№ 200 กอดไม่ปล่อย!
เมื่อนายท่านเหยียนเห็นเงาร่างสีแดงที่คุ้นเคย สายตาหรี่ลง รีบร้อนลอยตัวพุ่งเข้าไปรับคนไว้
เฟิ่งจิ่วกอดคอเขาไว้ตามสัญชาตญาณ ซุกหน้าอยู่ข้างศีรษะ จนกระทั่งรู้สึกปลอดภัย ถึงจะเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นสีหน้าดำมืด ก็ยิ้มหน้าเหยเก
“นายท่านเหยียน นั่น คงไม่ได้รบกวนท่านกระมัง?”
สิ้นสุดน้ำเสียง สายตาจับจ้องบนใบหน้าไร้หน้ากาก พลันรู้สึกเหมือนจะคุ้นตากับใบหน้านี้อยู่บ้าง
อิ่งอีเห็นเขาก็ยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างอดไม่ได้ ‘ทำไมถึงมีเขาอยู่ทุกที่เลยนะ? พิลึกจริงๆ!’
หนำซ้ำพอเห็นเขาตกลงมา นึกไม่ถึงว่าวินาทีแรกนายท่านก็เข้าไปรับ ราวกับกลัวเขาบาดเจ็บ ท่าทีกังวลใจเพียงชั่วครู่ อิ่งอีมองเสียจนสีหน้าซีดขาว
แย่ล่ะ! นายท่านถูกใจเจ้าเด็กนี่แล้วจริงๆ!
นายท่านเหยียนอุ้มคนในอ้อมแขนไว้ สีหน้าหมองหม่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ปีนขึ้นไปทำอะไรบนหลังคา? หากไม่ระวังเจ้าอาจถูกฆ่าเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นนักฆ่าได้ ไม่รู้บ้างรึ?”
แย่จริงๆ เลย! ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงน่าเป็นกังวลเพียงนี้?
หากเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะเขาเห็นชัดว่าเป็นนางถึงไม่โจมตีอีก มิเช่นนั้น เวลานี้ชีวิตนางคงไม่รอดแล้ว!
“เหอะๆๆ ข้าแค่ปีนหลังคาขึ้นไป ไป… ชมจันทร์! ใช่แล้ว ชมพระจันทร์!”
เธอยิ้มหน้าเหยเก เห็นตัวเองถูกเขาอุ้มไว้ในอ้อมกอด จึงเร่งรีบบอกว่า “นายท่านเหยียน ท่านวางข้าลงได้แล้วล่ะ”
ทว่าตอนนี้ สายตานายท่านเหยียนกลับจับจ้องบนแขนเฟิ่งจิ่ว ชุดแดงถูกครูดขาด แขนขาวเนียนโดนบาดเป็นรอยเลือด
เห็นสายตาเขาจ้องมองตรงแขน เฟิ่งจิ่วมองไป พอเห็นก็พูดยิ้มๆ “คงโดนกระเบื้องบาดเข้าตอนที่ตกลงมา ไม่เป็นอะไรหรอก ข้ากลับไปพันแผลเสียหน่อยก็พอ”
พูดจบ เธอก็ดิ้นรนอยากจะลงจากอ้อมแขนเขา แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับกอดเธอไว้ไม่ปล่อย ซ้ำยังใช้แววตาดุดันที่แฝงไปด้วยความโกรธเคืองมองมาเหมือนข่มขู่ ทำให้ตัวเธอแข็งทื่อไม่กล้าขยับ
คนคนนี้เป็นอะไรกันแน่? มีสาวงามหยาดเยิ้มอยู่สองคนกลับไม่สนใจ ทำไมต้องมากอด ‘ผู้ชาย’ อย่างเธอไว้ไม่วางมือ?
“นายท่านเหยียน ท่าน…”
“หุบปาก!”
เขาตะคอกเสียงเข้ม อุ้มเธอเดินไปข้างโต๊ะ เห็นหญิงสาวสองนางยังคุกเข้าอยู่ตรงนั้น อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น “อิ่งอี ส่งพวกนางกลับไปซะ!”
“นายท่าน…”
“อย่านะ!”
เฟิ่งจิ่วตะโกน มองนายท่านเหยียนที่อุ้มเธอไว้ไม่ปล่อย บอกว่า
“พวกนางมาปรนนิบัติท่านไม่ใช่รึ? ทำไมถึงไล่ไปเสียเล่า? ท่านดูสาวงามสองนางนี้สิ ท่าทางอ้อนแอ้นอรชร หน้าตางดงาม ซ้ำรูปร่างยังน่าเย้ายวนถึงเพียงนี้ ส่งกลับไปก็น่าเสียดายแย่!”
อิ่งอีมองเฟิ่งจิ่วอย่างยากจะเห็นด้วย คิดว่าคำพูดนี้ช่างกล่าวตรงกับความในใจเขา
ไม่ง่ายเลยที่นายท่านจะเอ่ยปากให้ส่งหญิงงามทั้งสองเข้ามาปรนนิบัติ ตอนนี้กลับต้องส่งกลับไป ไม่ใช่ว่าเขาวุ่นวายไปสูญเปล่ารึ?
เขายุ่งวุ่นวายไปเปล่าๆ ยังไม่เท่าไหร่ แต่ปัญหาก็คือ หากทางที่นายท่านเลือกถูกพาให้โอนเอียงไปจริงๆ นั่นจะดีได้อย่างไรเล่า?
“ปรนนิบัติ?”
นายท่านเหยียนมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง
“ใครบอกเจ้าว่าพวกนางมาปรนนิบัติข้า?”
“อิ่งอีไง!” เธอพูดโดยไม่แม้แต่จะคิด
ได้ยินเช่นนี้ นายท่านเหยียนก็กวาดมองอิ่งอีอย่างเย็นชา จากนั้น ค่อยก้มหน้ามองสาวน้อยที่อุ้มไว้ ถามว่า
“ดังนั้น เจ้าถึงแอบปีนไปบนหลังคา?”
“แหะๆ ไม่ใช่เพราะข้าไม่เคยเห็นหนึ่งมังกรสองหงส์งามนัวเนียกันหรอกนะ…”
พอพูดออกไปถึงรู้ตัวว่าไม่ถูกต้องนัก จึงรีบร้อนปิดปากไว้
อิ่งอีข้างๆ ไม่อาจทนมองต่อ ยังหยัดอยู่กับความเป็นไปได้ที่ถูกปัดลอยลิ่วไป เอ่ยปากแนะนำว่า
“นายท่าน นี่ท่าน…จะไม่ปล่อยภูตหมอลงมาก่อนรึขอรับ?”