวประดับเมฆาได้รึเจ้าคะ?”

“ข้าจะเข้าไปได้แน่นอน!” คำพูดเขาหนักแน่น ตรงหว่างคิ้วก็มีความมั่นใจเป็นที่สุด

เฟิ่งจิ่วที่กลับมาในห้องเข้าไปฝึกวิชาในห้วงมิติ ภายในห้วงมิติ กลิ่นอายพลังเร้นลับทั่วร่างหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ยิ่งหมุนยิ่งคละคลุ้ง หลังจากฝึกฝนกลิ่นอายพลังเร้นลับ ก็ยังฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้อีก จนกระทั่งเวลาตกดึกถึงจะออกมา

เธอที่เปลี่ยนใส่ชุดสีดำปิดบังใบหน้าไว้ กระดกปลายเท้าออกจากลานบ้าน ไปยังจวนตระกูลเฟิ่ง…

และตอนนี้ ในห้องโถงจวนตระกูลเฟิ่ง โคมไฟสว่างราวกับกลางวัน

เฟิ่งจิ่วที่แอบเข้าจวนมาเงียบๆ อยู่เหนือหลังคาห้องโถง ร่างกายกึ่งนอนคว่ำพลางแง้มเปิดแผ่นกระเบื้องออกน้อยๆ ก่อนจะมองทะลุผ่านช่องลงไป

เพียงเห็นว่า บนตำแหน่งที่อาวุโส หลังจากเฟิ่งเซียวที่นั่งอยู่ฟังมู่หรงอี้เซวียนทางด้านล่างซ้ายอธิบายที่มาที่ไป สีหน้าก็ซีดเผือด ฝ่ามือตบโต๊ะรุนแรงอย่างโกรธเคืองไม่สิ้นสุด ตะคอกเสียงดังด้วยความโมโห “เจ้าพูดให้ข้าฟังอีกทีซิ!”

ใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงอี้เซวียนมีความรู้สึกผิดและขออภัย ลุกยืนขึ้นมา กล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอาเซียว ข้ารู้ว่ายากนักที่ท่านจะยอมรับ แต่นี่ข้าคิดทบทวนมาอย่างดีถึงได้ตัดสินใจ และเรื่องนี้ข้าก็เคยพูดกับชิงเกอแล้วด้วย”

เห็นเขาเดือดดาล จึงกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ดังนั้นข้าจึงหวังให้ตระกูลเฟิ่งเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสนอเรื่องถอนหมั้น เช่นนี้แล้วจะทำร้ายจิตใจชิงเกอได้น้อยที่สุด”

………………………………

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!