№ 795 ตระกูลลึกลับ
เห็นเฟิ่งจิ่วหยุดลง ไป๋เสี่ยวมองซ้ายมองขวา ถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมไม่เดินเล่า?”
“มีค่ายกล” หลังกวาดมองโดยรอบ สายตาก็หยุดลงบนทางใต้เท้า “เริ่มจากที่นี่ถูกวางค่ายกลไว้ หนำซ้ำค่ายกลนี้ยังไม่ใช่ค่ายกลหลงทางธรรมดา”
เธอเงยหน้ามองไปเบื้องหน้า ดวงตาเผยความครุ่นคิด “ตระกูลนี้เป็นแค่ตระกูลเล็กๆ จริงหรือ?”
ไป๋เสี่ยวที่ตามอยู่ข้างกันเห็นนางคิดเรื่องไปก็ไม่รบกวน แต่มองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดหรือเปล่า เหมือนเห็นว่ามีคนบินผ่านไปบริเวณไม่ไกล แต่มองไปอีกครั้งกลับหายไปไม่เห็นแล้ว
“หรือว่าข้าตาลาย?” เขากระซิบ พร้อมขยี้ตา
“ตาลายอะไร?” เฟิ่งจิ่วถาม
“เหมือนว่าข้าเพิ่งเห็นว่ามีคน” เขากล่าว
“คน? เป็นไปไม่ได้ รอบๆ นี้นอกจากพวกเราสองคน ก็ไม่มีกลิ่นอายคนอื่น” เธอเอ่ยปาก ยังบอกอีกว่า “ข้างในนี้มีหมอก เดาว่าเจ้าคงมองผิดไป เจ้าตามติดข้าไว้ อย่าเดินหายไปในค่ายกลเชียว ค่ายกลหลงทางนี้จะเปลี่ยนไป”
“ได้ ข้ารู้แล้ว” เขาขานรับ แล้วตามติดอยู่ข้างกายนาง
เฟิ่งจิ่วคุ้นเคยกับค่ายกล ด้วยเหตุนี้จึงพาไป๋เสี่ยวเดินในค่ายกลได้โดยไม่เกิดปัญหาใดๆ ทว่าเมื่อสองคนเดินออกจากค่ายกลหลงทางนั้น ขณะกำลังจะเดินไปข้างหน้า จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูพวกเขา
“ท่านทั้งสอง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกท่านควรมา”
เฟิ่งจิ่วตกใจ พลันหันกลับไป เพียงเห็นว่าภายในหมอกฝั่งซ้ายมีร่างหนึ่งปรากฏรางๆ คนคนนั้นสวมชุดคลุมดำ ร่ายกายล้วนห่อหุ้มอยู่ภายในชุดคลุมสีดำ ดวงตาคู่นั้นราวกับน้ำนิ่งที่ไร้ชีวิต มืดมนเสียจนทำให้คนเห็นยังใจสั่นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“จะ เจ้าเป็นคนหรือผี?” ไป๋เสี่ยวสะดุ้งตกใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หลังสายตาคนคนนั้นมองผ่านบนร่างไป๋เสี่ยว เพียงหยุดลงบนร่างเฟิ่งจิ่ว “กลับไปเถอะ! พวกท่านไม่ควรมาที่นี่”
น้ำเสียงแผ่วเบานั้นยังมีความทุ้มต่ำบางส่วน ล่องลอยไปกลางอากาศ ฟังแล้วเหมือนเปล่งออกมาจากรอบๆ หากพวกเขาไม่เห็นว่าร่างนั้นยืนอยู่ตรงนั้น คงแยกแยะที่มาของเสียงไม่ได้จริงๆ
เฟิ่งจิ่วเห็นเช่นนี้ ก็ได้สติกลับมา แววตาสั่นไหวเล็กน้อย ประสานมือคารวะพร้อมเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโส พวกเรามาที่นี่ไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่อยากมาเตือนและส่งข่าวแก่จวนอันสูงศักดิ์”
คนคนนั้นมองเฟิ่งจิ่วเงียบๆ “ว่ามา”
“ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสเคยได้ยินวังกำเนิดสวรรค์หรือไม่?” เธอถามไถ่
“อืม” คนชุดคลุมดำคนนั้นขานรับ และไม่พูดอะไรอีก
เฟิ่งจิ่วเห็นท่าทาง ก็บอกเรื่องที่คนวังกำเนิดสวรรค์วางแผนยึดครองภูเขาร้อยปีไปคร่าวๆ สุดท้ายยังบอกว่า “เพราะหนึ่งในพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณ ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังหลายคน รวมถึงผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานอีกมาก หลังรู้เรื่องข้าถึงอยากเข้ามาเตือน หากกำลังคนในจวนไม่เป็นใจ ขอให้รีบหลบลี้โดยเร็วที่สุด”
“ขอบคุณมาก พวกท่านไปได้แล้ว” คนชุดคลุมดำคนนั้นกล่าว ไม่ได้จากไป เพียงยืนจ้องมองพวกเขาสองคนอยู่ตรงนั้น
“ลาก่อน” เฟิ่งจิ่วไม่ได้อยู่นาน แต่หลังประสานมือคารวะก็ลากไป๋เสี่ยวออกไป
คนชุดคลุมดำคนนั้นมองทั้งสองเดินเข้าไปในค่ายกลนั้น ไม่นานนักเงาก็หายไปตรงหน้า ถึงจะหมุนตัวจากไป
ส่วนเฟิ่งจิ่วที่พาไป๋เสี่ยวออกไปเดินในค่ายกลกลับยังขบคิดเล็กน้อย เดิมทีไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังจากมาถึงที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเห็นคนชุดคลุมดำคนนั้น ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลบนภูเขาร้อยปีนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าคงไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ เป็นแน่
…………………