Skip to content

สู่วิถีอสุรา 110

ตอนที่ 110 สายลมพัดผ่านรอยแรก

เงาคนหลับตาลง เมื่อดาราปรากฎ คนเสื้อคลุมดำแผดเสียงร้องทุ้มต่ำ พลันถอยหลังตรงเข้าไปหาปี้ถู คว้าตัวเขาเอาไว้ราวกับจะลากออกไปจากที่นี่

เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังน่ากลัวจากฟ้ากระจ่างดาวแปลกตา กลิ่นอายพลังนี้ทำให้เขาขนลุก ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี

เขาในยามนี้ไม่คิดจะจับตัวซูหมิงอีกต่อไป ในสมองมีความคิดเดียวนั่นคือหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!

ทว่าในช่วงที่เขากำลังลากตัวปี้ถู เงาคนจากแสงดาราบนท้องฟ้ากะพริบตา นัยน์ตาฉายแววน่าเกรงขามและเย็นชา เพียงแค่แววตาก็ทำให้มีเสียงระเบิดดังขึ้นในความคิดของปี้ถู ในความรู้สึกของเขา แววตาของเงาคนกลางท้องฟ้าอยู่เหนือกว่าเทพหมานชั่วร้ายแดนเหนือที่เขาอัญเชิญมาก่อนหน้านี้!

“เขาเป็นใคร!”

คนเสื้อคลุมดำจิตใจสั่นไหว ความรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ ทำให้เขาไม่สนผู้อื่นอีก ร่างเคลื่อนไหว ใต้ฝ่าเท้าปรากฎหมอกดำจำนวนมาก ก่อนหายไปกับความว่างเปล่าอย่างรวดเร็วพร้อมกับปี้ถู

แทบจะเป็นช่วงที่คนเสื้อคลุมดำกับปี้ถูหายไป เงาคนใบหน้าคล้ายซูหมิงห้าส่วนบนท้องฟ้ายกมือขึ้น ไม่ได้กำหมัด แต่นิ้วทั้งห้าหุบลง กดฝ่ามือไปทางผืนดินกว้าง

เมื่อฝ่ามือเพิ่งปรากฎ ราวกับเกิดคลื่นลมพัดผ่านไปด้านล่าง ลอยผ่านจุดที่คนเสื้อคลุมดำหายไปพร้อมกับปี้ถู มวลอากาศบริเวณนั้นบิดเบี้ยวทันที เงาคนเสื้อคลุมดำกับปี้ถูโดนดึงกลับมา ในช่วงที่สองคนปรากฎตัว ปี้ถูร้องเจ็บปวด แขนทั้งสองข้างกลายเป็นแผลเหวอะหวะ ส่วนคนเสื้อคลุมดำขวางอยู่เบื้องหน้า ยามนี้กระอักโลหิต ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายในเสื้อคลุมดูตื่นกลัว

“นี่มันขั้นพลังใดกันแน่! อยู่เหนือกว่าขั้นเซ่นไหว้กระดูกไปไกล…ผู้แข็งแกร่งจากต่างแดน หรือว่าจะเทียบเคียงกับขั้นพลังวิญญาณหมาน!”

ฝ่ามือบนท้องฟ้ามองดูเหมือนเชื่องช้า ทว่าความจริงแล้วกลับกดลงอย่างรวดเร็ว ทิศทางคือจุดยืนของปี้ถูและคนเสื้อคลุมดำ เกิดเสียงดังก้องกังวาน วินาทีที่ฝ่ามือกดลง คนเสื้อคลุมดำแผดเสียงร้องแหลม มือหนึ่งคว้าตัวปี้ถูด้านหลัง จากนั้นส่งพลังเข้าไปในกาย พลันโยนเขาไปทางฝ่ามือ

ปี้ถูไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย ชนกับฝ่ามือในพริบตาเดียว พลังที่คนเสื้อคลุมดำใส่มาในร่างกายพลันปะทุ ทั้งตัวเขามีเสียงดังสนั่นพร้อมกับระเบิดกระจาย แรงกระแทกมหาศาลเหมือนจะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทว่า…..

ฝ่ามือกลับไม่หยุด เหมือนกับว่าพลังเมื่อครู่อ่อนแอเกินกว่าจะสนใจ มันทะลวงผ่านแรงระเบิดจากปี้ถู ตรงเข้าหาคนเสื้อคลุมดำ

คนเสื้อคลุมดำตาแดงก่ำ เขาไม่อาจหลบได้ พลันยกสองมือขึ้น กระดูกสันหลังชิ้นที่สิบสามของเขาปะทุพลังมหาศาล หลอมรวมกับแขนทั้งสองข้าง ก่อนกดไปทางฝ่ามือที่กำลังเข้าประชิดตัว

เสียงระเบิดดังก้องกังวานอีกครั้ง คนเสื้อคลุมดำร้องด้วยความเจ็บปวด แขนเสื้อสีดำทั้งสองข้างกลายเป็นเศษ กระทั่งเสื้อคลุมดำบนตัวยังแหลกสลายไปพร้อมกัน เผยให้เห็นรูปร่างที่ซ่อนอยู่ภายใน เขาเป็นผู้อาวุโส บนตัวมีภาพสัญลักษณ์สีดำ รูปร่างของมันเหมือนกับดวงตาข้างหนึ่ง แผ่นหลังตรงกระดูกสันหลังชิ้นที่สิบสามแผ่กลิ่นอายพลังเก่าแก่ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

“ข้ามองออกแล้ว นี่เป็นเสี้ยวความคิดที่ฝังอยู่ในของวิเศษชิ้นนี้มานานกี่ปีแล้วก็ไม่ทราบ…เป็นเพียงแค่เสี้ยวความคิดเท่านั้น แต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…เขา…เขาต้องเป็นผู้แข็งแกร่งต่างแดนจากใต้สำราญดาราแน่!”

ผู้อาวุโสกระอักโลหิต แขนสองข้างสั่นเทาเป็นแผลเหวอะหวะ เขาทราบดีว่าตอนนี้ตกอยู่อันตราย ในช่วงที่ร่างกระเด็น เขาพยามยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ก่อนมีหนังสัตว์ปรากฎขึ้นในมือ มันมีขนสีเงิน มองดูล้ำค่ายิ่งนัก ยามนี้ผู้อาวุโสใช้มันคลุมตัว มือสองข้างเคลื่อนนิ้วประสานตรา นิ้วมืออาบเลือดทั้งสิบวาดเป็นภาพสัญลักษณ์สีโลหิต รูปร่างของมันเหมือนกับลวดลายหมานบนตัวเขา เป็นดวงตาข้างหนึ่ง!

“เปลี่ยนร่างสัตว์!” ผู้อาวุโสคำรามเสียงต่ำ แสงเงินบนตัวขยับวูบวาบเด่นชัด พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงพิลึกยิ่งบนตัวเขา หลังจากสวมหนังสัตว์แล้ว ท่ามกลางแสงสีเงิน หนังสัตว์แผ่คลุมทั้งตัวเขา ก่อนกลายเป็นสัตว์ดุร้ายสีเงินต่อหน้าต่อตาซูหมิง!

สัตว์ร้ายตัวนี้เหมือนกับวัว ทว่ามีตาเดียว ทั้งตัวมีขนยาวสีเงิน เขาแหลมทั้งสองข้างตรงศีรษะมีสายฟ้าขยับประกาย ตรงสันหลังกระดูกชิ้นที่สิบสามใต้ขนสีเงิน ยามนี้ปะทุพลังทั้งหมดของขั้นพลังเซ่นไหว้กระดูก แผดเสียงคำราม แล้วจึงพุ่งชนเข้าใส่ฝ่ามือที่กำลังกดทับลง

ฝ่ามือพลันเข้าประชิด ขณะที่เข้าปะทะกัน วัวสีเงินพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาแหลมสองข้างแตกกระจาย ขนสีเงินหลุดทั้งตัวราวกับถูกโกน ขณะเดียวกันหนังเปิดขึ้นหนึ่งชั้น ก่อนหลุดลอกออกจากร่างไป ลำแสงขยับวูบ สัตว์วัวหายวับ คืนร่างเป็นผู้อาวุโสดังเดิม ใบหน้าเขาขาวซีด แววตาสิ้นหวัง ขณะกระอักโลหิตก็ถูกฝ่ามือกดทับเข้าใส่ตัว

แขนทั้งสองข้างพลันระเบิดกระจุย ขาทั้งสองข้างก็เช่นเดียว เหลือเพียงลำตัวเท่านั้น ทว่าตรงกระดูกสันหลังชิ้นที่สิบสามพลันสั่นไหว มีเสียงกรุบดังขึ้นก่อนแหลกละเอียดทันที เมื่อกระดูกชิ้นนี้ถูกทำลาย ผู้อาวุโสส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสุดขีด ทั้งยังสิ้นหวังยิ่งขึ้น เขาทราบดีว่าตนถูกฝ่ามือบดขยี้จนกระดูกหมานป่นปี้ จากนี้ไป แม้เขาจะยังมีชิวิต ก็ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูกอีกต่อไป

“เพียงแค่ความคิดก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้…” เขาหลับตาลงฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด ยามที่เขาหลับตา ผืนฟ้าดินท่ามกลางการต่อสู้ยาวนานแห่งนี้ กลับเกิดความไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อฝ่ามือกดลง มวลอากาศรอบตัวผู้อาวุโสเกิดเป็นรอยร้าวจำนวนมาก และขยายไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวพลันแตกกระจายเหมือนดั่งกระจกถูกตีแตก!

มิติแตกกระจาย!

ฟ้าดินผืนนี้มีมิติ เพียงแต่ว่ามันไร้รูปมองไม่เห็น ทว่าหากถูกโจมตีอย่างรุนแรง ก็อาจปรากฎให้เห็นในชั่ววินานที ก่อนจะเชื่อมกลับเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่การแตกร้าวในเสี้ยววินาที อาจก่อให้เกิดหลุมดำกลืนกินทุกสรรพสิ่ง มันมีแรงดึงดูดที่มหาศาล สามารถดูดกลืนทุกสิ่งรอบตัวได้

ยามนี้ ในช่วงที่มิติบนภูเขาทมิฬแตกกระจาย หลุมดำปรากฎขึ้น!

มันเป็นน้ำวนดำมืด ชั่วเวลาที่ปรากฎ คนเสื้อคลุมดำถูกดูดเข้าไปเป็นคนแรก ทำให้เขาหลบฝ่ามือที่ทำให้เขาสิ้นหวังได้

ขณะเดียวกัน ยอดเขาโดยรอบมีเศษหินจำนวนมากร่วงหล่น และยังมีของจำพวกหญ้าแห้งกับเกล็ดหิมะสีดำลอยเข้าไปในหลุมดำ

ร่างกายของซูหมิงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ภายใต้แรงดูดมหาศาล ยามนี้เขาพลันถูกดึงตรงเข้าไปในหลุมดำพร้อมกับเศษหินและใบหญ้า ในช่วงที่ถูกดูดเข้าไป เขาเห็นท่านปู่นอนหลับตาอยู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ก่อนถูกดูดเข้ามาเช่นเดียวกัน

นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ซูหมิงเห็น เบื้องหน้าเขาดำมืด ตอนที่ถูกดูดเข้ามา เขาได้เสียจิตใจอันแน่วแน่ไปแล้ว….

หลุมดำเกิดเพียงไม่กี่ลมหายใจ ก่อนจะปิดลงทันที หายไปไร้เงา ฟ้าดินกลับมาเป็นปกติ ท้องฟ้าประกายดาวจากต่างแดนหายไปทีละนิดเช่นเดียวกัน รวมถึงเงาคนยักษ์ก็ค่อยๆ มืดสลัว ท้ายที่สุดมีเสียงดังกึกๆ กังวาน พบว่าธงยาวปลายแหลมเปลี่ยนจากสีดำมาเป็นสีเหลืองอย่างรวดเร็ว แล้วจึงถูกลมพัดผ่านกลายเป็นฝุ่นละออง

ฟ้าดินสั่นสะเทือน บนพื้นปรากฎเป็นรอยร้าวจำนวนมาก ตรงนั้นยังมีหิมะสีดำเหลืออยู่ไม่มาก ล้วนแหลกสลายหายไป

เค้ารูปรอยฝ่ามือปรากฎขึ้นบนผืนดิน ทั้งยังมีเสียงดั่งสนั่นกังวาน หนึ่งในห้ายอดเขาแห่งภูผาทมิฬ แหลกละเอียดกลายเป็นฝุ่นละอองปลิวหายไป

ทุกอย่างกลับมาสงบเหมือนเดิม

ภายในป่าทึบที่ไม่รับผลกระทบ มีลิงน้อยตัวหนึ่งกำลังร้อนรน วิ่งห้อเข้ามาอย่างเร่งรีบ มันปีนยอดเขามังกรทมิฬที่ซูหมิงถูกหลุมดำดูดเข้าไปก่อนหน้านี้ บนยอดเขา มันมองท้องฟ้า แผดเสียงร้องเรียกไม่หยุด

มันร้องเรียกอยู่นานมาก จนใบหน้าเจ้าลิงน้อยเป็นทุกข์ ระหว่างมองท้องฟ้าห่างไกล ราวกับมองเห็นอีกฟากของภูเขา ในความทรงจำของมัน ซูหมิงเคยบอกว่าอยากไปดูอีกฟากของภูเขาว่ามีอะไร

เจ้าลิงน้อยค่อยๆ ลงจากเขา ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีคนอยู่ในป่าเขาผืนนี้อีกต่อไป เห็นเพียงเงาสีแดงเท่านั้น

ดินแดนแห่งนี้ไม่มีค่ำคืนจันทร์โลหิตที่หลายปีเกิดครั้งหนึ่งอีกต่อไป และไม่มีค้างคาวจันทรา

ภูเขาทมิฬที่มียอดเขาทั้งห้า ด้วยสงครามครั้งนี้ ราวกับห้านิ้วมือคนถูกตัดไปหนึ่งนิ้ว กลายเป็นสี่ยอดเขา อีกทั้งยอดเขาเพลิงทมิฬยังไม่มีปลายยอด

สิ้นสุดลงแล้ว…

ภายในเผ่าร่องลมเสียหายไปส่วนหนึ่ง จิงหนานกับเหวินเหยียน ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างสองคน หลังจากกลับมาก็ปิดด่านฝึกฝนวิชา แล้วเก็บเรื่องของเผ่าร่องลมเป็นความลับ

เรื่องเล็กใหญ่ในเผ่ามอบให้พวกสือไห่เป็นคนจัดการ แม้แต่การฝึกฝนของพวกเยี่ยวั่ง เขายังไม่อาจสนใจได้ อาการบาดเจ็บของพวกเขาสาหัสยิ่งนัก หากว่าอีกฝ่ายตั้งใจลงมือสังหาร เกรงว่าพวกเขาคงไม่ได้กลับมา

เผ่าเขาทมิฬกลายเป็นบริวารเผ่าร่องลม เป็นเผ่าที่เจ็ดนอกเมืองหินโคลน และเป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุด นักรบหมานทั้งเผ่ามีเพียงจ้าวเผ่า เป่ยหลิง และผู้นำกองรักษาการณ์ที่ร่างกายไม่สมประกอบ

ท่านปู่ไม่กลับมา เหลยเฉินไม่กลับมา ซูหมิงก็เช่นเดียวกัน….

ท่ามกลางความเศร้าโศก หลายวันต่อมา เผ่าเขาทมิฬส่งคนไปที่เผ่าเดิมเพื่อไปนำศพหนานซง ซานเหิน และชาวเผ่ากลับมา ก่อนนำเรื่องยอดเขาทั้งสี่แห่งภูผาทมิฬมาเล่าให้ชาวเผ่าฟัง พวกเขาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกจัดงานศพของชาวเผ่าขึ้น ราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ วันนั้นเป็นวันที่ซูหมิงทำสัญญากับไป๋หลิงพอดี

พวกเขาไม่ทราบว่าซานเหินเป็นคนทรยศ จึงนำเขากับศพของชาวเผ่าฝังรวมกัน

ในวันพิธีศพ หิมะที่ปะปนมากับน้ำฝนบนท้องฟ้าหนาวเหน็บนัก

ด้านนอกเผ่าเขาทมิฬ ท่ามกลางฝนหิมะหนาวเหน็บ มีเด็กสาวชุดขาวยืนอย่างสงบนิ่ง นางลูบตุ้มหูกระดูกตรงใบหู หิมะกับน้ำฝนตกลงบนใบหน้า ไม่ทราบว่ามีน้ำตาหรือไม่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!