№ 400 ไปรับคน
“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจะใช้เสน่ห์พิชิตใจนางไม่ได้หรือ ถึงต้องใช้อำนาจแคว้นเหินเวหาทำให้นางยอมจำนน?” ดวงตาดำของเขาฉายประกายจางๆ วาบผ่าน ชายตามองชายวัยกลางที่พูด ไม่ค่อยชอบใจคำพูดที่ได้ยินอย่างเห็นได้ชัด
หากโยนฐานะรัชทายาทแคว้นเหินเวหาทิ้งไป พละกำลังของเขาก็มีน้อยคนนักจะเทียบได้ มองไปในแคว้นทั้งหลาย ใครเล่าจะโดดเด่นไปกว่าเขา?
“ข้าน้อยไม่บังอาจ” ชายวัยกลางคนรีบร้อนก้มหน้าลง พูดอย่างตื่นตระหนก
“หึ!”
เนี่ยเถิงแค่นเสียงหยัน ไม่ถือสาหาความกับเขา บอกว่า “แค่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น ยิ่งสยบให้ยากข้ายิ่งสนใจ หากแค่กระดิกนิ้วพูดประโยคเดียวก็มาถึงประตูเสียเอง แบบนั้นไม่เข้าตาข้าหรอก”
“ขอรับ นายท่านพูดถูก” ชายวัยกลางคนรีบเออออคล้อยตาม
รัชทายาทแคว้นเหินเวหามาเยือน ผู้ครองแคว้นจัดงานเลี้ยงภายในวัง และเรียกคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งเข้าวังมาอยู่ด้วยโดยเฉพาะ เมื่อข่าวนี้กระจายออกไปก็นำมาซึ่งเสียงฮือฮาจากทุกฝ่าย
ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูใหญ่เฟิ่งก็เป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือน ยามนี้ถูกเรียกตัวเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนแขก พูดเช่นไรก็ล้วนทำให้ผู้คนตกใจอยู่บ้าง ต่างตะลึงกับการกระทำของผู้ครองแคว้น อย่างไรเสียแม้บอกว่าเชิญเข้าวัง แต่การเชิญหญิงคนหนึ่งเข้าวัง หนำซ้ำยังเป็นคุณหนูใหญ่เฟิ่งที่รัชทายาทแคว้นเหินเวหาอยากแต่งงานด้วย ใครจะรู้ว่านางเข้าวังครั้งนี้จะเจอเรื่องอะไรบ้าง?
หากเฟิ่งเซียวไม่หมดสติยังไม่ฟื้น ได้ยินเรื่องนี้คงโกรธเกรี้ยวไม่สิ้นสุดเป็นแน่ หากผู้เฒ่าเฟิ่งไม่หายตัวไป ต้องเข้าวังไปเจรจากับผู้ครองแคว้นแน่แล้ว ทว่าจวนตระกูลเฟิ่งยามนี้เหลือเพียงคุณหนูใหญ่เฟิ่งคนเดียว นางจะทำอะไรได้?
ไม่สู้ยอมให้รัชทายาทแคว้นเหินเวหาไปเสีย เช่นนี้ยังสามารถอาศัยบารมีของเขาคุ้มแดดคุ้มฝนให้ตระกูลเฟิ่งได้
ทุกคนในเมืองถกเถียงกันไปมา ต่างยังคงอยากรู้อยากเห็นกัน ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยมานั่งกินอาหารดื่มเหล้าในเหลาสุราที่อยู่ห่างจากจวนตระกูลเฟิ่งไม่ไกล อยากดูเสียหน่อยว่าคุณหนูใหญ่จวนตระกูลเฟิ่งจะแต่งตัวหรูหราไปร่วมงานเลี้ยงจริงหรือไม่?
ทว่า เมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ร้านค้าสองฝั่งถนนใหญ่จุดโคมไฟสีแดงส่องสว่างอยู่ด้านหน้าแล้ว ผู้คนกลับยังเห็นประตูจวนนั้นปิดสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย
“เอ๋? ทำไมไม่เห็นคุณหนูใหญ่เฟิ่งออกมาเลย หรือว่านางเข้าวังไปแล้ว?”
“จะเป็นไปได้ยังไง เข้าวังต้องผ่านตรงนี้ อีกอย่างประตูยังไม่เคยเปิดออกเลย จะเข้าวังได้อย่างไร?”
“นางคงไม่ได้ไม่คิดจะไปร่วมงานเลี้ยงหรอกกระมัง?”
“คงไม่หรอก? ผู้ครองแคว้นให้คนมาแจ้งข่าว นางจะกล้าไม่ไปรึ?”
“เหอะๆ ทำไมจะไม่กล้า? นางเป็นลูกสาวแม่ทัพใหญ่เฟิ่งเซียว ลึกในกระดูกมีความแข็งแกร่งอาจหาญ ไม่แน่นางอาจไม่คิดจะไปร่วมงานจริงๆ”
ส่วนภายในพระราชวัง เมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น บรรยากาศกลับหนาวเย็นโดยตลอด ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด แต่เพราะถึงตอนนี้แล้วคนคนนั้นที่รัชทายาทแคว้นเหินเวหาอยากพบที่สุดก็ยังไม่มา ทำให้ผู้คนทั้งหลายที่มารับแขกด้วยกันต่างค่อนข้างนั่งไม่ติดภายใต้บรรยากาศอึดอัด
“เกิดอะไรขึ้น ข้าให้พวกเจ้าส่งคนไปเร่งแล้วไม่ใช่หรือ? ถึงเวลานี้ทำไมเฟิ่งชิงเกอยังไม่มาอีก?” มู่หรงป๋อมองขันทีข้างๆ ด้วยสีหน้าถมึงทึง ไฟโทสะในใจปั่นป่วน
ขันทีคนนั้นคุกเข่าลง บอกอย่างลนลาน “ผู้ครองแคว้นโปรดใจเย็น คุณหนูใหญ่เฟิ่งอาจกำลังแต่งตัวจึงมาช้า คนที่ส่งไปรับน่าจะใกล้กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เพิ่งกล่าวจบก็เห็นทหารอารักขาที่ส่งไปรับคนที่จวนตระกูลเฟิ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา ขันทีที่คุกเข่าบนพื้นดีใจ รีบบอกว่า
“ผู้ครองแคว้น พวกเขากลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”