№ 578 ข้าต้องไปแล้ว
ทว่าเพิ่งเอ่ยออกไป เซวียนหยวนโม่เจ๋อก็โอบเอวเฟิ่งจิ่ว เรียกพลังพุ่งตัวขึ้น และหายไปต่อหน้าสองคนด้านหลัง
ฮุยหลางกับอิ่งอีมองหน้ากัน แต่ไม่ได้ตามไป
เซวียนหยวนโม่เจ๋อโอบเธอไว้ในอ้อมแขน ยามร่างกายแนบชิดติดกับอกแกร่งของเขา ได้กลิ่นกลิ่นอายบนร่างที่เป็นเอกลักษณ์ หัวใจเฟิ่งจิ่วค่อยๆ ผ่อนคลายลง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เหมือนว่าขอเพียงมีเขาข้างกาย เธอก็จะรู้สึกสงบใจได้
แม้เธอจะไม่ยอมรับ ในหัวใจก็มีบางอย่างกำลังเปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบ…
หมุนร่างบินวนคราหนึ่ง ชุดคลุมสีดำกับสีขาวเกี่ยวพันกันอยู่ท่ามกลางสายลม เขาโอบเธอลงมาเหนือยอดตำหนักที่สูงที่สุดในพระราชวัง ยามนี้ยังเป็นตอนเช้า แสงอาทิตย์จึงไม่แยงตา สายลมแผ่วกระทบใบหน้าช่างสบายยิ่ง
เห็นเขาโอบเธอมายืนตรงนี้เงียบๆ แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากอะไร เพียงใช้ดวงตาดำลึกล้ำจับจ้อง ราวกับอยากจะจดจำรูปโฉมเธอไว้ในห้วงความทรงจำ หัวใจเฟิ่งจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ก่อนจะถอยออกจากอ้อมแขนเขา และนั่งลงตามแต่ใจ ถามว่า “ท่านต้องไปแล้วหรือ?”
“ใช่ เพิ่งได้รับข่าว ต้องรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”
น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและมีแรงดึงดูดขานรับ เขามองเธอ เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หลังจากชะงักไปสักพักเขาแค่บอกว่า “กลับไปครั้งนี้อยากจะมาหาก็ไม่ง่ายดายเพียงนั้นแล้ว”
“จะกลับไปจักรวรรดินั้นหรือ”
จำได้ว่าครั้งก่อนฮุยหลางเคยบอกไว้ พวกเขาแค่จะกลับไปจัดการธุระที่ฐานทัพในแคว้นระดับหนึ่ง หากกลับไปจักรวรรดิ หนทางยาวไกลนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญกว่าคืออยากจะกลับมาอีกก็ยากยิ่ง หากไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการสร้างกลุ่มอำนาจไว้ที่นี่ เดาว่าคงไม่จากจักรวรรดิมาถึงตรงนี้
“อืม”
เขาขานรับ ดวงตาสีดำมองนางพลางบอก “กลับไปครั้งนี้ ข้าไม่อาจมาหาได้อีกหลายปี เจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ เดิมทียังอยากร่วมงานแต่งปู่เจ้า และส่งเจ้าเข้าเรียนยังสำนักศึกษาหกดารา ยามนี้ทำไม่ได้เสียแล้ว”
“อืม ข้าจะทำตาม” เธอพยักหน้าให้ น้ำเสียงชะงักไป ก่อนบอกอีกว่า “ไม่เป็นไร สำนักศึกษาหกดาราข้าจะไปเอง ส่วนทางท่านปู่ข้าจะบอกพวกเขาเสียหน่อย”
ดวงตาดำขลับของเขาสั่นไหวเล็กน้อย มองนางที่สีหน้าสงบ ถามว่า “เจ้าไม่มีอะไรจะบอกข้าหรือ?”
เฟิ่งจิ่วหันหน้ามองเขาเล็กน้อย เผยรอยยิ้มออกมา “ดูแลตัวเองด้วย”
ได้ยินเช่นนี้ ใจเขาไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ ถามว่า “ข้าคิดอย่างไรกับเจ้า หรือว่าที่ผ่านมานี้เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด?” กล่าวจบ ไม่รอเธอเอ่ยปากก็บอกอีกว่า “จากไปครั้งนี้ข้าไม่อาจมาหาได้อีก คำถามนี้เจ้าอย่าเก็บซ่อนความรู้สึกอีกเลย ตอบข้ามาเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดช่วงท้ายที่ทั้งแข็งกร้าวและเอาแต่ใจ เธอเงยหน้ามองเขา ถามว่า “หากข้าบอกว่าไม่รับ ท่านจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ?” คำพูดนี้เหมือนเฟิ่งจิ่วเคยถามไปแล้ว
ทว่า หลังจากเซวียนหยวนโม่เจ๋อได้ยินคำพูดนี้ก็มองลึกซึ้งที่นาง เอ่ยอย่างเอาแต่ใจว่า “ไม่มีทาง! เจ้าเป็นผู้หญิงที่ข้าถูกใจ จะเป็นได้เพียงผู้หญิงของข้าเท่านั้น!”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ ใบหน้าที่งดงามไร้คนเทียบแย้มยิ้มออกมา นั่นเป็นรอยยิ้มที่แสนสุขสบายใจ เป็นรอยยิ้มที่มาจากหัวใจ ทั้งงดงามและเจิดจรัสชวนให้หวั่นไหว
เขามองเฟิ่งจิ่วเงียบๆ จ้องมองนาง พร้อมทั้งจดจำใบหน้ายิ้มแย้มไว้ในห้วงความทรงจำ มองรอยยิ้มที่เบ่งบาน มองดวงตาโค้งยิ้มที่ฉายประกายบางๆ ความตึงเครียดบนร่างเขาค่อยๆ จางหายไป รู้สึกเพียงว่ารอยยิ้มที่งดงามที่สุดในโลกหล้าก็คือรอยยิ้มตรงหน้านี้…
…………………………….