Skip to content

สู่วิถีอสุรา 605

Svtasr

ตอนที่ 605 เผยคมเขี้ยว

เวลาผ่านไปแวบเดียว ซูหมิงมาอยู่สำนักวิญญาณอสูรแปดเดือนแล้ว ด้วยเม็ดยาจำนวนมากและพลังฟ้าดินของที่นี่ ในที่สุดขั้นพลังก็ฟื้นฟูกลับคืนมาห้าส่วน!

ทว่ายิ่งช่วงหลังๆ ความเร็วในการฟื้นฟูจะช้าลงเรื่อยๆ เม็ดยาจากจ้าวชงก็เปลี่ยนไปสามชนิดแล้ว ทุกชนิดซูหมิงจะกินไปจำนวนมาก จนกระทั่งเมื่อสามวันก่อน ตอนไปรับเม็ดยาอีกครั้ง จ้าวชงก็บอกด้วยน้ำเสียงจนปัญญาน้อยๆ ว่าจะไม่มีเม็ดยาให้ชั่วคราว

รูปร่างหน้าตาซูหมิงยังคงเหมือนอายุสิบสองสิบสาม แม้จะสูงขึ้นเล็กน้อย ทว่ากลับเปลี่ยนไปไม่มาก กระทั่งเขายังมีความรู้สึกราวกับตนย้อนอดีตกลับไป จะไม่อาจคืนร่างเดิมอีก และค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นในร่างซู่มิ่งนี้

ในสายตาคนอื่น บนตัวซูหมิงยังคงไม่มีระลอกคลื่นพลังใดๆ เว้นแต่จะเป็นนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ถึงจะมองออกเล็กน้อย แต่ในสำนักวิญญาณอสูรนี้มีนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์เพียงคนเดียว อีกทั้งยังปิดด่านนั่งฌานทั้งปี ไม่สนเรื่องทางโลก จึงไม่มีใครมองขั้นพลังซูหมิงออก

จ้าวชงก็ย่อมเช่นกัน ทว่าเขาเกิดความสงสัยในตัวซูหมิง แปดเดือนมานี้เขาเสียเม็ดยาไปกับเด็กคนนี้จนแทบจะหมดตัว มันทำให้เขาปวดใจจนแทบจะคลุ้มคลั่งไปสังหารซูหมิงอยู่หลายครั้ง

ศิษย์ก่อนหน้านี้ทุกคนของเขาล้วนไม่ประหลาดดั่งซูหมิง เขาเคยตรวจสอบอยู่หลายครั้งจนมั่นใจว่าซูหมิงกินไปจริงๆ อีกทั้งยังมั่นใจว่าเป็นเพียงคนธรรมดา กระทั่งเขายังใช้ของวิเศษเพื่อตรวจสอบว่าปกปิดขั้นพลังไว้หรือไม่

หากแต่คำตอบสุดท้ายกลับไม่มีเรื่องที่ซูหมิงเป็นผู้ฝึกฌานเลย ไม่ว่าจะมองอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เพียงแค่…กินได้มากกว่าคนอื่นเล็กน้อย

มิเช่นนั้นเขาคงยากจะอดกลั้นความเจ็บปวดใจต่อไป

จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อน ในที่สุดเม็ดยาของเขาก็เหลือไม่มากแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ทำใจใช้กับซูหมิงไม่ได้ ได้แต่ต้องบอกอย่างจำใจว่าจะไม่มีเม็ดยาให้ชั่วคราว ทว่าในใจเขากลับไม่ได้ปวดใจไปกับเรื่องนี้เสียทั้งหมด ตลอดเวลาแปดเดือนเขาเฝ้าสังเกตซูหมิงบ่อยๆ เลยทั้งปวดใจและเฝ้ารอคอยเรื่องที่อีกฝ่ายกินยาไปมากขนาดนี้

ส่วนซูหมิง การฟื้นพลังในเวลาแปดเดือนทำให้จิตสัมผัสเฉียบคมกว่าแปดเดือนก่อนหลายเท่า แม้ไม่ได้ออกจากลานนี้เลย แต่ทุกอย่างในฝ่ายนอกสำนักวิญญาณอสูรอยู่ใต้การลอบกวาดมองของจิตสัมผัสอย่างชัดเจน

ส่วนจ้าวชง ซูหมิงย่อมไม่ยอมปล่อยไปแน่ เพียงแต่ในจิตสัมผัสเห็นเพียงว่าในห้องจ้าวชงเต็มไปด้วยหมอกหนา ในหมอกนั้นมีกลิ่นคาวเลือด และยังเห็นรางๆ ว่ามีร่างเงาคนนั่งขัดสมาธิอยู่ แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว

ในสายตาซูหมิง ขั้นพลังจ้าวชงพิลึกอยู่เล็กน้อย มองแวบแรกเหมือนขั้นชำระล้าง ทว่าพอมองดีๆ กลับมีระลอกคลื่นขั้นวิญญาณหมานเสี้ยวหนึ่ง

โดยเฉพาะแปดเดือนมานี้อีกฝ่ายไม่มีอะไรผิดปกติเลย แต่กลับมอบเม็ดยาให้จำนวนมาก หากไม่มีเม็ดยาเหล่านี้ ซูหมิงจะฟื้นขั้นพลังของกระดูกหมานทั้งหมดในร่างกายก็จำเป็นต้องใช้เวลานานกว่านี้

ฉะนั้นซูหมิงจึงยังไม่ลงมือเกี่ยวกับเรื่องของจ้าวชง เขาอยากรู้ว่าหลังจากสัมผัสขีดความอดทนของบุคคลนี้แล้ว ในตอนที่ไม่มีเม็ดยาอีกฝ่ายจะทำอะไร

วันหนึ่ง หลังจากเขามาถึงสำนักวิญญาณอสูรได้แปดเดือนครึ่ง ที่นี่ก็เข้าสู่หน้าหนาว มีหิมะตกลงมา เชื่อมกันไม่ขาดสาย มองไปแผ่นดินเป็นหิมะงดงาม ต่อให้อยู่ใต้แสงจันทร์ก็ยังสะท้อนแสงเงิน

ทั้งยอดเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ถึงจะเป็นบนวิหารใหญ่สีดำเหล่านั้นก็ด้วย ความสมบูรณ์แบบของขาวและดำ ทำให้ตอนที่มองไปจะเกิดความรู้สึกดุจดั่งเห็นภาพวาดน้ำหมึก

ควันดำที่ลอยโชยราวกับคงอยู่ไปนิจนิรันดร์ ก็ยังอยู่บนภาพวาดน้ำหมึกนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ค่ำคืนมืดมิดวันหนึ่ง ซูหมิงมองหิมะนอกหน้าต่าง ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพหน้าหนาวในครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์….

‘พี่โก่วเซิ่ง พวกเรามาสร้างมนุษย์หิมะด้วยกันดีหรือไม่’

‘พี่โก่วเซิ่ง ท่านนิสัยไม่ดี ทำมนุษย์หิมะพังหมดแล้ว’

‘พี่โก่วเซิ่ง ท่านว่าเหตุใดถึงมีหิมะตก ข้าเคยถามท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว แต่พวกท่านก็ไม่รู้เหมือนกัน’

ซูหมิงยิ้มมุมปาก ตอนนี้ในห้องเขามีวิญญาณนับไม่ถ้วนลอยวนเวียนอยู่ จึงทำให้รอยยิ้มบางๆ ดูไม่เข้ากับโดยรอบ

ซูหมิงคุ้นชินกับวิญญาณพวกนี้แล้ว กระทั่งเขายังพบว่าวิญญาณที่มาในแทบทุกคืนจะไม่เหมือนกัน พวกมันเข้าๆ ออกๆ ในห้อง หลังจากเขาฟื้นพลังกลับมามากกว่าครึ่งก็พบอีกว่าวิญญาณพวกนี้ไม่ได้อยู่แค่เพียงห้องของตน แต่จะอยู่ไปทั้งเขตสำนักฝ่ายนอก นอกจากสถานที่บางแห่งแล้ว วิญญาณจะลอยไปๆ มาๆ ทุกที่

ซูหมิงมองหิมะนอกหน้าต่าง ผ่านไปพักใหญ่นัยน์ก็พลันเป็นประกายเย็นชา แค่นเสียงหยันในใจก่อนหลับตาลง แม้จะหลับตาอยู่ ทว่าจิตสัมผัสยังคงรู้สึกถึงโดยรอบอย่างชัดเจน

เขาเห็นว่าประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มีสายลมหนาวพัดเข้ามาพร้อมกับคนคนหนึ่ง บุคคลนี้มีหมอกดำโอบล้อมจึงมองไม่เห็นหน้าตา ทว่าพอเข้ามาแล้ววิญญาณในห้องก็หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ หายไปจากในห้อง

คนผู้นี้มาอยู่ข้างเตียงซูหมิง มองเขาที่หลับตาปานหลับใหล นัยน์ตาในหมอกดำเป็นประกายแสงหม่น

“ไอ้เด็กระยำ กินเม็ดยาข้าไปเยอะขนาดนั้น ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้แล้ว!” ร่างเงานี้ก็คือจ้าวชง เขาสะบัดแขนเสื้อสร้างหมอกดำม้วนเข้ามายังซูหมิง ก่อนวูบไหวตัวพากลับไปยังห้องของตน

ในดวงตาซูหมิงที่หลับอยู่ปิดซ่อนความเย็นชาเอาไว้ จ้าวชงไม่สังเกตเห็นจิตสัมผัสของเขาแม้แต่น้อย ซูหมิงมองอีกฝ่ายพาตนไปยังห้อง จากนั้นก็เดินเข้าไปในวงแหวนอาคมที่ถูกหมอกดำซ่อนเอาไว้

หลังจากวงแหวนอาคมขยับวูบวาบ ซูหมิงกับจ้างชงก็มาปรากฏตัวอยู่ในถ้ำสีดำทึบแห่งหนึ่ง จากระลอกคลื่นอาคมเคลื่อนย้าย ซูหมิงจึงมองออกว่าระยะการเคลื่อนย้ายไม่ไกลนัก น่าจะยังอยู่ในสำนักวิญญาณอสูรนี่เอง

แม้โดยรอบจะมืดมิด แต่พอจ้าวชงสะบัดมือก็พลันมีแสงอ่อนจางส่องสะท้อน นี่เป็นถ้ำแห่งหนึ่ง รอบๆ มีศพแห้งกรังอยู่หลายร้อยร่าง ศพแห้งเหล่านี้ล้วนอ้าปากกว้าง ดวงตาไร้ประกาย หนังหุ้มกระดูกทั้งตัวราวกับเสียเลือดเนื้อและพลังชีวิตทั้งหมดไป

รูปร่างหน้าตาพวกเขาต่างกัน ทว่าท่าทางเหมือนกันคืออยู่ในท่านั่งฌานสมาธิ

“ไอ้เด็กระยำ เจ้าจะได้ไปพบกับพี่ชายของเจ้าแล้ว!” เห็นได้ว่าจ้าวชงโกรธแค้นที่ซูหมิงกินเม็ดยาตนไปมากกว่าครึ่งปี ยามนี้เมื่อด่าทอเสร็จแล้วก็ไม่สนใจซูหมิงอีก แต่นั่งขัดสมาธิบนพื้น สองมือทำสัญลักษณ์ หมอกรอบตัวพลันหมุนตลบไหลเข้าสู่ในร่างกาย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาเผยใบหน้าออกมา

เขาเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าซีดขาวดูอ่อนแออย่างยิ่ง หลังจากซูหมิงใช้จิตสัมผัสมองเห็นใบหน้าเขาแล้วก็ต้องใจสั่น

รูปร่างหน้าตาคล้ายกับบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ยิ่งนัก! หากไม่ใช่ว่าอายุไม่ถูกต้อง คงคิดว่าเป็นพ่อลูกกัน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!