Skip to content

สู่วิถีอสุรา 583

ตอนที่ 583 ตี้เทียนมาเยือน

ลำแสงอีกเส้นลงมายังชายแดนรกร้างบูรพาที่ใกล้กับแดนอรุณใต้ ช่วงที่ลำแสงเส้นนี้ลงมาบนที่ราบ แผ่นดินสั่นสะเทือน ก่อตัวเป็นแรงปะทะกระจายเป็นวงกว้าง ทำให้ชาวแดนรกร้างบูรพาทั้งหมดในพื้นที่นี้รวมถึงคนบนเกาะใกล้กับแดนรกร้างบูรพาเหมือนถูกภูเขานับหมื่นกดทับ พากันกระอักเลือด ทั้งยังมีไม่น้อยร่างระเบิดกระจุย ทนรับแรงกดดันมหาศาลนี้ไม่ไหว!

นี่คือ…..การมาเยือนของผู้แข็งแกร่ง!

การมาของลำแสงสองเส้นเขย่าสะเทือนไปทั้งแดนรกร้างบูรพา ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก รวมถึงเป็นที่จับจ้องของผู้แข็งแกร่งบนแดนรกร้างบูรพา

โดยเฉพาะทางตะวันตกของแดนรกร้างบูรพา ยามนี้ยังมีหมอกหนาปรากฏขึ้นม้วนตลบฟ้าดินและแผ่กระจาย หมอกนี้ปกคลุมในระยะแสนลี้ ตรงกลางฟ้าดินพอจะเห็นรางๆ ว่าก่อตัวเป็นใบหน้าคนยักษ์ กำลังจ้องลำแสงสองเส้นนั้นเขม็ง

“ตี้เทียน!” ใบหน้าหมอกตะโกนเสียงดังสนั่น เสียงคำรามดังกึกก้องไปรอบๆ

ยามกล่าวคำ ลำแสงจากวิหารใหญ่บนยอดเขาที่มีหมื่นคนกราบไหว้ตรงใจกลางแดนรกร้างบูรพาเปล่งแสงเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม ท่ามกลางแสงสว่างจ้าไปรอบๆ ก็มีเงามายาย่างกรายมาจากในลำแสงนั้น มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงร่างเงาวูบวาบแล้วหายไปในยอดวิหารใหญ่บนยอดเขา

ครู่ต่อมาประตูวิหารใหญ่พลันเปิดอ้า บุคคลหนึ่งเดินออกมาอย่างช้าๆ!

คนผู้นี้เป็นบุรุษวัยกลางคน ดวงตาเรียวยาว เผยกลิ่นอายชั่วร้ายที่ทุกคนเห็นเป็นต้องตื่นตระหนก

เขาเดินออกมาอย่างช้าๆ จนมายืนอยู่นอกวิหาร จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เงยหน้ามองฟ้าไกลๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึก

“ไม่ได้กลิ่นมรณะหยินมานานมากแล้ว…”

ทันทีที่กล่าว คนนับหมื่นที่คุกเข่าคารวะอยู่ใต้เขามีสีหน้าเคารพอย่างยิ่ง แล้วกล่าวขึ้นพร้อมกันเป็นคลื่นเสียงก้องกังวานรอบๆ!

“พวกเราศิษย์สำนักชุมนุมเซียนคารวะท่านบรรพบุรุษตี้เทียน ยินดีต้อนรับบรรพบุรุษสู่แดนรกร้างบูรพาเผ่าหมาน!”

เสียงดังสนั่นกังวาน สั่นสะเทือนแห้วหู ชายวัยกลางคนไม่สนใจเสียงกล่าวด้วยความเคารพเหล่านี้ เขาสูดอากาศหายใจต่อไป ไม่นานกลิ่นอายชั่วร้ายในดวงตาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และยังมีหมอกบางลอยมาจากในตัวเขา หมอกนี้หมุนวนรอบๆ ก่อนพุ่งขึ้นฟ้า ทำให้ชั้นเมฆด้านบนสลายไปจนหมด กลายเป็นเสาหมอกสีขาวปกคลุมในระยะแสนลี้ และเด่นตาที่สุดในแดนรกร้างบูรพา!

เขาคือตี้เทียน!

หลังจากตี้เทียนจากไปหลายปีก็ส่งร่างแยกลงมายังเผ่าหมานอีกครั้ง!

มันยังไม่จบเท่านี้ ระหว่างที่ร่างแยกตี้เทียนลงมายังยอดเขาใจกลางแดนรกร้างบูรพา ณ ที่ราบชายแดนติดกับอรุณใต้ ขณะเดียวกับที่ผู้คนจำนวนมากในที่นี้ถูกแรงกดทับจนกระอักเลือดกระทั่งยังมีคนตาย ในเสาแสงยิ่งใหญ่ก็มีร่างเงาลงมายังผืนดินปานสายฟ้าเช่นกัน

แทบจะเป็นช่วงวินาทีนั้น เมื่อเงามายาในเสาแสงสัมผัสกับพื้นดิน ทั้งที่ราบพลันถล่มทลาย เกิดรอยร้าวใหญ่ถูกฉีกออก ดินถล่มม้วนตลบกระจายสู่รอบๆ เสียงโครมครามเขย่านภายังคงดังต่อเนื่อง กลายเป็นคลื่นเสียงกระจายเป็นชั้นๆ จนกระทั่งครู่ต่อมาจึงค่อยๆ หายไป ที่ราบแผ่นดินหายไป กลายเป็นหลุมยักษ์เข้ามาแทน

เหมือนกับมีดาวตกลงมาจากฟ้ากระแทกใส่พื้นดิน หลุมลึกนี้มีขนาดหลายหมื่นจั้ง ยามนี้ลำแสงด้านบนค่อยๆ จางหายไปแล้วปรากฏร่างเงาหนึ่งลอยขึ้นมาจากหลุมลึก!

เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎจักรพรรดิ สีหน้าเย็นชา และสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิ ใบหน้าเขาหล่อเหลา ทั้งยังมีความรู้สึกว่าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เสื้อคลุมจักรพรรดิชุดนี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม!

ช่วงที่เขาลอยขึ้นก็มองไปทางแดนอรุณใต้อย่างสงบนิ่ง นัยน์ตาฉายแววเย็นชาซึ่งสามารถแช่แข็งฟ้าได้

“ซู่มิ่ง เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” บุคคลนี้กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง ก่อนยกมือขวาคว้าไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นมีระลอกคลื่นไร้รูปหนึ่งชั้นแผ่กระจายออกจากตัวเขา

ระลอกคลื่นนี้กระจายออกอย่างต่อเนื่อง หนึ่งแสนลี้ หนึ่งล้านลี้ สิบล้านลี้…..จนกระทั่งปกคลุมแดนรกร้างบูรพาไปเกือบครึ่ง จุดที่ระลอกคลื่นผ่านคนอื่นจะไม่รู้ตัว มันไม่มีผลอะไรกับสิ่งมีชีวิตของที่นี่ เพียงแต่…ขอบเขตระลอกคลื่นนี้กลับครอบคลุมเส้นทางจากแดนอรุณใต้ส่วนใหญ่สู่แดนรกร้างบูรพาด้วย

เว้นแต่จะอ้อมทะเลมรณะไปขึ้นแดนรกร้างบูรพาจากอีกทางหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วหากมาจากแดนอรุณใต้ ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิผู้นี้ย่อมรู้อย่างแน่นอน

อีกทั้งต่อให้มีคนอ้อมเพื่อไปขึ้นแดนรกร้างบูรพาจริงๆ ด้วยกลอุบายของชายวัยกลางคนย่อมต้องมีการเตรียมการไว้อย่างแน่นอน

ลักษณะหน้าตาของบุคคลนี้เหมือนกับคนที่มาเยือนวิหารใหญ่บนยอดเขาใจกลางแดนรกร้างบูรพาทุกประการ!

เขาก็คือร่างแยกของตี้เทียนเช่นเดียวกัน!

ตี้เทียนมาเยือนเผ่าหมานครั้งนี้ไม่ใช่ร่างแยกเดียว แต่มา….สองคน!

จากตำแหน่งที่พวกเขาลงมาจะเห็นได้ถึงความคิดของตี้เทียน ร่างที่ลงมายังยอดเขาใจกลางแดนรกร้างบูรพานั้นก็เพื่อประจำการอยู่ที่สำนักชุมนุมเซียนซึ่งเป็นสำนักของที่นี่ และเพื่อต่อต้านหมอกดำชั่วร้ายที่มีอยู่เต็มทางตะวันตกของแดนรกร้างบูรพา!

ส่วนร่างแยกตรงชายแดนติดกับแดนอรุณใต้ เห็นได้ชัดว่าเพื่อคนๆ เดียว…นั่นก็คือซูหมิง!

ร่างแยกสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิมองไปทางแดนอรุณใต้ ค่อยๆ เดินออกจากหลุมลึก จนกระทั่งเขามายืนอยู่บนพื้น ห่างจากเขาไปหลายร้อยจั้งมีชาวหมานแดนรกร้างบูรพาสี่คนกำลังมองเขาด้วยหน้าขาวซีดและหวาดกลัว ข้างกายสี่คนนี้ยังมีสามศพระเบิดกระจุย เดิมทีพวกเขามีเจ็ดคน ทว่าสามคนนี้รับแรงกดดันไม่ไหวเลยตายไป ส่วนพวกเขาสี่คนก็กระอักเลือด สูญเสียขั้นพลัง แต่ยังไม่ตาย

ตี้เทียนมีสีหน้าเย็นชา มองแดนอรุณใต้พลางขมวดคิ้ว เมื่อครู่ตอนเขามาเยือนก็ปล่อยจิตสัมผัสกระจายออกไป ทว่า…..กลับไม่พบกลิ่นอายพลังหรือคลื่นพลังของซู่มิ่ง

หาไม่พบ!

ตี้เทียนขบคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นแค่นเสียงหึเย็นชาแล้วนั่งขัดสมาธิลง ตอนที่นั่งลง สี่คนที่อยู่ห่างไปหลายร้อยจั้งกระอักเลือดพร้อมกัน ศีรษะระเบิดกระจุยสูญสิ้นชีวิตไป

ศพเจ็ดคนนี้ล้วนไม่มีศีรษะ มีเพียงร่างกาย โลหิตย้อมโดยรอบเป็นสีแดง ทำให้ที่นี่เงียบสงัด ตี้เทียนไม่สนใจสิ่งอื่น เขาเพียงยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือแล้วสะบัดไป ศพเจ็ดคนนั้นพลันสั่นไหว…ก่อนค่อยๆ ยืนขึ้น

หลังจากพวกเขายืนขึ้นแล้วก็พากันฉีกอาภรณ์ของตัวเอง เผยตรงหน้าอกออกมา บริเวณนั้นตอนนี้ปรากฏเป็นใบหน้าภูตผีเลือนราง

ใบหน้าภูตผีเหมือนกำลังร้องคำราม จากนั้นศพเจ็ดคนนี้ก็ห้อเหยียดมุ่งหน้าไปยังเจ็ดทิศทางที่ต่างกัน…..

เวลาผ่านไป ผู้คนซึ่งศีรษะระเบิดกระจุยจากการมาเยือนของเสาแสงพิลึกและเห็นตี้เทียน หลังจากศพปรากฏใบหน้าภูตผีขึ้นมาแล้วก็พากันแยกออกไปคนละทาง

ทุกๆ คนล้วนไปยังทิศทางต่างกัน

“ใช้จิตสัมผัสหาต่อไป ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะหลบได้ถึงเมื่อไร!” ตี้เทียนหลับตาแล้วแน่นิ่งไป

นี่คือภัยพิบัติต่อซูหมิงที่ชายชราสร้างซวินเป็นคนบอก!

ยามนี้ภัยพิบัติมาถึงแล้ว ทว่าซูหมิงในตอนนี้ยังอยู่บนเกาะเล็กกลางทะเลมรณะ เขานั่งอย่างเงียบๆ ปานสูญเสียวิญญาณ รอบตัวเขาค่อยๆ ปรากฏหมอกปกคลุมกาย ทั้งยังปกคลุมกระเรียนขนร่วงไว้ด้วยกัน สุดท้ายก็ปกคลุมทั้งเกาะ…..

เหมือนกับหายไปบนทะเลมรณะ

ซูหมิงมองเด็กหญิงน่ารักอุ้มตุ๊กตาซึ่งกำลังเบิกตากว้างมองตนอยู่ตรงหน้า เด็กหญิงคนนี้มีสีหน้ามีความสุข บ่งบอกถึงอารมณ์เบิกบานใจของนางได้อย่างชัดเจน

“ถงถง…..” ซูหมิงมองเด็กหญิงน้อยตรงหน้า เขาตัวสั่นไหว สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่เพียงเด็กคนนี้ แต่ยังมีชนเผ่าคุ้นเคยในความทรงจำ!

เผ่าเขาทมิฬ!

ต้นไม้ใบหญ้า เรือนพักอาศัย ทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งกลิ่นอายคุ้นเคยยังบ่งบอกว่านี่คือภูเขาทมิฬในความทรงจำ เดิมทีเขาคิดว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก เพราะมัน…เป็นของปลอม!

ทว่าทั้งๆ รู้ว่าเป็นของปลอม รู้เรื่องราวต่างๆ ของเป่ยหลิงและเฉินซิน แต่ถึงกระนั้นวินาทีนี้เขากลับไม่อาจหลอกตัวเองได้ แววตาก็หลอกหัวใจไม่ได้ว่าเขา…..คิดถึงบ้านเหลือเกิน

ภูเขาทมิฬ

เขาเห็นเป่ยหลิงกำลังซ้อมธนูอยู่ไกลๆ และยังมีร่างเงาสูงใหญ่ของผู้นำกองรักษาการณ์เขาทมิฬกำลังชี้แนะบุตรของเขาว่ายิงธนูอย่างไรให้รุนแรงที่สุด

เขาเห็นเฉินซินนั่งอยู่ข้างๆ สายตาที่มองเป่ยหลิงมีความอบอุ่น มือขวาถือชามน้ำ เหมือนจะเดินไปส่งให้เป่ยหลิงที่มีเหงื่อโซมกายปานน้ำฝน

เขาเห็นอูลาที่พึมพำชื่อโม่ซูในอ้อมกอดเขาก่อนตาย เด็กสาวดื้อรั้นคนนี้ เวลานี้รอบกายล้อมไปด้วยเด็กกลุ่มใหญ่ นางกำลังเล่าเรื่องให้พวกเด็กๆ ฟัง สีหน้าดูมีชีวิตชีวิต คำพูดเหนือจินตนาการทำให้นางกับเด็กๆ ส่งเสียงหัวเราะพร้อมกันดุจดั่งเสียงกระดิ่งเงิน ในเสียงหัวเราะนั้นมีความสุขจากใจจริง

ซูหมิงยังเห็นเหลยเฉิน สหายที่ดีที่สุดของเขาคนนี้กำลังร้องไห้ ก้มหน้าถูกหญิงวัยกลางคนตรงหน้าต่อว่าไม่หยุด

ซูหมิงเหม่อมองทุกอย่าง ลืมทุกสิ่งอย่าง ในความคิดขาวโพลน คำพูดของถงถงข้างๆ เหมือนอยู่ไกลออกไป เลือนรางไม่ชัดเจน

จนกระทั่งเขาเห็นชายร่างกำยำสองคนเดินออกมาจากกระโจมหนังใหญ่ หนึ่งคือเฉินหลงจ้าวเผ่าเขาทมิฬ เขาขมวดคิ้วเหมือนมีความในใจ ชายร่างกำยำอีกคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังเขาก็คือคนที่ซูหมิงจำฝังใจ…..ซานเหิน!

ซานเหินยังคงเป็นอย่างในความทรงจำ เงียบขรึมเย็นชา ไม่ชอบพูด บ้างก็ใช้สายตามองไปรอบๆ อ่านไม่ออกว่าโกรธหรือดีใจ เหมือนกับสัตว์ป่าที่ซ่อนกลิ่นอายพลังเอาไว้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!