Skip to content

สู่วิถีอสุรา 782

ตอนที่ 782 สัญญายมโลกลำดับห้า

แต่ไม่ว่าจะเป็นซูหมิงหรือคนอื่นๆ ล้วนรู้ดี กระทั่งพวกเขายังไม่มีวิธีหลบหรือหนีจากเส้นสีแดงเหล่านี้ จึงไม่ต้องพูดถึงผู้รักษาการณ์ขั้นเจ้าปกครองโลกตอนกลางที่มีขั้นพลังแกร่งกว่าพวกเขาเลย

แค่ถ่วงเวลาได้สักระยะ อีกไม่นานนักอีกฝ่ายจะต้องมาตามล่าอย่างแน่นอน

ยามนี้เวลาล้ำค่า จะปล่อยให้สิ้นเปลืองไม่ได้ ขณะโดนซูหมิงคว้าตัวห้อเหยียดไป ซุนคุนรีบบอกทางที่เขาค้นเจอเพื่อรักษาชีวิตตนไว้

มีซุนคุนที่เคยไปถึงใจกลางผนึกนำทาง ซูหมิงจึงใช้ความเร็วสูงสุดห้อวิ่งอยู่ในเส้นทางรังผึ้ง ข้างหลังเป็นหลงลี่กับเถียนหลินซึ่งบาดเจ็บสาหัส แต่ก็กัดฟันตามหลังมา เพราะหากถูกทิ้งเอาไว้ จุดจบเมื่อจิงหนานจื่อตามมาทันคือความตายเท่านั้น

หนึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างเร็วไว ชั่วขณะที่ซูหมิงกำลังหิ้วซุนคุนห้อวิ่งไปด้วยความเร็วทั้งหมดนั้น เขาได้ยินเสียงครึกโครมแว่วมาแต่ไกลๆ และยังมีแรงกดดันที่บ้าอำนาจอย่างยิ่งของจิงหนานจื่อแผ่ขยายมา

ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนเร่งความเร็วขึ้นอีก หลงลี่กับเถียนหลินด้านหลังหน้าซีดขาวอึมครึมยิ่งกว่าเดิม พวกเขาสองคนรู้ดีว่าจิงหนานจื่อหลุดมาแล้ว ตอนนี้กำลังตามหลังมาด้วยความรวดเร็ว

“ตรงใจกลางอยู่ข้างหน้านี้ ไปตามเส้นทางข้างหน้าอีกไม่ถึงห้าร้อยจั้ง!” ซุนคุนหน้าไร้เลือดฝาด ระหว่างที่กล่าวเสียงเล็กรัวเร็ว ซูหมิงก็กลายเป็นสายลมสายหนึ่ง

ฟิ้ว! ระยะทางห้าร้อยจั้ง ดูเหมือนซูหมิงใช้การเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ทว่าความจริงเขาใช้ความเร็วสูงสุดข้ามผ่านมวลอากาศ พอข้ามผ่านมาห้าร้อยจั้งแล้วก็มาอยู่ในถ้ำกว้างโล่ง

ถ้ำนี้มีขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้ง ตรงกลางเป็นหินหนืดสีดำอมม่วง ตรงใจกลางหินหนืดเป็นโครงกระดูกที่มีกระบี่คมกริบสามเล่มปักอยู่

แทบจะพร้อมกันกับที่ซูหมิงมาถึง ไอร้อนระอุโชยเข้ามากระทบใบหน้า เมื่อหายใจเข้าจะมีความรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้จากในสู่นอกร่างกาย

ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ ช่วงที่กวาดสายตามองแล้วไปหยุดอยู่ตรงโครงกระดูกในหินหนืดสีดำ หลงลี่กับเถียนหลินด้านหลังก็กลายเป็นสายรุ้งยาวเข้ามา พวกเขายืนอยู่ข้างซูหมิง พอมองทุกอย่างรอบตัวแล้วก็พากันสูดลมหายใจเข้า

“ชื่อหั่วโหว!”

“โครงกระดูกนี้จะต้องเป็นชื่อหั่วโหว ยอดผู้ฝึกฌานเผ่าประหลาดที่ถูกผนึกอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปีแน่นอน!”

ยามหลงลี่กับเถียนหลินมองโครงกระดูกในหินหนืดสีม่วงอมดำ ซูหมิงพลันหรี่ม่านตาลง ใจเต้นโครมคราม ตอนมาถึงแดนผนึก เขามีความรู้สึกว่ามีคนมองอยู่หลายครั้ง ตอนนี้ขณะที่มองโครงกระดูกและสบตากับมัน ความรู้สึกที่ถูกมองก็กลับมาอีกครั้ง

ความรู้สึกนี้เด่นชัดอย่างยิ่ง เด่นชัดจนเขาคาดการณ์ได้ทันที สายตาที่มองตนตอนอยู่ข้างนอกเป็นของโครงกระดูกนี้ กระทั่งตอนนี้ สายตาโครงกระดูกยังเหมือนแฝงไว้ด้วยพลังชีวิตมหาศาล สร้างความตื่นตะลึงกับผู้คน เหมือนอยู่กลางดินแดนแห่งความเพ้อฝัน

“ต้องเปิดผนึกทั้งหมดของยอดผู้ฝึกฌานคนนี้เท่านั้น นี่เป็นวิธีเดียวที่พวกเราจะรับมือกับจิงหนานจื่อได้!” เถียนหลินกุมหน้าอก มุมปากมีโลหิตไหล น้ำเสียงดูร้อนรน

“แต่จะเปิดผนึกของยอดผู้ฝึกฌานเผ่าประหลาดทั้งหมดอย่างไร?” ซุนคุนถูกซูหมิงวางลงก่อนแล้ว เวลานี้เขาได้รับพลังแห่งโลกของที่นี่มาฟื้นพลังเล็กน้อย และกล่าวเสียงเร่งรีบอยู่ข้างๆ

“ข้าแซ่หลง…รู้ เอาหินโลกออกก็จะทำให้ผนึกของที่นี่ไม่สมดุล จากนั้นผนึกจะแตกออกทั้งหมด แต่น่าเสียดาย ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้ากำลังเอาหินโลกออกมากลับถูกผู้รักษาการณ์โจมตีจนบาดเจ็บสาหัส มิเช่นนั้นตอนนี้ผนึกคงพังไปนานแล้ว

ข้าจำตำแหน่งของหินโลกได้ แต่ข้าต้องการเวลา หากพวกเจ้าถ่วงเวลาจิงหนานจื่อไว้ได้สักพัก ข้ามีความมั่นใจเจ็ดส่วนว่าจะเอาหินโลกออกมาได้ แล้วผนึกก็จะพังลง” หลงลี่หอบหายใจแรง รีบเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

“ความมั่นใจเจ็ดส่วนจริงรึ?” เถียนหลินกัดฟัน หันไปมองหลงลี่ กระทั่งซุนคุนกับซูหมิงยังมองไปอย่างเงียบๆ

“ถึงตอนนี้แล้วแซ่หลงจะพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร ครั้งนี้หากไม่สังหารจิงหนานจื่อ พวกเราก็ต้องตาย ข้าบอกว่าเจ็ดส่วนก็ต้องเป็นเจ็ดส่วนจริงๆ!” หลงลี่สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงหนักแน่น

“ดี สหายซู สหายซุน พวกเราต่างเป็นเป้าสังหารของจิงหนานจื่อ ไม่ว่าใครก็ยากจะหนีรอดไป ทว่าแซ่เถียนขอสาบานว่า หากพวกเรามีโอกาสสังหารจิงหนานจื่อ ของทุกชิ้นในตัวข้าจะเป็นของพวกเจ้าทั้งหมด ข้าจะให้หมดเลย” ระหว่างที่เถียนหลินกล่าวก็มีเสียงคำรามต่ำของจิงหนานจื่อแว่วมาจากในเส้นทาง ฟังดูอยู่ไม่ไกลนักแล้ว

ซูหมิงมีสีหน้าจริงจัง ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นอีก มีแต่ต้องทำเช่นนี้ จึงพยักหน้ารับ

ซุนคุนยิ้มเฝื่อนพร้อมกับหยิบเม็ดยาจากอกเสื้อจำนวนหนึ่งมาใส่ปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นเร่งรัดสูบรับพลัง

“สหายหลง พอจิงหนานจื่อมาแล้วพวกข้าสามคนจะขวางไว้สุดชีวิต ทว่าเจ้าต้องทำให้เร็วที่สุด พวกข้า…อย่างมากสุดถ่วงเวลาให้เจ้าได้เพียงสองก้านธูป นี่คือขีดจำกัดแล้ว หากถึงตอนนั้นเจ้ายังทำไม่สำเร็จ…” เสียงเถียนหลินชะงักไป หลงลี่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น

“สองก้านธูปก็พอแล้ว หากยังไม่สำเร็จก็ถือว่าสวรรค์มีใจสังหารพวกเรา”

เวลานี้เอง ซูหมิงใจสั่นสะท้าน ทันทีที่ถอยหลังไปหลายก้าวก็มีเสียงครึกโครมแว่วมาจากในเส้นทางไกลๆ เศษหินนับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาหาพวกเขา พลังน่าสยดสยองคล้ายปากใหญ่ของสัตว์ร้ายโบราณพุ่งเขมือบมาทางทุกคนพร้อมกัน

เถียนหลินหน้าเปลี่ยนสี เขากัดฟันแล้วพลันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ กิ่งไม้ตวัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังมีร่างเงามายาปรากฏนับไม่ถ้วน ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ซุนคุนด้านข้างกัดปลายลิ้น พ่นโลหิตเป็นลูกธนูโลหิต ในเวลาเดียวกันโลหิตก็กลายเป็นอักขระสีเลือดแถวหนึ่งกลางอากาศ อักขระส่งกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นและยังมีหมอกโลหิตวนเวียนอยู่รอบๆ จังหวะเดียวกับที่มันพุ่งไป ซุนคุนร้องเสียงคำรามแหลม ร่างคนแคระสั่นไหว จากนั้นวัตถุชิ้นเล็กจำนวนมากก็สะบัดออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย

ในวัตถุชิ้นเล็กเหล่านั้นมีเครื่องประดับหยก ไข่มุกผลึก และยังมีป้ายตราสีเขียวมรกตอีกไม่น้อย กระทั่งมีรูปปั้นแกะสลักไม้เล็กๆ อีกหลายชิ้น ของเหล่านี้มีไม่ต่ำกว่าหลายร้อยชิ้น เมื่อถูกสะบัดออกจากตัวซุนคุนแล้ว พวกมันก็กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายร้อยสายพุ่งตรงไป

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ขณะถอยหลังเขายกมือขวาขึ้นเรียกกระบี่สังหารมาอยู่ในมือ นัยน์ตาแวววาวยามโคจรพลังในร่างกาย พลังแห่งเลือดเนื้อปะทุขึ้นมหาศาล ทั้งร่างกลายเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งตรงไปข้างหน้า

ขณะเดียวกับที่สามคนลงมือพร้อมกันเพื่อต้านพลังดุร้ายจากแสงสีแดง หลงลี่เร่งรีบถอยหลังไป ขยับกายวูบไหวมุดเข้าไปในถ้ำรังผึ้งแห่งหนึ่ง แล้วห้อเหยียดไปยังจุดที่มีหินโลกแกนรองตามความทรงจำของตน

“ทำให้ข้าเปิดผนึกชั้นแรกของตัวข้าได้ มดปลวกอย่างพวกเจ้าจงภูมิใจเสีย” เสียงเย็นเยียบแว่วมาอย่างชัดเจนระหว่างที่พวกซูหมิงสามคนลงมือพร้อมกัน

จากนั้นก็มีร่างเงาโลหิตสามคนพุ่งออกจากแสงสีแดง ตรงไปหาพวกซูหมิงสามคน

เถียนหลินเข้าไปคนแรก หลังปะทะกับร่างเงาสีแดงก็กระอักเลือด ร่างแปลงต้นไม้ใหญ่แตกออกครึ่งหนึ่ง ก่อนจะกลับคืนร่างจิตแรกอีกครั้งแล้วกระเด็นถอยไป

กระบี่สังหารในมือซูหมิงโรมรันเข้ากับร่างเงาสีแดง ฉับพลันนั้นพลังมหาศาลก็ส่งมาจากร่างเงาสีแดงโดยเร็ว พลังนี้มาพร้อมกับกลิ่นอายพลังทำลายล้าง วินาทีที่เห็นว่ามันจะทะลวงเข้าสู่ร่างกายเขาแล้ว ผนึกห้าเหลี่ยมในตัวเขาก็เปล่งแสงวาบออกมาโดยพลัน แล้วเข้าปะทะกับพลังทำลายล้าง เสื้อคลุมซึ่งดูธรรมดาของเขาสั่นไหว จากนั้นกลายเป็นเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราต้านพลังทำลายล้างเอาไว้

สมบัติล้ำค่าสองชนิดบวกกับร่างกายของซูหมิง ทำให้เขากระอักเลือดในสภาพที่กระเด็นถอยไป นอกจากนี้เขายังสะบัดแขนเสื้อ เทวรูปหมานปรากฏตรงหน้าเป็นครั้งแรกในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต แล้วควงหมัดชกร่างเงาสีแดง

นอกจากซูหมิงกับเถียนหลินแล้ว วินาทีที่ซุนคุนปะทะกับร่างเงาสีแดง ของวิเศษทั้งหมดก็ระเบิดออกเพื่อต้านเอาไว้ โดยเฉพาะระลอกคลื่นจากอักขระสีแดงที่ทำให้มวลอากาศรอบๆ เกิดร่องรอยพังทลาย ซุนคุนถอยไปอย่างรวดเร็ว ทว่ายามถอยไปกลับมีทวนยาวสีแดงส่งเสียงอื้ออึงทะลวงมวลอากาศมาอยู่ตรงหน้า ซุนคุนหรี่ม่านตาลง ทันใดนั้นทวนยาวก็ทะลวงผ่านระหว่างคิ้วเขาไป

ซุนคุนตัวสั่นไหวและยังแห้งเหี่ยวในพริบตา ราวกับว่าเลือดเนื้อทั้งหมดถูกทวนยาวสูบไป กลายเป็นศพแห้งภายในสองลมหายใจ

พร้อมกันนั้นร่างเงาสีแดงตรงหน้าซูหมิงกับเถียนหลินก็หายไป

จิงหนานจื่อสวมเสื้อเกราะแดงเดินออกมาอยู่ตรงหน้าซุนคุน จับทวนยาวแล้วดึงออกจากศีรษะซุนคุนอย่างเนิบช้า ก่อนจะมองมาทางซูหมิงกับเถียนหลิน

“พวกเจ้าสองคน หนึ่งคือคนไร้ค่าที่ข้าเคยเมตตาไว้ชีวิต อีกหนึ่งคือคนที่กล้าสังหารร่างแยกข้าซึ่งไม่มีทางลดหย่อนโทษให้ อยากตายอย่างไร ข้าจะให้พวกเจ้าสองคนเลือก” จิงหนานจื่อในเสื้อเกราะแดง สวมหมวกเปื้อนโลหิต ในมือทวนยาวสีแดงฉาน กล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว

ภายในทวนยาวสีแดงพลันมีเส้นสีแดงไหลเวียนทีละเส้น

มันไหลมาตามมือจิงหนานจื่อตรงเข้าสู่แขน เส้นโลหิตเหล่านี้ก็คือแก่นสารเลือดเนื้อของซุนคุน ยามนี้พอเข้าไปในร่างจิงหนานจื่อแล้ว กลิ่นอายพลังในร่างกายจึงเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง

ตอนที่เขากวาดสายตามองเทวรูปหมานของซูหมิง เขาลอบหรี่ตาเล็กน้อยจนไม่อาจตรวจพบ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยเจอสิ่งนี้มาก่อน ทว่านักโทษในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมีมากเกินไป มีอภินิหารต่างๆ นับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงมองเพียงแวบเดียวเท่านั้น

ซูหมิงมีสีหน้าจริงจัง เขากระโดดลอยขึ้นมายืนบนบ่าเทวรูปหมาน

จ้องจิงหนานจื่อพลางกำกระบี่สังหารในมือแน่นกว่าเดิม

ทันใดนั้นก็มีเสียงแผ่วเบาดังก้องในหูซูหมิง

“พันธมิตรเผ่าศักดิ์สิทธิ์ยมโลก ยังจำสัญญายมโลกลำดับห้าได้หรือไม่…ข้าชื่อหั่วโหวแห่งเผ่าหมีซื่อ ยินยอมปฏิบัติตามคำสัญญายมโลกลำดับห้า…ขอเพียงท่านช่วยคืนชีพชาวเผ่าหนึ่งล้านคนของข้าที่สู้รบจนตัวตายในอดีตและเหลือไว้เพียงธงวิญญาณยมโลก”

เสียงนี้ดังก้องกังวาน แต่เถียนหลินกับจิงหนานจื่อกลับไม่ได้ยิน มีเพียงซูหมิงคนเดียวที่ได้ยินเสียงนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!