Skip to content

สู่วิถีอสุรา 432

ตอนที่ 432 อภินิหารเจ็ดวิชา

ครั้นเห็นรอยยิ้มซูหมิง เถี่ยมู่จึงขมวดคิ้ว

ไม่ใช่แค่เขา ทุกคนบนพื้นล้วนเกิดความสงสัยจากรอยยิ้มและคำพูดของซูหมิง เมื่อเผชิญหน้ากับเชมันระดับปลาย แม้ซูหมิงจะเผยความไม่ธรรมดาออกมา ทว่ามันก็แค่ไม่ธรรมดาเท่านั้น ระหว่างทั้งสองคนไม่มีอะไรเปรียบกันได้เลย

ต่อให้เมื่อครู่เหมือนซูหมิงใช้พลังทั้งหมดต่อสู้กับเถี่ยมู่ที่เป็นรองเล็กน้อย แต่ต้องรู้ว่า นอกจากเถี่ยมู่จะมีสีหน้ามืดทะมึนเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ส่วนซูหมิงกลับมีโลหิตไหลจากมุมปาก

ตามการคาดเดาของเกือบทุกคน เพียงแค่เถี่ยมู่ลงมืออีกครั้ง ซูหมิงจะต้องไม่มีทางรับมือไหวแน่ จุดจบมีเพียงความตาย

“เฮ้อ เป็นเชมันระดับกลาง แต่กล้าท้าสู้กับเชมันระดับปลาย ข้าบอกแล้วว่าเขาต้องตายแน่…”

“กล้าหาญจริง ทว่า…โง่เขลา การท้าสู้แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย”

“นั่นคือเชมันระดับปลาย คนที่บรรลุถึงระดับปลายได้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง เชมันระดับกลางจะไปสู้ได้อย่างไรเล่า!”

สายตาเหล่านั้นมองไป ในใจหนานกงเหินเต็มไปด้วยความขมขื่น ทว่านัยน์ตาฉายแววเด็ดขาด เขาคิดดีแล้ว ศึกนี้ต้องให้ผู้อาวุโสเถี่ยมู่ระบายโทสะก่อน จากนั้นตนก็ต้องลองช่วยพูดให้โม่ซู ดูแล้วผู้อาวุโสเถี่ยมู่ยังเห็นแก่หน้าปู่ของตนอยู่ น่าจะไว้ชีวิตโม่ซูได้

ส่วนหนานกงซานขมวดคิ้ว นางมองซูหมิงด้วยความเย็นชาตลอด ยามนี้ความสงสัยในแววตามากขึ้นอีกเล็กน้อย

บนท้องฟ้า ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วขยับตัววิบวับ พลันมีหมอกดำลอยมาจากหน้าอกเขา หมอกดำนั้นแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว ทว่าก็รวมกันอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว จนกลายเป็นคนสีดำทึบรูปร่างสูงใหญ่

บุคคลนี้ไม่มีผม ร่างกายเป็นสีดำทึบ ให้ความรู้สึกสะท้อนแสงเล็กน้อยภายใต้แสงจันทร์ ผิวหนังทั้งตัวประดุจเกล็ดปลา ดวงตาทั้งสองข้างเย็นเยียบ

มันคือร่างแยกที่มีวิญญาณแรกของซูหมิง หุ่นเชิดจากศพจีอวิ๋นไห่!

เมื่อร่างแยกปรากฏกาย ตรงระหว่างคิ้วซูหมิงขยับแสงดำวิบวับ กระบี่เล็กแสงดำบินรอบศีรษะร่างแยก ปล่อยไอหนาวเยือกและเสียงร้องกระบี่

วินาทีที่ร่างแยกปรากฏ กลุ่มคนด้านล่างล้วนร้องด้วยความตกใจ มีหลายคนมองออกในแวบเดียวว่าร่างแยกของซูหมิงคือสิ่งใด!

“หุ่นเชิดผู้ดูดวิญญาณ! เขาเป็นผู้ดูดวิญญาณ”

“ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้ดูดวิญญาณ ข้าว่าแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนมองสายตาเขาถึงรู้สึกแปลกๆ ที่แท้เขาก็เป็นเชมันดูดวิญญาณ!”

“เป็นเชมันดูดวิญญาณ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เห็นเขาใช้วิชาดูดวิญญาณเลย ทว่าหุ่นเชิดนี้เป็นหุ่นผู้ดูดวิญญาณไม่ผิดแน่!”

เถี่ยมู่แอบขมวดคิ้วเล็กน้อย กลอุบายหลากชนิดของซูหมิงทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก ในสายตาเขา อีกฝ่ายไม่มีทางมาจากเผ่าเล็กแน่นอน อย่าเพิ่งพูดถึงสิ่งนั้นกับกระบี่บินที่คล้ายกับของคนเผ่าเซียน และยังมีระฆังที่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด เอาแค่หุ่นเชิดตัวนี้ก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งแล้ว

กระทั่งในความรู้สึกเขา หุ่นเชิดตัวนี้มีความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย ทว่าตอนนี้นึกไม่ออก อีกอย่างที่สำคัญสุดคือเขารู้สึกถึงอำนาจคุกคามจากตัวหุ่นเชิด!

อำนาจคุกคามนี้แม้ดูรางๆ ทว่ากลับทำให้เขาตื่นตัว

“ผู้อาวุโสเถี่ยมู่ แซ่โม่ไร้ความสามารถ อยากจะขอท้าสู้อีกครั้ง!” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า ความมุ่งมั่นต่อการต่อสู้ในแววตาเข้มข้นขึ้น

“มิน่า เจ้ามีตัวหนุนหลังเลยไม่กลัวข้านี่เอง เจ้าคิดว่าแค่หุ่นเชิดตัวเดียวจะสู้กับข้าได้อย่างนั้นรึ! ในสายตาข้า เจ้าก็ยังคง…ไม่รู้จักประมาณตน!” เถี่ยมู่ยิ้มเยาะแล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องรีบสู้รีบจบเรื่อง มิเช่นนั้นหากสังหารเชมันระดับกลางคนหนึ่งด้วยเวลานานขนาดนี้ ซ้ำยังอยู่ต่อหน้าสายตาของผู้คนจำนวนมากในเมืองเชมัน จะเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงเขาเอาได้

ยามนี้ขณะเดินเข้าไป บนใบหน้าเถี่ยมู่ปรากฏแสงสีฟ้าวนรอบ โดยเฉพาะในดวงตาทั้งสองข้างที่ปรากฏระลอกปานคลื่นทะเล ร่างเขาวูบไหว ก่อนทะยานเข้าใส่ซูหมิง

พลังแกร่งกล้าพลันกระจายมาจากในตัวเขา อานุภาพของพลังนี้สร้างขึ้นเป็นแรงกดดัน ทำให้มวลอากาศโดยรอบเกิดเสียงดังตุบๆ

ซูหมิงพลันถอยหลัง ยกมือขวาขึ้น ในมือเขาขยับแสงสีดำวูบวาบก่อนปรากฏกระบองเขี้ยวขึ้น ในขณะเดียวกัน ร่างแยกของวิญญาณแรกก็ห้อเหยียดไปข้างหน้า

ขณะห้อเหยียดไป ร่างแยกซูหมิงยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือแล้วคว้าไปทางผืนดิน ทันใดนั้น แผ่นดินในระยะหลายร้อยจั้งสั่นสะเทือน จากนั้นมีหมอกขาวจำนวนมากลอยขึ้นมาจากผืนดิน และพุ่งขึ้นสู่ฟ้าในพริบตาเดียว มันมารวมตัวอยู่รอบมือขวาของร่างแยก ก่อขึ้นเป็นมังกรฟ้าขนาดหนึ่งร้อยจั้ง

“สายเลือดมังกรปราณปฐพี!” นี่คืออภินิหารเฉพาะตัวของหงหลัว อีกทั้งยังเคยใช้ตอนสู้กับตี้เทียนมาแล้ว คนนอกส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อน หากเป็นหงหลัวจะรวมปราณปฐพีได้ไกลหมื่นลี้หรือกระทั่งไกลกว่านั้นอีก ถึงขั้นเรียกเทพแห่งสายเลือดมังกรที่แท้จริงออกมาได้เลยทีเดียว

ทว่าขั้นพลังของซูหมิงยังไม่อาจเทียบกับหงหลัว เป็นเพียงขั้นวิญญาณแรกก่อกำเนิดเท่านั้น หากแต่ซูหมิงได้รับมรดกสืบทอดวิชาหนทางสู่ชีวิตของหงหลัวมา จึงเข้าใจในวิชาและอภินิหาร หลังจากศึกษามาหนึ่งปี ตอนนี้ก็พอใช้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าพลังของมันอ่อนลงไม่น้อยเช่นกัน

แต่ศัตรูของหงหลัวคือตี้เทียน ส่วนคู่ต่อสู้ของซูหมิงในตอนนี้คือเถี่ยมู่ เชมันระดับปลายที่อ่อนกว่าตี้เทียนไม่รู้กี่เท่า กระทั่งยังไม่อาจนำมาเปรียบกันได้!

ยามนี้การปรากฏกายของมังกรฟ้าปราณปฐพีขนาดหนึ่งร้อยจั้ง ทำให้เถี่ยมู่หน้าเปลี่ยนสี เขาพุ่งทะยานเร็วขึ้น ตอนที่เข้ามาใกล้ ร่างแยกซูหมิงไม่กล่าวสักคำ มือคว้ามังกรปราณปฐพีแล้วเหวี่ยงเข้าใส่เถี่ยมู่!

จากการปรากฏตัวของมังกรฟ้าปราณปฐพี มีเสียงเกรียวกราวดังมาจากในกลุ่มคนด้านล่าง พวกเขาไม่เคยเห็นวิชานี้มาก่อน ยามนี้เมื่อเห็นหุ่นเชิดของซูหมิงสูบพลังจากผืนปฐพี จึงตื่นตะลึงถึงขีดสุด

ช่วงที่มังกรฟ้าปราณปฐพีปะทะกับเถี่ยมู่ อีกฝ่ายยกมือขวาขึ้นแล้วปล่อยหมัดไปข้างหน้า

“สี่สรรเสริญทะเล หนึ่งสรรเสริญทะเลตะวันออก!” เถี่ยมู่คำรามเสียงต่ำ ตอนที่ปล่อยหมัดไป ตรงหน้าเขาปรากฏทะเลมายาขึ้นอีกครั้ง น้ำทะเลสีฟ้าเข้มก่อเป็นลูกคลื่นตรงเข้าใส่มังกรฟ้าปราณปฐพี

น้ำทะเลกับวิชาของเถี่ยมู่ก่อนหน้านี้ดูคล้ายกัน ทว่าหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าน้ำทะเลนี้สมจริง ราวกับปรากฏขึ้นจริงๆ มิใช่ภาพมายา

กระทั่งความชื้นและกลิ่นเค็มในทะเลยังโชยเข้ามา

ตอนที่ปะทะกับมังกรฟ้าปราณปฐพี ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นทั้งท้องฟ้า

“สองสรรเสริญทะเลแดนใต้!” เถี่ยมู่กางมือซ้ายกดไปทางใต้ พลันปรากฏน้ำทะเลสีแดงฉานขึ้นบริเวณนั้น มองแวบแรกประดุจทะเลโลหิต ซัดถาโถมเข้ามายังร่างแยกซูหมิงและร่างจริง

ร่างแยกซูหมิงไม่สนใจ ทำสัญลักษณ์สองมือตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วผลักไปสองข้าง

“เก้าแปรสิบเปลี่ยนเสียงรวมเป็นหนึ่ง ภูเขาขาวสายน้ำดำ พันคนผสานเป็นหนึ่งเดียว…แปรเปลี่ยนเป็นเทวะ!” สามประโยคนี้แฝงไว้ด้วยวิชาอภินิหารเจ็ดชนิด หรือก็คืออภินิหารที่แกร่งที่สุดในช่วงแรกของวิชาหงหลัว เขาได้มาจากโบราณสถานแดนเซียนแห่งหนึ่ง ไม่ทราบประวัติความเป็นมา

ทว่าต่อให้เป็นหงหลัวก็ยังเข้าใจเจ็ดวิชาอภินิหารนี้เพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาลงลึก แต่นำจุดเด่นของมันมาใช้เชื่อมต่อกับปราณปฐพี เปลี่ยนให้ปราณปฐพีกลายเป็นโลหิต เพื่อกระตุ้นวิชาสิบชีวิตคงกระพัน

หงหลัวคิดว่าผืนปฐพีมีชีวิต ปราณปฐพีคือลมหายใจของแผ่นดิน เช่นนั้นแผ่นดินจะต้องมีโลหิตคล้ายกับมนุษย์แน่นอน โลหิตนี้ไม่ใช่แม่น้ำ ไม่ใช่มหาสมุทร แต่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของผืนดิน

มีเพียงในปราณปฐพีเท่านั้นถึงจะมีโลหิตของแผ่นดินอยู่เล็กน้อย เขาต้องใช้ปราณปฐพีกระตุ้นโลหิตนั้น ถึงจะใช้วิชาโลหิตชะล้างนภาได้สำเร็จ อีกทั้งเพราะปฐพีมีชีวิต ฉะนั้นจึงใช้การหลอมรวมและลอกเลียนแสดงอภินิหารช่วยชีวิตของเผ่าเซียน…สิบชีวิตคงกระพัน!

พูดได้ว่าหงหลัวเดินอยู่บนเส้นทางดั้งเดิมของเผ่าเซียน ส่วนวิชาเจ็ดชนิด เขาเพียงศึกษาเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าสำหรับซูหมิง ขั้นพลังของร่างแยกตอนนี้ยังไม่อาจใช้วิชาโลหิตชะล้างนภา เขาจึงวางจุดสำคัญไว้ตรงเจ็ดวิชาที่หงหลัวมองข้ามไปเล็กน้อย เพราะขั้นวิญญาณแรกก่อกำเนิดของเขาใช้วิชานี้ได้!

“เก้าแปรเปลี่ยน!” ยามนี้ร่างแยกซูหมิงทำสัญลักษณ์สองมือแล้วผลักออกสองข้าง ขณะกล่าว ร่างแยกซูหมิงพลันตัวสั่น กำหมัดขวาปล่อยหมัดไปทางเถี่ยมู่ที่อยู่ไกลๆ

หมัดนี้เหมือนไม่มีแรง ทว่าร่างแยกซูหมิงในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือการกระทำก็ล้วนเหมือนกับตอนที่เถี่ยมู่ใช้วิชาสรรเสริญสี่ทะเลทุกประการ!

การแปรเปลี่ยนนี้เข้าใจได้ว่าเป็นการเลียนแบบระดับสูง ใช้พละกำลังตัวเองลอกเลียนวิชาของอีกฝ่าย

หลังจากร่างแยกซูหมิงปล่อยหมัดไป ตรงหน้าเขาปรากฏทะเลสีฟ้าเข้ม นอกจากขนาดที่เล็กลงมากแล้ว ทุกอย่างเหมือนกับวิชาของเถี่ยมู่!

เถี่ยมู่มีสีหน้าตื่นตะลึง ทว่าที่ทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่าคือการกระทำต่อไปของร่างแยกซูหมิง!

เลียนแบบ นี่คือส่วนหนึ่งของวิชาเก้าแปรเปลี่ยนเท่านั้น การเปลี่ยนที่แท้จริงคือหลังจากเลียนแบบแล้ว เหมือนทำให้วิชานี้พัฒนาไปอีกขั้น เกิดเป็นเปลี่ยนครั้งที่หนึ่ง เปลี่ยนครั้งที่สอง…จนถึงเปลี่ยนครั้งที่เก้า!

ทุกการแปรเปลี่ยนจะทำให้อานุภาพของวิชานี้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ต้องเสียพลังจากขั้นพลังไปมากเช่นกัน!

“เปลี่ยนครั้งที่หนึ่ง!” ร่างแยกซูหมิงพลันกล่าว เสียงดังกึกก้อง ก่อนตรงเข้าไปในทะเลของตน เมื่อหลอมรวมเข้าไปทั้งตัวแล้ว ทะเลผืนนี้คล้ายเดือดพล่าน ปล่อยไอสีขาวหลายระลอก ขณะเดียวกันขนาดยังใหญ่ขึ้น ลูกคลื่นซัดสาด มีฟองผุดขึ้นและแตกออกไม่หยุด จากนั้นก็มีของเหลวสีแดงลุกลามมาเหมือนจะย้อมทะเลให้กลายเป็นสีแดงฉาน

“สามสรรเสริญทะเลตะวันตก!” นัยน์ตาเถี่ยมู่ฉายแววจิตสังหาร ความแข็งแกร่งของซูหมิงทำให้เขาตื่นตกใจ ทว่าก็ยังมั่นใจว่าจะกดดันอีกฝ่ายได้!

เพียงแต่ว่าความแข็งแกร่งของซูหมิงทำให้เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีเชมันระดับกลางใช้วิชาเหล่านี้ต่อสู้กับตนจนถึงขนาดนี้ได้

กระทั่งยังจินตนาการได้ว่าหากให้อีกฝ่ายหนีไป สำหรับชนเผ่าแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ อีกทั้งตอนนี้อีกฝ่ายยังแกร่งขนาดนี้ หากให้โอกาสเขาเติบโตจนเป็นเชมันระดับปลาย เช่นนั้นความแค้นในวันนี้ เกรงว่าภายภาคหน้าตนกับเผ่าแดนบูรพาจะต้องชดใช้อย่างมหาศาล!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!