Skip to content

สู่วิถีอสุรา 970

ตอนที่ 970 ละคร

หนึ่งร่าง หกวิญญาณ!

ไม่ใช่ทุกวิญญาณจะควบคุมร่างกายนี้ได้ ในขณะเดียวกันมีเพียงวิญญาณเดียวที่ทำได้ วิญญาณนี้ก็คือ วิญญาณหลัก อีกห้าดวงวิญญาณคือตัวเสริม

เดิมทีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติของวิญญาณหลักเป็นของเสวียนซาง ทว่ายามนี้ จากการเปลี่ยนแปลงของโลหิตซูหมิง เมื่อลูกโลหิตกลายเป็นสีดำที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย วิญญาณหลักก็เปลี่ยนเป็นซูหมิงแทน

หากเป็นคนปกติมีวิญญาณหกดวงในร่างกาย เช่นนั้นตอนที่วิญญาณหลักควบคุมร่าง วิญญาณห้าดวงที่เหลือจะหลับใหล แต่ว่าลูกโลหิตสีดำที่พวกเขาอยู่เกิดจากสมบัติ ล้ำค่า ดังนั้นตอนที่ซูหมิงกลายเป็นวิญญาณหลัก วิญญาณห้าดวงที่เหลือจึงตื่นอยู่ มองเห็น รู้สึกได้ นอกจากควบคุมร่างกายไม่ได้แล้ว ทุกอย่างเป็นปกติหมด

แม้เสวียนซางจะเสียอำนาจควบคุมของวิเศษไป แต่ก็ไม่ได้กังวลว่าจะถูกคนอื่นควบคุมมากเกิน ข้ามเรื่องที่ว่าขั้นพลังเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูหมิงไปก่อน หากซูหมิงคิดจะสังหาร พวกเขาก็มีวิธีรับมืออยู่แล้ว

อีกอย่าง เขาไม่กลัวว่าซูหมิงจะมีความคิดละโมบ ในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ มีคนคิดละโมบมากมายนัก แต่ไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น เพราะนี่คือสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่ หากไม่มีขั้นพลังที่มากพอและกล้าแตะต้องมันเข้า ก็จะเป็นการสร้างปัญญาให้กับตัวเอง

มิหนำซ้ำต่อให้ตอนนี้เขาควบคุมสมบัติชิ้นนี้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นของตระกูลเสวียน เชื่อมต่อกับสายเลือดอยู่ ดังนั้นขอแค่เขาต้องการ เขาจะสั่งให้มันแยกตัวออกได้ทันที ทำให้กลิ่นอายพลังของทุกคนกระจายออก

เมื่อมีความมั่นใจแบบนี้อยู่ เสวียนซางจึงวางใจไม่น้อย ตอนที่ส่งกระแสจิตไป เขาก็ใช้กระแสจิตวาดเป็นภาพหนึ่งในความคิดทุกคน

“ผู้อาวุโส นึกถึงภาพนี้ในใจเงียบๆ ส่วนสหายทุกท่าน พวกเราก็ด้วย ทุกคนนึกถึงภาพนี้พร้อมกัน อย่านึกถึงสิ่งอื่น และก็อย่าเพิ่มจินตนาการอื่นๆ เข้าไปตามใจชอบ แบบนี้ลูกโลหิตที่พวกเราอยู่ก็จะเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์นี้ได้” เสียงเสวียนซางดังก้องในจิตใจทุกคน ต่อมา ในความคิดพวกเขาปรากฏเป็นรูปร่างคนคนหนึ่ง

เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างซูบผอม ใบหน้าขาวผ่อง เส้นผมสีแดงชาด ลูกตาสองข้างเป็นสีฟ้า ตรงระหว่างคิ้วมีเปลวเพลิงเก้ากลุ่มรวมขึ้นเป็นตราประทับวงแหวน

เขาสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวยาว โดยเฉพาะบนแขนขวาที่มีเส้นสีฟ้าเก้าสาย เส้นเหล่านี้ประทับลึกลงไปในเนื้อ ขยับแสงวิบวับเหมือนกับมีเปลวเพลิงอยู่ภายใน

ตรงหน้าอกมีบาดแผลรอยใหญ่อยู่เส้นหนึ่ง ตอนนี้รอยแผลเน่าเปื่อยเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก จนสมานกันไม่ได้

“นี่คือร่างของจ้าวเผ่าธุลีแผดเผารุ่นก่อนตามที่ตระกูลเสวียนเราพบ ประกอบกับความเข้าใจเกือบหมื่นปี จึงจินตนาการออกมาเป็นรูปลักษณ์ชาวเผ่าธุลีแผดเผา ฐานะของคนผู้นี้ พวกเรากำหนดให้เป็นชนรุ่นหลังของจ้าวเผ่าธุลีแผดเผารุ่นก่อน ตอนเขาเกิดบิดาก็ตายแล้ว ร่อนเร่พเนจรมาทั้งชีวิต เขามีมรดกของบิดาติดตัวมาด้วย ต้องการออกตามหาที่อยู่ของชนเผ่า จนกระทั่งบาดเจ็บสาหัสในครั้งหนึ่งก็ถูกดูดเข้าไปในอาคมเคลื่อนย้ายน้ำวน ตอนที่มาถึงที่นี่ก็หมดสติไปแล้ว”

“อาการบาดเจ็บดูปลอมเกินไป” ซูหมิงส่งกระแสจิตไป

“ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ก็บังเอิญเกินไป” ซูหมิงกล่าวอีกครั้ง

“ความหมายของผู้อาวุโสคือ?” เสวียนซางส่งกระแสจิตไปทันที

“ในมือเขามีแผนที่ของเจ้าอยู่ เขามาถึงที่นี่ตามแผนที่ อาการบาดเจ็บก็ไม่ใช่ตรงหน้าอก แต่เป็นทั่วร่าง พวกเจ้าจินตนาการตามข้า จำลองอาการบาดเจ็บเขาขึ้นมา”

ซูหมิงเอ่ยพลางเปลี่ยนกระแสจิต ทันใดนั้นอาการบาดเจ็บตรงหน้าอกของชาย วัยกลางคนในความคิดของทุกคนก็สมานตัว กลายเป็นรอยแผลเป็นจางๆ เส้นหนึ่ง ทว่าทั่วร่างเขากลับมีรอยแผลนับไม่ถ้วนเหมือนถูกเล็บคมกริบฉีก กำลังอยู่ระหว่างการสมานแผล

นอกจากนี้แล้ว บนตัวเขายังมีจุดเล็กๆ อีกเหลือคณนานับ จุดเหล่านั้นคือรูเล็กที่สมานแผลไม่ได้ จินตนาการได้ว่าอาการบาดเจ็บพวกนี้น่าจะเกิดจากแมลงตัวเรียวยาว

มิหนำซ้ำบนใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นยาวรอยหนึ่ง มันไม่เพียงทำให้เขาดูเหี้ยมโหดขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชนมากขึ้น

“เขาจะหมดสติไม่ได้ เขาต้องตามหาเผ่าเขาขณะที่ยังมีสติ” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ

“หากเป็นอย่างนั้น จะมีจุดที่ต้องทดสอบเยอะมาก” เสวียนซางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาเองก็รู้ว่าการหมดสติดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร แต่หากไม่หมดสติก็เกรงว่าจะเผยพิรุธออกไปตั้งแต่แรกเริ่ม

“ข้าจะควบคุมเอง” ซูหมิงตอบเสียงเรียบ

เสวียนซางตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันตกลง ไม่นานเมื่อในความคิดทุกคนมีภาพเดียวกันลอยขึ้นมา ลูกโลหิตสีดำใหญ่หลายร้อยจั้งกลางฟ้ากระจ่างดาวก็เดือดพล่านพร้อมกับหดลงอย่างรวดเร็ว

วิชาแปลงกายของกระเรียนขนร่วงผสานกับการแปลงกายของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ภายใต้การเสริมกันและกัน จึงทำให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น

หลังจากลูกโลหิตสีดำหดเล็กลง เค้าโครงร่างมนุษย์จึงถูกวาดออกมาทีละน้อย ราวหนึ่งก้านธูปผ่านไป สิ่งที่อยู่กลางผืนฟ้าดวงดาวก็ไม่ใช่ลูกโลหิตสีดำอีก แต่เป็น…..ชายร่างกำยำวัยกลางคนที่มีรอยแผลทั้งตัว บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง สีหน้าดูมีประสบการณ์โชกโชน

ตรงระหว่างคิ้วชายร่างกำยำเป็นเปลวเพลิงเก้ากลุ่มรวมเป็นวงแหวน แขนขวามีเส้นสีฟ้าเก้าสายเหมือนแฝงไว้ด้วยเพลิง เขากำลังยืนหลับตาอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว

หลายลมหายใจต่อมา เขาพลันลืมตาขึ้น ภายในดวงตาสีฟ้าเดิมทีเฉยชา แต่กลับมีความปราดเปรียวขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็กลายเป็นสับสน

เหมือนคนที่สูญเสียครอบครัวไป หาบ้านไม่พบ ความสับสนไม่ได้เผยมาอย่างชัดเจน แต่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ เขายืนอยู่ในฟ้ากระจ่างดาวอย่างเงียบๆ มองไปรอบๆ อย่างเงียบงัน คล้ายกับว่าภาพโดยรอบทำให้เขาหาความคุ้นเคยเล็กน้อยเจอท่ามกลางความแปลกตา

ผ่านไปนานเขาก็ก้มหน้าลงมองร่างกายตัวเอง มองบาดแผลนับไม่ถ้วนบนตัว มีบางแห่งสมานแล้ว บางแห่งก็ยัง มีรอยกรงเล็บเหล่านั้นจากการต่อสู้กับสัตว์คลื่นเสียง ส่วนรูเล็กก็มาจากการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่ยากจะจัดการยิ่งในระหว่างทางมาวงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

และยังมีบาดแผลที่มากกว่านั้น บ้างอยู่ข้างนอก บ้างก็อยู่ข้างใน เพียงแต่ รอยแผลจำนวนมากเหล่านี้เหมือนจะไม่สำคัญเมื่ออยู่บนตัวเขา ความเหนื่อยล้าที่มาจากจิตใจ ความคิดที่ไม่มีบิดามารดาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีญาติพี่น้อง ต้องร่อนเร่อย่างโดดเดี่ยว แต่ว่าในใจกลับมีความยึดมั่นที่จะตามหาชาวเผ่าให้พบ สิ่งนี้อยู่กับเขามาทั้งชีวิต กลายเป็นความเหนื่อยล้าที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจและไม่มีวันหายไป

“บ้าน….” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ราวกับว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าของเผ่าธุลีแผดเผาจริงๆ หลังจากผ่านประสบการณ์มามากมาย ในที่สุดก็มาถึงที่นี่ เขาไม่เพียงสับสน แต่ยังมีความลังเล รวมถึง…ความอาฆาตอย่างแรงกล้า

เหมือนกำลังกล่าวโทษ โทษสวรรค์ที่ไม่ยุติธรรม โทษเผ่าที่ลืมเลือนเขา

ตอนนี้วิญญาณอีกห้าดวงในร่างกายเงียบกริบ…พวกเขารู้สึกถึงซูหมิง รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนี้จากการควบคุมของซูหมิง ทว่ายิ่งเป็นแบบนี้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งตื่นตกใจ

“เหมือนมาก!”

“คะ….ความรู้สึกแบบนี้ เป็นความรู้สึกแบบนี้นี่แหละ!”

“ผู้อาวุโสเหมาะจะควบคุมที่สุดแล้ว หากเป็นแซ่เสวียนคงยากจะทำได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้!” เสวียนซางตื่นเต้นมาก เขามองซูหมิงควบคุมร่างกาย รู้สึกถึงสีหน้าของร่างนี้ ความรู้สึกสมจริงเช่นนั้น หากไม่เคยผ่านเหตุการณ์มาจริงๆ ก็คงจินตนาการไม่ได้ว่าจะแสดงออกอย่างไร

ซูหมิงมองฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ ความสับสนในแววตาหายไปทีละน้อย ความลังเลในใจก็ถูกระงับเอาไว้ ก่อนจะเดินหน้าหนึ่งก้าวขณะแววตาเผยความโกรธแค้น

เขารวดเร็วอย่างยิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งไปข้างหน้า มิหนำซ้ำเส้นสีฟ้าเก้าสายบนแขนขวายังแผ่ทะเลเพลิงสีฟ้าออกไป ขณะเดียวกับที่โอบล้อมไปทั่วร่าง มันยังลามไปอยู่ใต้เท้า ส่งผลให้ความเร็วมากขึ้น วูบเดียวก็หายไปไร้เงา

ซูหมิงยังคงรักษาระดับความเร็วสูงเอาไว้ ไม่ใช่เขาคนเดียวที่จ่ายพลังให้ร่างกายนี้ แต่เป็นหกคนแบ่งกันรับภาระ กระทั่งเขายังรู้สึกว่ากำลังรบที่ปะทุจากร่างกายนี้ พอรวมกันหกคนแล้วช่างน่าทึ่งยิ่งนัก

มันสามารถระเบิดพลังที่เหนือกว่า…ระดับภัยพิบัติตะวัน

กระทั่งใกล้กับขั้นกุมชะตาเกิดดับแบบไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นเพราะว่าซูหมิงไม่ได้รวมร่างแยกเอ้อชางเข้าไปด้วย มิเช่นนั้นแล้ว แม้ยังไม่ถึงขั้นกุมชะตาเกิดดับ เขาก็ทำให้กำลังรบของร่างกายนี้เหนือกว่าระดับความแกร่งที่สุดของเขาได้ ถึงขั้นที่ว่า…ทำให้ ขั้นกุมที่ยังควบคุมดวงชะตาไม่ได้ขมวดคิ้วและเกิดความรู้สึกว่าสู้ยาก

ความเร็วของซูหมิงเหนือกว่าตัวเขาไปเยอะมาก นี่คือการรวมความเร็วของคนหกคน ไม่ใช่การหลอมรวมธรรมดา แต่คือการซ้อนทับกัน!

ความน่ากลัวของการซ้อนทับแบบนี้คือสาเหตุที่ว่าเหตุใดสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ถึงสำคัญกับตระกูลเสวียน

ความเร็วของซูหมิงแทบจะเทียบได้กับการเคลื่อนย้าย กระทั่งขณะเดินหน้าอยู่ ยังเป็นครั้งแรกที่ไม่ต้องบอกชื่อหั่วโหว แต่ใช้เพียงความคิดก็พลันเคลื่อนย้ายไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด

การปะทุของความเร็วเช่นนี้เหนือกว่าการคาดเดาของพวกเสวียนซาง ก่อนหน้านี้พวกเขาคาดว่าเดินทางหนึ่งเดือน แต่ด้วยความเร็วแบบนี้ ครึ่งเดือนก็มากพอแล้ว

เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละวัน ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วเช่นนี้ ซูหมิงเหมือนกับดาวตกเผาไหม้ในฟ้ากระจ่างดาว ส่งเสียงครึกโครมและวาดเป็นระลอกคลื่นหาที่สุดมิได้ เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว

วันนี้เป็นวันที่สิบหกหลังจากซูหมิงเดินทางด้วยความเร็วสูง ตรงหน้าเขาปรากฏหมอกกว้างสุดลูกหูลูกตา มองไปแวบแรกเป็นหมอก แต่หากมองดีๆ จะเห็นว่าไม่ใช่หมอก ทว่าเป็นทะเลเพลิงลักษณะหมอก!

ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีคลื่นความร้อนที่สามารถเผาร่างจนหมดสิ้นไปได้ถาโถมเข้ามา ซูหมิงไม่หยุดฝีเท้า แต่พุ่งไปทางหมอกนั้น นัยน์ตาซ่อนความโกรธเอาไว้ พร้อมด้วยความชั่วร้ายที่มากกว่า

เขาเดินหน้าหนึ่งก้าวไปพร้อมกลิ่นอายชั่วร้าย ด้วยความเร็วของเขา วูบเดียวจึงกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป

พวกเสวียนซางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายนี้ จึงพากันตะลึงงัน จากนั้นก็ส่งกระแสจิตออกไปทันที มีเพียงสวี่ฮุ่ยที่เหมือนกำลังเหม่อคิดอะไรอยู่

“ผู้อาวุโส รีบเก็บกลิ่นอายชั่วร้ายเร็ว นี่….”

“ผู้อาวุโสจะทำอะไร?”

“หนวกหู!” กระแสจิตของซูหมิงก้องแบบราบเรียบ เขาไม่หยุด แต่เร่งความเร็วขึ้นอีก จากนั้นพุ่งเข้าไปในหมอกทะเลเพลิงพร้อมด้วยเสียงดังโครม พริบตาที่เข้าไปในหมอกเพลิงนั้น เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามวลอากาศรอบตัวบิดเบี้ยว ภายใต้อุณหภูมิจากความเร็วสูง ทำให้มวลอากาศบิดเบี้ยวจริงๆ

“เผ่าธุลีแผดเผา ออกมา!” ซูหมิงเงยหน้าตะโกนเสียงดังในหมอก ภายในเสียงตะโกนแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น การทุ่มสุดกำลัง และยังมีความเศร้ากับประสบการณ์โชกโชน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!