ตอนที่ 597 ตุ๊กตา
ดีที่การต่อสู้ในตอนนั้น ก่อนหมดสติได้เก็บพวกงูน้อยกับของวิเศษกลับมา เพียงแต่ว่างูน้อยหลับใหล ระฆังเขาหานก็อยู่ในถุงเก็บวัตถุ ทุกอย่างกำลังฟื้นฟูกลับมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดรูปร่างหน้าตาเขาถึงไม่กลับเป็นวัยผู้ใหญ่อีก แต่คงอยู่ในร่างเด็กหนุ่มซู่มิ่ง ส่วนเส้นผม ด้วยความที่บิดากลัวว่าคนอื่นจะไม่ต้อนรับซูหมิง เลยใช้น้ำสมุนไพรย้อมผมให้กลายเป็นสีดำ
หนึ่งปีมานี้ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้ซูหมิงไม่มีวันลืม มันกลายเป็นความอบอุ่นในชีวิตเขา เขาชอบที่นี่ ชอบน้องสาวอย่างเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ ชอบบิดาที่สานตุ๊กตาจากหญ้า และยังมีมารดาผู้อ่อนโยน
ทว่าเขายังมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ เขาต้องไปตามหาอาจารย์ ตามหาศิษย์พี่ของเขา เขายังต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก มีแต่แบบนั้นเท่านั้นถึงจะทำให้ตอนเจอตี้เทียนอีกครั้ง ภัยพิบัติต่อตัวเขาจึงจะกลายเป็นภัยพิบัติของตี้เทียนแทน!
เขาอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เพราะว่าถ้าอยู่ที่นี่มีโอกาสสูงมากที่จะสร้างหายนะให้กับครอบครัวนี้ เพราะว่าตี้เทียน…..อาจมาได้ตลอดเวลา
แม้หนึ่งปีมานี้จะเงียบสงบนัก ทว่าซูหมิงอยู่ในความอบอุ่นนี้ตลอดไปไม่ได้
ซูหมิงกินมันเทศพลางมองน้องสาว มองบิดามารดา เขามีความคิดอยู่หลายครั้งว่าหากวันหนึ่งตนหาอาจารย์กับศิษย์พี่พบ หากพวกเขายังปลอดภัย หากทุกอย่างไม่หายไป เช่นนั้นเขาจะไม่ไปตามหาอนาคตอีก ขอแค่ที่นี่ยังอยู่ ขอแค่เขากลับมาได้อีก เขาจะอยู่ในความอบอุ่นนี้ อยู่เป็นเพื่อนคนชราธรรมดาๆ ไปชั่วชีวิต อยู่เป็นเพื่อนน้องสาวไปตลอด มองนางเติบใหญ่ มองนางออกเรือน มองลูกหลานของนางอยู่เต็มบ้าน ตอนนั้นคงจะดีน่าดู…
นี่คือความสมบูรณ์แบบอย่างหนึ่ง ใบหน้าซูหมิงเผยรอยยิ้ม
“พี่โก่วเซิ่ง ท่านยิ้มอะไรน่ะ” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กินมันเทศคำใหญ่ลงไป มองซูหมิงพลางกล่าวเสียงไพเราะ นัยน์ตานางเป็นประกายวิบวับ ดูสวยงามยิ่งนัก
โก่วเซิ่งเป็นชื่อที่ครอบครัวนี้ตั้งให้ซูหมิง ซูหมิงในตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสมาก ทุกวันนอนอยู่ที่นั่นราวกับจะตายได้ทุกเมื่อ ในชนเผ่าอดีตของหญิงในครอบครัวนี้ หากเด็กร่างกายไม่แข็งแรงก็มักจะตั้งชื่อเล่นให้
ชื่อนี้ไม่ไพเราะ ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและความรักของครอบครัว นี่เป็นเพราะความหมายแฝงที่จงใจตั้งชื่อให้หยาบเล็กน้อยเพื่อให้เด็กสุขภาพแข็งแรง
โก่วเซิ่ง หมายถึงของที่แม้แต่สุนัขยังไม่ยอมกิน ดูแล้วคงไม่น่าจะมีวิญญาณมรณะตนใดมาพาเขาจากไป
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าหลังจากเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เติบใหญ่ออกเรือนไปแล้ว พี่โก่วเซิ่งจะเตรียมสินเดิมอะไรให้เจ้าดี” ซูหมิงลูบศีรษะเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์พลางกล่าวเสียงเบา
“หึ ท่านแก่กว่าข้ากี่ปีเอง เหตุใดต้องพูดแบบผู้ใหญ่ด้วย ข้าก็กำลังคิดอยู่ว่าหลังจากพี่เติบใหญ่ไปขอแต่งพี่สะใภ้ในอนาคตของข้าแล้ว ข้าน่าจะเตรียมของขวัญอะไรให้นางดี” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ย่นจมูก แล้วกล่าวเลียนแบบน้ำเสียงซูหมิง
บิดามารดาของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มองบุตรสาว ต่างมองหน้ากันและกัน จะเห็นได้ว่าในดวงตาทั้งสองคนมีความสุขและยังมีความอบอุ่นจากใจ
นั่นคือความอบอุ่นของครอบครัว เป็นความรักที่ต่อให้เหน็บหนาวกว่านี้ก็จะไม่ถูกแช่แข็ง เป็นครอบครัวที่แม้ข้างนอกจะมีเมฆดำปกคลุม สายฝนตกลงมาขับไล่ความร้อน ทว่าความหนาวเหน็บจากสายฝนกลับไม่อาจเข้าไปในบ้าน
ไม่รู้ว่าฝนตกเมื่อใด มันตกลงบนผืนดิน หลังจากยามเที่ยงวันฟ้าก็มืดครึ้ม สายฝนตกลงมาดุจดั่งมีพลังพิลึกบางอย่าง พอฟังนานเข้าก็อดง่วงมิได้
เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เช่นกัน พอกินอิ่มแล้วก็ตบท้อง ก่อนหัวเราะให้กับบิดามารดาและพี่ชาย ขณะกำลังจะกล่าวตาก็ค่อยๆ ปรือลง จนกระทั่งล้มลงในอ้อมกอดซูหมิง หลับไปทั้งที่ยังยกยิ้มหวานตรงมุมปาก
ซูหมิงมองน้องสาวในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน จากนั้นอุ้มนางเบาๆ พาไปส่งถึงเตียงเล็กในห้อง พอคลุมผ้าห่มให้แล้วก็มองเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ มองรอยตำหนิชัดเจนบนใบหน้านาง ซูหมิงรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวและการโดนดูถูกในชีวิตของเด็กคนนี้ขณะนางเติบใหญ่
ทว่านางก็เข้าใจดี ต่อให้ไม่มีใครมาเล่นกับนาง นางก็เล่นกับตัวเอง ต่อให้โดนรังแกมาจากข้างนอก พอกลับบ้านก็จะไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วเผยรอยยิ้มไม่ให้บิดามารดารู้
นางเป็นคนจิตใจดีมาก ไม่เคืองแค้นสหายที่เย้ยเยาะนาง นางชอบพวกเขาและก็ยอมทำเพื่อพวกเขา เพียงแต่ว่าการทำร้ายกันในแต่ละครั้ง นางจะเลือกหลบไปอย่างเงียบๆ ตลอด
“พี่…” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์พึมพำเบาๆ ยามหลับใหล รอยยิ้มบนใบหน้าน่ารักยิ่งกว่าเดิม ราวกับกำลังเล่นกับซูหมิงในความฝัน นอกจากบิดามารดาแล้ว นี่คือเรื่องที่มีความสุขที่สุดในใจนาง
ซูหมิงตบตัวนางเบาๆ หลังจากเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์หลับสนิทแล้ว เขาถึงเดินออกมาจากห้อง มองสายฝนด้านนอกที่ตกหนักขึ้น บนฟ้ามีสายฟ้าผ่าลงมาเป็นบางครั้ง สายฟ้าส่งเสียงดังสนั่น บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กำลังนั่งยองถักหญ้าตากละลองฝนอยู่ใต้ชายคา ข้างกายวางใบหญ้าขนาดเล็กใหญ่จำนวนไม่น้อย กระทั่งยังมีสีต่างกัน
มารดาของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก็กำลังเก็บชามข้าว พอเห็นซูหมิงออกมาเลยยิ้มให้ด้วยความรักและเมตตา
“น้องสาวเจ้าหลับแล้วรึ?”
ซูหมิงพยักหน้าแล้วช่วยเก็บชาม
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ต้องทำหรอก ไปนอนเถอะ ดูจากสีท้องฟ้าแล้วเกรงว่าฝนจะตกทั้งคืน”
“ไม่เป็นไรท่านแม่ ข้าไม่เหนื่อย” ซูหมิงยิ้มพลางส่ายศีรษะ
สตรีมองซูหมิง ลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อหนึ่งปีก่อนตอนบุตรสาวแบกเด็กหนุ่มคนนี้กลับมา นางก็คิดอยู่ว่าเด็กหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้มาจากครอบครัวใด เหตุใดถึงทิ้งได้ลงคอ
หนึ่งปีมานี้ ด้วยความขยันของซูหมิง บวกกับสายตามีที่พักพิงจากเขาเวลามองพวกนาง เลยทำให้สตรีคนนี้มองเขาเป็นบุตรชายของตนไปแล้ว
จนกระทั่งฝนข้างนอกตกหนักขึ้นอีกเล็กน้อย ตอนที่แทบจะเชื่อมกันเป็นปึกใหญ่ เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก็ตกใจตื่นจากเสียงฟ้าผ่า มารดารีบเข้ามาปลอบอยู่ชั่วครู่ ตบเบาๆ นางจึงค่อยหลับไปอีกครั้ง
ซูหมิงเดินมาอยู่ข้างชายวัยกลางคนอย่างเงียบๆ แล้วนั่งลงมองสายฝนข้างนอก รู้สึกถึงความเย็นจากสายฝนที่กระทบใบหน้า ผ่านไปนานเขาก็หันหน้าไปมองบิดาของตนในช่วงหนึ่งปีมานี้ สมาธิชายวัยกลางคนกำลังจดจ่ออยู่ราวกับไม่รู้ว่าตนมา เชือกหญ้าในมือปานมีชีวิต ด้วยการถักสานอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ออกมาเป็นตุ๊กตาลูกไก่
บางครั้งชายวัยกลางคนก็วางหญ้าสีต่างกันเข้าไปข้างใน ทำให้ตุ๊กตาดูสมจริงปานมีชีวิต เพียงแต่ว่าหญ้าเหล่านี้ส่วนมากมีขอบที่คมกริบ ในเวลาปกติก็ไม่มีอะไร ทว่าชายวัยกลางคนทำอย่างมีสมาธิจดจ่อ เขาจึงมองข้ามเรื่องความเจ็บปวดที่ถูกหญ้าบาดมือไป
สองมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลนี้คือร่องรอยจากการสร้างตุ๊กตามาทั้งชีวิต
ซูหมิงมองไป บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ในตอนนี้มีกลิ่นอายพลังที่ซูหมิงไม่เข้าใจอยู่ เขายังเป็นคนธรรมดา แต่ตุ๊กตาที่สร้างขึ้นเหมือนกับว่าเขามอบชีวิตให้มัน
การสังเกตแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ตลอดหนึ่งปีมานี้…หลังจากตื่นขึ้นและเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้ เขาจะชอบมองบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ถักสาน
ตุ๊กตาสมบูรณ์ทุกตัวเหมือนมีร่องรอยของชีวิต ทำให้เขาตกอยู่ในห้วงภวังค์นั้น ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง เมื่อเวลาผ่านไปความเข้าใจก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับมีม่านบดบังจึงทำให้ทุกอย่างเหมือนอยู่กลางหมอก
‘อะไรคือโชคชะตา…’ ในความคิดซูหมิงมีคำพูดในแผ่นไม้สีดำลอยขึ้นมา
“เรียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ขณะซูหมิงกำลังตั้งใจมอง ฟ้าก็มืดลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้น่าจะเป็นยามโพล้เพล้ ทว่าเมฆดำกับสายฝนทำให้ฟ้ามืดก่อนเวลา
ในที่สุดชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น หลังจากเห็นซูหมิงอยู่ข้างกายก็เผยรอยยิ้ม วางตุ๊กตาเชือกฟางในมือลงแล้วถามขึ้น
ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนหยิบคนตัวเล็กที่ตนถักตอนอยู่ในป่าดอกหอมหมื่นลี้เมื่อตอนเช้าส่งให้บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์
“ข้า…มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง” ซูหมิงขมวดคิ้ว
“ขาดชีวิต” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างเมตตา รับคนสานจากซูหมิงมา
“ทุกสิ่ง ขอแค่มีอยู่ก็จะมีชีวิต โดยเฉพาะพืชหญ้า มันมีชีวิตของมัน ตุ๊กตาที่ใช้มันถักสานก็มีชีวิตเช่นกัน ชีวิตที่ว่านี้ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี มันคงเป็นความรู้สึกบางอย่างกระมัง ถึงอย่างไรข้าก็สร้างตุ๊กตามาทั้งชีวิต
อันนี้ของเจ้าไม่มีชีวิตอยู่” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อธิบายให้ซูหมิงฟัง
“ทำอย่างไรถึงให้มันมีชีวิต?” ซูหมิงถามเสียงเบา
“ใช้ใจถักมัน จินตนาการถึงรูปร่างที่เจ้าจะถัก จินตนาการถึงรูปแบบเดิมที่จะถักมัน…ตลอดชีวิตข้าถักตุ๊กตารูปเด็กเพียงสองตัว เด็กหญิงก็คือเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ เด็กชายก็คือ…เฮ้อ พี่ชายของนาง”
เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มีพี่ชายคนหนึ่ง เรื่องนี้ซูหมิงเคยได้ยินนางเล่าให้ฟัง เขาแก่กว่านางสิบปี เมื่อแปดปีก่อน…ถูกสำนักวิญญาณอสูรที่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลมากมารับไปเป็นศิษย์
ผ่านไปสามปีก็ไร้วี่แววใดๆ…
ซูหมิงเงียบ ผ่านไปนานก็หยิบหญ้าที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา ขณะกำลังจะถักสาน นัยน์ตาพลันวาววับโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ยามเงยหน้าขึ้น แววตาปิดซ่อนความเย็นชาเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ข้างๆ ไม่สังเกตเห็นอะไรเลย เขาถอนหายใจแล้วยังถักต่อไป ทว่าครู่ต่อมาสายฝนด้านนอกกลับค่อยๆ ส่งความหนาวเข้ามามากขึ้น ก่อนมีสายรุ้งเลือนรางสองเส้นบินเข้ามากลางสายฝนอย่างช้าๆ จากที่ไกลๆ
เมื่อสองคนก้าวเข้ามา สายฝนที่ตกลงบนตัวพวกเขาพลันกลายเป็นน้ำแข็งตกลงพื้น น้ำแข็งนั้นเป็นสีดำทึบ หากมองในยามกลางวันจะต้องน่าตื่นตกใจอย่างแน่นอน
‘พวกเซียน…’ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง มองสองคนกลางสายฝนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทิศทางของพวกเขาก็คือบ้านครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์!