ตอนที่ 692 ก้าวสู่การสร้างชะตา
ผลึกโลหิตแต่ละอันผสานรวมกับทั่วร่างซูหมิงอย่างรวดเร็ว ทุกการผสานรวมกับผลึกโลหิต ขั้นพลังเขาจะทะยานขึ้น กลิ่นอายพลังจะเหนี่ยวนำฟ้าดิน และมีความน่าเกรงขามอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เกิดขึ้นรางๆ ในดวงตา
ความน่าเกรงขามนี้คือกลิ่นอายพลังที่อยู่สูงสุดของฟ้าดิน ความน่าเกรงขามนี้หมายถึงการปะทุอย่างบ้าคลั่งจากความอัดอั้นของเผ่าหมานมาแต่โบราณกาล
มีผลึกโลหิตเท่าไร ซูหมิงไม่ได้นับ และเขาไม่จำเป็นต้องนับด้วย เพราะเขาไม่สนใจอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเท่าไร สิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง หรือมากกว่านั้น สำหรับเขาแล้วมันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเขาเดินออกมาจากวัฏจักรของกระจกภายในกระจก สิ่งสำคัญคือเขารู้แน่ชัดแล้วว่าตนในตอนนี้…ไม่ได้อยู่ในวัฏจักรอีก!
เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกระจกของกระจกอีก เพราะการกระโดดบนเขาแดนหมานเขาจึงหาจุดนั้นพบ แล้วก้าวออกมาจากจุดนั้นได้อย่างสมบูรณ์
เขารู้ว่าตนเป็นของจริง เป็นเพียงหนึ่งเดียว!
ฉะนั้นวัฏจักรกี่ครั้งก็ไม่สำคัญสำหรับเขา!
ซูหมิงเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ตอนนี้หลังจากผลึกโลหิตจำนวนมากผสานรวมเข้าสู่ร่างกาย ก็ปะทุพลังขึ้นมา ส่งเสียงดังโครม ก่อนก้าวผ่านขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ ผนึกในหัวเขาพังทลายลงหมดสิ้น จากนั้นก็มีความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้าสู่จิตสำนึกประดุจน้ำหลาก ทำให้เขาได้เห็นโลกใบหนึ่ง
โลกนั้นเป็นสีดำทึบและอ้างว้าง เขาได้ยินเสียงบุตรสาวของเทพหมานรุ่นสองอีกครั้ง นั่นคือน้องสาวของเขา เสียงเรียกทุกครั้งทำให้เขาเจ็บปวดใจ
ความทรงจำเขามีไม่เยอะ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าในความทรงจำสั้นๆ นี้ เขารู้สึกว่านอกแดนมรณะหยิน กลางฟ้ากระจ่างดาวของเผ่าเซียน มีการเรียกหาอย่างเด่นชัดอยู่ การเรียกหานั้นไม่ใช่เสียงน้องสาวตน แต่เป็นการเรียกจากจิตวิญญาณ เหมือนกับว่าเดิมทีมันก็เป็นหนึ่งเดียวกับตัวเขา
แม้การเรียกนี้จะชัดเจนอย่างยิ่ง แต่กลับมีเสียงเรียกเบาๆ อีกหลายร้อยเสียงจนกระทั่งนับไม่ถ้วนรวมอยู่ด้วย เสียงเรียกเบาๆ เหล่านี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกบางอย่าง
คล้ายกับว่า…ผู้ฝึกฌานทั้งหมดในแดนเซียน…ทุกคนมีวัตถุที่เป็นของเขาซูหมิง ดังนั้นยามนี้เลยเกิดความรู้สึกถึงเสียงเรียกหานับไม่ถ้วนจากแดนเซียน
ท่ามกลางเสียงเรียกนั้น ขั้นพลังซูหมิงในดินแดนเผ่าหมานพลันก้าวสู่ช่วงสำคัญที่สุดหลังจากวิญญาณหมานสมบูรณ์ หนึ่งก้าวนี้คือสร้างชะตา!
ขอบเขตพลังสร้างชะตามีทั้งหมดสี่ขั้นพลังใหญ่ รูปแบบชะตา ขาดชะตา บรรลุชะตา และโลกชะตา!
รู้ว่าอะไรคือชะตา และรู้รูปแบบชะตาของตัวเอง เข้าใจการแปรเปลี่ยนของฟ้าดิน มีพลังหยั่งรู้โชคชะตา นี่คือรูปแบบชะตา!
“รูปแบบชะตาของข้าคือจากความตายสู่ความเป็น จากฤดูหนาวไปสู่ฤดูใบไม้ผลิ รูปแบบชะตาของข้า…ไม่ใช่การก้มหัวให้สวรรค์กำหนดชะตา แต่คือให้สวรรค์มาก้มหัวให้ข้า และใช้ความหมายของความตายย้อมชีวิตให้หมด!”
ซูหมิงกล่าวเนิบช้า เมื่อสิ้นเสียงนั้น เศษเสี้ยวพลังแห่งหนึ่งโลกที่เขาได้มาจากคำอวยพรของจู๋จิ่วอินในโลกเก้าหยินก็พลันหลอมละลายเป็นวงกว้างในใจเขา
เมื่อมันหลอมละลาย ดวงตาซูหมิงดุจดั่งดารา เอกลักษณ์เฉพาะตัวเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์โดยพลัน ราวกับว่าเกิดการผลัดเปลี่ยนของจิตใจและการวิวัฒนาการ!
ทั้งแผ่นดินหมานส่งเสียงโครมครามตามขึ้นมา เทวรูปหมานด้านหลังที่สลายไปก่อนหน้านี้รวมตัวขึ้นอีกครั้ง
เทวรูปหมานมายาพันจั้งรวมกันสมจริงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปรากฏกายเนื้อดุจของจริง ชาวเผ่าหมานที่คุกเข่าคารวะอยู่ก็เปล่งเสียงตะโกนด้วยความยินดี
เสียงนั้นดังกึกก้องกังวาน สร้างความตื่นตะลึงกับเผ่าเซียนทุกคนที่ได้ยิน เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความคลุ้มคลั่ง แรงปะทุจากความอัดอั้น และจิตวิญญาณของเผ่าหมาน!
ระหว่างเสียงนี้ดังกังวานออกไป ทะเลมรณะไหลเชี่ยวรุนแรงขึ้น ทั้งทะเลมรณะแทบจะมีคลื่นสูงเทียมฟ้าโหมซัด ภายใต้คลื่นทะเลที่ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง ในนั้นมีสัตว์ทะเลจำนวนมากตัวสั่นและพากันหลบหลีก
ในเวลาเดียวกัน ช่วงที่ทะเลมรณะร้องคำรามด้วยความดุดันถึงขีดสุด น้ำทะเลก็ม้วนตลบถอยไปรอบด้าน คล้ายกับว่า…มีของใหญ่ยักษ์บางอย่างกำลังลอยขึ้นมาจากในทะเลมรณะ!
หลังจากน้ำทะเลม้วนถอยไป ก็เกิดน้ำวนขนาดหลายแสนลี้ขึ้นบนผิวทะเล น้ำวนหมุนโคจรพร้อมกับส่งเสียงดังกระหึ่ม ในนั้นมีเส้นไอหนาวลอยขึ้นมามากมาย ทำให้โลกหมานหนาวเย็นขึ้นมากในทันที
เมื่อทะเลมรณะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ บนฟ้าเหนือซูหมิง วงแหวนอาคมมาเยือนของเผ่าเซียนด้านหลังผืนผ้าสีครามก็ส่งเสียงระเบิดดังสนั่น ทั้งยังมีลำแสงวูบวาบอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ากำลังมีเซียนมาเยือนอีกครา อีกทั้งดูจากการหมุนโคจรของวงแหวนอาคมสองจุดนี้แล้ว เกรงว่าครั้งนี้คงมามากที่สุด!
ซูหมิงหมุนตัวอย่างช้าๆ หันไปมองเทวรูปหมานด้านหลังตัวเอง จากนั้นก็ยกมือขวาชี้เทวรูปหมาน
“จากนี้ไป เทวรูปหมานของข้าคือเทวรูปแห่งชะตาของผู้ฝึกฌานเผ่าหมานที่ข้ามผ่านขั้นวิญญาณหมาน! จากนี้ไป ชาวเผ่าหมานจะทำลายขีดจำกัดขั้นวิญญาณหมาน สามารถตระหนักรู้การสร้างชะตาของข้าได้!” เสียงซูหมิงเหมือนมีเสียงสะท้อนตามมา พาดวงชะตาของทั้งเผ่าหมานส่งเสียงดังกังวานออกไป จากนั้นเทวรูปหมานของเขาพลันเปล่งแสงสว่างจ้า กลิ่นอายสร้างชะตาปรากฏอยู่ในตัวเทวรูปหมาน
ตำนานโบราณกล่าวไว้ว่า เมื่อปรากฏเทพหมานอีกครั้ง ผู้ฝึกฌานทั้งเผ่าหมานจะไม่จำกัดอยู่เพียงขั้นวิญญาณหมานอีกต่อไป และตอนที่เทพหมานรวมเทวรูปของขั้นพลังใหม่ต่อจากเทวรูปวิญญาณหมานแล้ว ทั้งเผ่าหมาน…จะเกิดการทะลวงขั้นพลังพร้อมกันทั้งหมด!
เผ่าหมานทั้งหมดที่นี่ในตอนนี้ ขั้นพลังของทุกคนทะยานขึ้นทันที ภายใต้การแผดเผาของสายเลือด ต่อให้ไม่ใช่เผ่าหมานที่อยู่ที่นี่ ขั้นพลังก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งวิญญาณหมานที่ค้างอยู่ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์มานานมาก เวลานี้ต่างก็รู้สึกถึงความเดือดพล่านของขั้นพลังในร่างกายและร่องรอยการสร้างชะตาจากเทวรูปแห่งชะตา
อีกไม่นานนัก…พวกเขาก็อาจจะใช้ความเข้าใจกับสายเลือดของตน ก้าวสู่ขอบเขตพลังการสร้างชะตาเหมือนกับซูหมิง!
นี่ต่างหากคือสัญญาณการผงาดขึ้นและความหวังของเผ่าหมาน!
“เทพหมาน!”
“เทพหมาน!”
“เทพหมาน!” เสียงตะโกนจากเผ่าหมานดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเสียงหนึ่งเดียวตรงนี้ ท่ามกลางเสียงและการคารวะด้วยความเคารพ ซูหมิงหันกลับไปมองตี้เทียนที่ศีรษะลุกไหม้เหลือไม่ถึงครึ่ง
“วิชาวัฏจักรของเจ้า เทียบกับโลกอมตะของจู๋จิ่วอินแล้วอ่อนด้อยกว่ามาก…มากจริงๆ” หากอธิบายอย่างละเอียด ตี้เทียนวางวัฏจักรกระจกซ้อนกระจกกับซูหมิง ตามหลักการแล้วมันเหมือนกับโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน
เพียงแต่ว่าซูหมิงยังรักษาสติในวัฏจักรนับครั้งไม่ถ้วนของโลกอมตะได้ จนหล่อหลอมออกมาเป็นจิตใจแน่วแน่ที่แข็งแกร่ง แล้วก้าวออกมาด้วยความเข้าใจ เมื่อเทียบกับมันแล้ว วิชาของตี้เทียนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงจริงๆ
การตกอยู่ในบ่วงก่อนหน้านี้ซึ่งย้อนกลับไปยังภูเขาทมิฬเมื่อหลายร้อยปีก่อน จริงๆ หากซูหมิงไม่ยินยอม เขาจะไม่กลับไปก็ได้ ทว่าที่เขายอมกลับไปอยู่ในบ่วงนั้นก็เพราะอยากตามหาจุดนั้นให้เจอ!
ตี้เทียนมีสีหน้าทะมึนทึบ ตื่นตะลึงและซับซ้อน ทุกอย่างอยู่เหนือการคาดเดาของเขาจนไม่มีทางแก้ไขได้เลย จนถึงตอนนี้เขาสูญเสียการควบคุมซูหมิงอย่างแท้จริง
เขารู้ว่าจากนี้ไป…ซูหมิงจะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีก เขาได้เสียวัฏจักรที่จะควบคุมอีกฝ่ายไปแล้ว
ทว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ นอกจากคำถามจากสำนักเซียนอื่นๆ เกี่ยวกับแผนการนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือเขาต้องเผชิญหน้ากับการสังหารของซูหมิงหลังออกจากแดนหมาน
ถึงซูหมิงจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนักในสายตาร่างจริง ทว่า…..การเติบโตและทักษะความเข้าใจของอีกฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงนิมิตหมายแห่งยมโลก นึกถึงภัยพิบัติในตำนานของเซียนในครั้งนั้น และยังมีผลดีจากศพร่างนั้นที่มีต่อแดนเซียนรวมถึงตัวเขาด้วย ไม่รู้กี่ปีมาแล้วที่แทบทุกคนล้วนได้รับพลังจากผลดีนั้น หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น นี่จะสร้างภัยพิบัติอีกครั้งให้กับแดนเซียน!
ในสมองเขาพลันมีความคิดบ้าระห่ำเพียงอย่างเดียว
‘จะให้เขาออกจากเผ่าหมานไม่ได้’
แทบทันทีที่ตี้เทียนเกิดความคิดนี้ นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกายประหลาด เขารู้สึกชัดว่าเมื่อตนก้าวสู่ขอบเขตพลังการสร้างชะตาแล้ว ในใจก็เหมือนมีเสี้ยวการเชื่อมต่อบางๆ กับเมืองหลวงต้าอวี๋ใต้ทะเลมรณะ และการเชื่อมต่อนี้กำลังเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ!
เขาเดินหนึ่งก้าวไปหาตี้เทียน วินาทีที่เหยียบเท้าลง ดวงตาตี้เทียนเต็มไปด้วยเส้นเลือด ศีรษะไม่ถึงครึ่งพลันระเบิดกระจุยทันใด
เขาอาศัยแรงระเบิดตัวเองนี้ร้องคำรามเสียงเล็กแหลม
“ทัณฑ์สวรรค์โชคชะตา แสงแห่งเก้าดารา ดวงดาวส่องสว่างไร้ร่องรอย!”
หลังจากตี้เทียนระเบิดตัวเองก็ส่งเสียงตะโกนดังก้อง ตรงจุดที่ศีรษะระเบิดเกิดภาพมายาดุจผิวน้ำ ในผิวน้ำนั้นสะท้อนเป็นดาราแท้จริงทั้งเก้าดวง พวกมันเปล่งประกายแสงสว่างจ้า สะท้อนออกมาจากภาพมายาผิวน้ำและตรงไปหาซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ช่วงที่ก้าวเดิน ร่างกายเขาถูกลำแสงนับไม่ถ้วนทะลวงผ่าน ทว่าก็เพียงแค่ทะลวงผ่านไป ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับซูหมิง ตอนที่เขาเหยียบเท้าลงก็มาปรากฏตัวอยู่กลางดาราเก้าดวงในผิวน้ำภาพมายาแล้ว
“ขอสาปแช่งด้วยรูปแบบชะตาของข้า…” ซูหมิงยกมือขวากดไปบนผิวน้ำ
ตอนที่วางฝ่ามือลง ผิวน้ำเหมือนมีน้ำหมึกซึมเข้าไป มันถูกย้อมเป็นสีดำทึบอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีกลิ่นเน่าเหม็นวนเวียนกลางผิวน้ำ ทำให้ผิวน้ำมีควันดำลอยโชยขึ้นมาแล้วหายไปรอบๆ ตัวเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงขึ้นจมูกเล็กแหลมแว่วมาจากมวลอากาศ
นี่คือคำสาปของซูหมิง ต่อให้ร่างอาคมตี้เทียนสลายไป คำสาปก็ยังคงไล่ตามดวงชะตาไปโจมตีร่างจริงให้เน่าเปื่อย!
ขณะเดียวกับที่ตี้เทียนสลายไปและคำสาปซูหมิงตามไปหาร่างจริงนั้น ผืนผ้าครามบนฟ้าสลายไป ในระลอกคลื่นบนผ้าครามเหมือนกลายเป็นใบหน้าชายชราคนหนึ่ง มีเสียงเพลงซวินดังก้องรอบๆ ใบหน้านั้นมองซูหมิงจากบนฟ้าแวบหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มเมตตา
“ข้าจะรอเจ้าที่เขาแดนหมาน…”
ผืนผ้าครามหายไป ท้องฟ้ากลับมาเป็นน้ำวนดังเดิม ส่วนดาราแท้จริงหลายดวงที่เข้ามาใกล้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็หายไปโดยไร้ร่องรอยด้วย ทว่าวงแหวนอาคมของเผ่าเซียนบนฟ้ากลับขยับวูบวาบอย่างรุนแรง แล้วมีร่างคนลงมาเยือนทีละคน
สิบคน ร้อยคน พันคน…จนเกือบหมื่นคน!