ตอนที่ 771 ปฏิกิริยาจากเผ่าพันธุ์ประหลาด
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ทว่าความตื่นตัวในใจบรรลุถึงขีดสุด กระทั่งหากไม่ใช่เพราะเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าล้มเลิกกลางคันตอนนี้คงรู้สึกไม่ยอม เช่นนั้นเขาคงออกไปทันทีแล้ว
ถึงอย่างไรคนอื่นก็ไม่รู้สึกอะไร มีเพียงตนที่รู้สึกว่ามีคนมองอยู่ข้างหลัง อยู่ในแดนผนึกลึกลับนี้ คงห้ามใจไม่ไห้เกิดความรู้สึกกลัวมิได้
เวลานี้ ภายในเส้นทางที่พวกเถียนหลินเข้าไป ระหว่างที่ทุกคนห้อเหยียดไปข้างหน้า ภายในดาวแดงเพลิง เส้นสีขาวนับไม่ถ้วนที่วนเวียนรอบๆ โดยมีที่นี่เป็นใจกลาง และมีเพียงผู้รักษาการณ์เท่านั้นที่จะเห็นมันได้จากเงาสะท้อนแสง ตอนนี้…แตกหักไปเจ็ดร้อยแปดเส้นแล้ว
แทบจะหนึ่งในห้าส่วนแตกหักทั้งหมด จุดที่เหลืออยู่ล้วนเกิดรอยแตกหัก ความจริงแล้วปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตอนพวกซูหมิงกลุ่มเดียวเข้ามา แต่เมื่อสัตว์ร้ายทั้งหมดบนดาวแดงเพลิงออกจากผนึก ผนึกเหล่านั้นก็พังทลายลงทั้งหมดในพริบตา
ต่อให้พวกซูหมิงไม่เข้ามาที่นี่ เส้นสีขาวก็จะค่อยๆ เปราะบางลงอยู่ดี
อีกทั้งตรงส่วนลึกสุดของผนึก ตอนนี้ ณ พื้นที่หนึ่งซึ่งห่างจากพวกซูหมิงไปไม่ไกลนัก โครงกระดูกที่แช่ร่างอยู่ในหินหนืดสีดำไม่มีสิ้นสุด กระบี่สีดำที่ปักเข้าไปในกระดูกเขากำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
คล้ายกับว่ากระบี่จะถูกบีบออกมา นัยน์ตาโครงกระดูกมีแสงหม่นขยับวูบวาบ แม้แต่กระบี่อีกสองเล่มที่ปักอยู่บนตัวเขายังคลายออกอย่างเนิบช้า
นอกจากนี้ ขณะที่นัยน์ตาโครงกระดูกขยับแสงหม่นวูบวาบ ยังเกิดเค้าว่าเลือดเนื้อฟื้นฟูกลับมารางๆ เลือดเนื้อปกคลุมบนร่างกระดูก ทำให้โครงกระดูกเหมือนกำลังฟื้นคืนชีพ!
“ข้ารู้สึกถึง…..กลิ่นอายพลังเผ่ายมโลก…”
วินาทีที่เลือดเนื้อตรงใบหน้าฟื้นกลับมา ภายในพื้นที่รอบโครงกระดูกกลับเกิดเส้นสีขาวนับไม่ถ้วนขึ้น เส้นเหล่านั้นตัดสลับกันเป็นตาข่าย ตายข่ายนี้มีหนึ่งในห้าส่วนหายไป ส่วนที่เหลือก็กำลังคลายออกช้าๆ แต่โดยรวมแล้วยังเป็นโครงสร้างอยู่ จะเห็นได้ว่าตาข่ายจากเส้นสีขาวจำนวนมากนี้คือผนึกใช้พันธนาการเผ่าประหลาดชื่อหั่วโหว
ตาข่ายสีขาวรวมเข้ามาหาโครงกระดูกอย่างเงียบเชียบ ครั้นตัดสลับผ่านร่างเขาแล้ว โครงกระดูกก็ตัวสั่นไปทั่วร่าง เลือดเนื้อบนใบหน้าพลันกลายเป็นเศษเนื้อ ถูกแยกออกจากกระดูกไป
วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา หลังจากตาข่ายสีขาวตัดสลับกันเก้าครั้ง ในตัวโครงกระดูกก็ไม่มีเลือดเนื้ออีก ตาข่ายจึงค่อยๆ หายไป
ทว่าโครงกระดูกเหมือนชินกับเรื่องนี้แล้ว กระบี่บนศีรษะยังคงสั่นไหวแล้วคลายออกช้าๆ นัยน์ตาโครงกระดูกเปล่งแสงหม่นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกันนอกพื้นที่นี้ บริเวณถ้ำคล้ายรังผึ้งที่โอบล้อมอยู่นับไม่ถ้วน ภายในถ้ำแห่งหนึ่งในนั้น นอกผนึกหลายต่อหลายชั้น พวกซูหมิงกำลังเดินหน้าด้วยความเร็วสูงสุด เพียงแต่ว่าไม่นานพวกเถียนหลินที่อยู่ข้างหน้ากลับต้องหยุด
ตรงหน้าพวกเขามีม่านแสงสีขาวอุดทางอยู่
“ผนึกชั้นที่สองนี้แกร่งกว่าผนึกก่อนหน้านี้หลายเท่า ข้าต้องใช้เวลา” คนแคระซุนคุนมองอยู่ข้างม่านแสงครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงต่ำ
ซูหมิงยืนอยู่ไม่ไกล กระเรียนขนร่วงอยู่ข้างเท้า มันหาวหวอดดูเกียจคร้าน และยังมองซุนคุนอย่างเหยียดหยามพลางกล่าวในใจว่าหากมันลงมือ พริบตาเดียวก็ทำลายได้แล้ว แต่ในเมื่อซูหมิงไม่ให้ลงมือ มันเลยสบายไป
มันนอนหมอบอยู่ตรงนั้น พอมองไปรอบๆ แล้วก็มีสีหน้าเหม่อลอยอีกครั้ง
‘บัดซบ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเคยมาที่นี่…ไม่ใช่ มันเพียงคล้ายกัน…’ กระเรียนขนร่วงออกแรงสั่นศีรษะ แต่กลับนึกอะไรไม่ค่อยออก
ซูหมิงยืนเงียบๆ ในใจตื่นตัวอย่างยิ่ง ยิ่งเข้าใกล้ส่วนลึกของผนึกมากเท่าไร ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น เวลานี้เขามองไปรอบๆ พลางโคจรพลังทั้งหมด ผึ้งพิษในแขนเสื้อยังรวมจิตสัมผัสดวงวิญญาณของเขาด้วย
ไม่นานซุนคุนก็ปาดเหงื่อตรงหน้าผาก สองมือประสานสัญลักษณ์มือก่อนชี้ไปยังม่านแสง และยังยกมือขวาขึ้นเรียกเข็มทิศขึ้นมาอยู่ในมือ ก้านเข็มทิศหมุนเร็วไว แต่ทุกสิบลมหายใจจะหยุดนิ่งหนึ่งครั้ง ทุกครั้งที่หยุดซุนคุนจะกดมือซ้ายไปบนม่านแสงอย่างเร็วรี่ ม่านแสงคล้ายกับผิวน้ำ หลังเขากดนิ้วไปแล้วก็เกิดวงกระเพื่อมกระจายออกหลายชั้น
หลังจากซุนคุนกดนิ้วไปครั้งที่เก้า ระลอกคลื่นบนม่านแสงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันตัดสลับกัน ราวกับเกิดคลื่นลูกใหญ่บนม่านแสง
“ใช้พลังทั้งหมดโจมตีเก้าจุดนี้พร้อมกัน!” ช่วงที่ซุนคุนเอ่ย ยังไม่ทันที่เยียเซินถงจะลงมือ เถียนหลินด้านข้างนัยน์ตาขยับประกาย เขายกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏกิ่งไม้ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเก้าอัน ก่อนจะส่งไปปะทะเก้าจุดบนม่านแสงในพริบตา เสียงครึกโครมดังกังวาน ม่านแสงแตกกระจายโดยพลัน เถียนหลินหน้าซีดขาวเล็กน้อย ตอนที่ถอยหลังไปหลายก้าว เขาพลันหน้าเปลี่ยนสี แล้วหันไปมองเส้นทางด้านหลังม่านแสงที่พังทลาย
ขณะเดียวกัน คนที่หน้าเปลี่ยนสียังมีซุนคุน เยียเซินถง และหลงลี่ชายชราหลังค่อม ซูหมิงหรี่ม่านตาเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อม่านแสงพังลงก็มีกลิ่นอายพลังแห่งโลกที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งแผ่กระจายมาจากข้างใน
“กลิ่นอายพลังแห่งโลก เป็นมันจริงๆ เข้มข้นเช่นนี้ หากฝึกที่นี่หลายปี ข้ามั่นใจว่าจะต้องทะลวงสู่เจ้าปกครองโลกตอนกลางได้!” หลงลี่หน้าเปลี่ยนสี ตอนเดินหน้าไป คนอื่นๆ ที่เหลือก็ตามเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
ซูหมิงยังคงอยู่รั้งท้าย ทว่าพอเข้าไปในม่านแสงพังทลายแล้ว ลมหายใจเขากระชั้นขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นว่าผนังหินตรงเส้นทางนี้ก่อขึ้นจากหินสีครามเข้ม พลังแห่งเลือดเนื้อภายในหินสีครามนี้เข้มข้นเกินกว่าส่วนที่เขาได้รับมาบนพื้นผิวดาว
กระทั่งยังไม่อาจนำมาเปรียบกันได้ เหมือนแสงหิ่งห้อยกับแสงจันทร์
“พลังแห่งโลกที่นี่เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น ยิ่งเข้าไปส่วนลึกจะยิ่งเข้มข้นกว่านี้ ปกติแล้วพวกเราจะทำลายผนึกม่านแสงหกจุดไม่ได้เลย แต่ตอนนี้เผนึกข้างนอกพังลง ที่นี่เลยถล่มและถูกลดพลังลงมาก นี่จึงเป็นโอกาสของพวกเรา
ฉะนั้น…หากไม่ไปต่อ ทุกท่านจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”
เถียนหลินกล่าวเรียบๆ ขณะที่เสียงก้องกังวาน เขาเดินหน้าไปยังส่วนลึกก่อนแล้ว คนที่อยู่ด้านหลังไม่มีใครเห็นว่ายามนี้นัยน์ตาเขาฉายแววประหลาดใจ ภายในประกายแววตา นอกจากความตื่นเต้นแล้ว ที่มีมากกว่าคือการเฝ้ารอคอยและคลุ้มคลั่ง
หลงลี่สูดกลิ่นอายพลังแห่งโลกของที่นี่เข้าลึก จากนั้นตรงไปยังส่วนลึกของเส้นทางด้วยสีหน้าแน่วแน่ ส่วนซุนคุนกับเยียเซินถงมองหน้ากันแล้วก็ตามหลังไป
ซูหมิงเงียบมาตลอดทาง เวลานี้ยกมือขวากดบนผนังหิน หลังจากแขนขวาวนเวียนอยู่ระหว่างสภาพแห้งเหี่ยวกับเติมเต็มอยู่หลายครั้งแล้วถึงจะยกมือขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่นาน พลังแห่งเลือดเนื้อที่เพิ่มขึ้นมาก็มากกว่าสูบหินสีครามข้างนอกหลายเดือน
‘เสี่ยงอันตรายครั้งนี้…ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ห้อเหยียดเดินหน้าไป ความตื่นตัวไม่เพียงไม่ลดน้อยลง แต่กลับมากขึ้นอีก
แทบเป็นชั่วขณะที่ทุกคนห้อวิ่งอยู่ในเส้นทาง ซูหมิงซึ่งอยู่คนสุดท้ายพลันขนลุกไปทั้งตัว ภยันตรายร้ายแรงอบอวลจิตใจ กระทั่งข้างหูยังมีเสียงลากยาวแหลมดังติดกันเป็นชุดกำลังไล่ตามมาจากด้านหลังอย่างเร็วรี่
ซูหมิงคว้ากระเรียนขนร่วงข้างๆ กลายเป็นสายรุ้งยาวอย่างไม่ลังเล แล้วใช้ความเร็วทั้งหมดโดยไม่ปิดบังไล่ตามสี่คนข้างหน้าไป
“ข้างหลังมีอะไรบางอย่าง!” ซูหมิงพลันกล่าวขึ้นและเร่งความเร็วขึ้นอีก เวลานี้คนอื่นๆ ก็รู้สึกเช่นกัน ต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ หลังจากเกิดเสียงลากยาวแหลม ด้านหลังของทุกคนก็มี…เส้นสีแดงแน่นขนัดไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไร!
“เหตุใดถึงเยอะขนาดนี้!” เยียเซินถงรู้สึกหวาดกลัว เขาร้องตะโกนพลางห้อเหยียดไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง เกรงว่าหากถูกไล่ตามทัน จุดจบจะต้องเป็นความตายแน่
เส้นทางมีเพียงข้างหน้า!
ท่ามกลางภยันตราย ห้าคนใช้ความเร็วโดยไม่เก็บเอาไว้อีก เวลานี้ล้วนเห็นระดับของทุกคนแล้ว เร็วที่สุดไม่ใช่เถียนหลินแต่เป็นหลงลี่ เห็นบุคคลนี้เพียงเศษเสี้ยวเงา อันดับรองคือเถียนหลิน ด้วยความที่สลับจิตแรกมาจึงไม่มีกายเนื้อจำกัดอีก เวลานี้ทะยานช้ากว่าหลงลี่เล็กน้อยเท่านั้น
คนที่สามไม่ใช่เยียเซินถง ไม่ใช่ซุนคุน แต่เป็นซูหมิง!
ซูหมิงชำนาญด้านความเร็วมาโดยตลอด เวลานี้ปะทุพลังทั้งหมด กระทั่งเยียเซินถงกับซุนคุนยังยากจะแซงหน้า ทว่านี่เป็นเพราะที่นี่เป็นเส้นทาง บวกกับการระเบิดพลังในเวลาสั้นๆ หากต้องบินนานๆ ข้างนอก ความเร็วของซูหมิงจะค่อยๆ ลงลง ไม่อาจคงอยู่ได้นานนักหากยังไม่ก้าวสู่ระดับเจ้าปกครองโลกอย่างแท้จริง
ภายใต้การระเบิดพลังของทุกคน เส้นสีแดงจำนวนมากด้านหลังถูกทิ้งระยะห่างออกไป เสียงลากยาวแหลมข้างหูก็เบาลงไม่น้อย แต่ความรู้สึกถึงภยันตรายยังคงอยู่
ครู่ต่อมาก็มีเสียงร้องของหลงลี่แว่วมาจากข้างหน้า เห็นว่าเขากระเด็นถอยออกมาในพริบตา ซ้ำยังกระอักเลือด เถียนหลินก็หยุดชะงักเช่นกัน มีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
ด้านหน้าทุกคนมีม่านแสงอีกหนึ่งชั้น ตอนนี้ม่านแสงขยับวูบวาบ เห็นได้ชัดว่าหลงลี่ใช้พลังมากมาย อยากจะทะลวงผ่านไป ทว่าถูกสะท้อนกลับมา จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าม่านแสงจุดที่สามมีพลานุภาพแกร่งกว่าผนึกก่อนหน้านี้หลายเท่า
“ข้าต้องการครึ่งชั่วยาม” ซุนคุนหน้าซีดขาว มองม่านแสงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเล็ก
“ครึ่งชั่วยามจากนี้ไม่ต้องเปิดม่านแสงแล้ว เพราะพวกเราจะตายกันหมด สหายทุกท่าน พวกเราลงมืออย่างสุดกำลังพร้อมกัน ไม่ต้องกักพลังเอาไว้อีก ช่วงเวลาเป็นตายมาถึงแล้ว!” เถียนหลินมีสีหน้าเคร่งขรึม กวาดสายตามองซูหมิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด