Skip to content

สู่วิถีอสุรา 980

ตอนที่ 980 ย่วนเว่ย!

ทันทีที่คำพูดดังกึกก้อง เก้าผู้เฒ่ายมโลกเห็นทันทีว่าตะขาบขนาดหมื่นจั้งหดตัว ก่อนจะเปล่งแสงสีม่วงอมดำในพริบตา มันหดตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมขาวคนหนึ่ง

แม้เด็กหนุ่มจะสวมเสื้อคลุมขาว แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยของตะขาบอย่างชัดเจน จึงทำให้คนผู้นี้ดูน่ากลัวยิ่งนัก มองไกลๆ แวบหนึ่งจะต้องตื่นตกใจ

จากท่าทางของคนคนนี้ ดูจะรู้จักกับจื่อหลงเจินเหริน

“เจ้านับว่าเป็นคนได้ด้วยรึ” ชายเสื้อคลุมม่วงหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มเรียบๆ แวบหนึ่ง หน้าตาจื่อหลงเจินเหรินหล่อเหลายิ่ง ทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บอกไม่ถูกแฝงอยู่ภายในสีหน้า

“ฮ่าๆ ใช่คนหรือไม่ไม่สำคัญ แต่ครั้งนี้มีเจ้ากับข้า ไม่รู้ว่าหลายท่านนั้นในทะเลดารา จะตื่นมากี่คน จะร่วมมือกันหรือไม่ เจ้าบอกมาที” เด็กหนุ่มเสื้อคลุมขาวไม่ถือสาคำพูดจื่อหลงเจินเหรินแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น

“แน่นอนว่าต้องร่วมมือ” จื่อหลงเจินเหรินกล่าวเรียบนิ่ง

“ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเจอกันนอกเตาหลอมลำดับห้า” เด็กหนุ่มเสื้อคลุมขาวยิ้มน้อยๆ ทว่ารอยยิ้มนี้กลับเสแสร้งอยู่บ้าง มองไม่ออกว่าโกรธหรือดีใจ ตอนเขาหันหน้าไปกวาดสายตามองเก้าผู้เฒ่ายมโลกก็ยังยิ้มมุมปากอีกครั้ง กระทั่งเลียริมฝีปากด้วย

เก้าผู้เฒ่ายมโลกใจสั่นไหวในทันใด พวกเขาตัวอ่อนยวบภายใต้สายตานี้ ไม่ใช่เพียงพวกเขา นักรบมรณะหลายพันคนรอบด้านกับหญิงแมวก็ด้วย ถึงขนาดยังอาการหนักยิ่งกว่า

นั่นคือแรงกดดันแก่กล้าที่ทำให้พวกเขาไม่อาจต่อต้าน และทุกอย่างนี้เป็นเพียงเพราะสายตาเดียวของเด็กหนุ่มเสื้อคลุมขาว

‘ผู้กุมชะตาเกิดดับ นี่คือยอดฝีมือ!’ เก้าผู้เฒ่ายมโลกหัวใจเต้นรัวแรง

“พวกเขาคือข้ารับใช้ของเจ้าภัยพิบัติเต้าเฉิน หากเจ้ากล้ากินเข้าไป แซ่จื่อก็ยินดีที่จะได้ชมการแสดงฝีมือของคุณชายอู๋” ชายเสื้อคลุมม่วงกล่าวเสียงราบเรียบ

“เต้าเฉิน? ตาแก่ที่เอาแต่ปิดด่านนั่งฌานตลอดคนนั้นรึ” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวยิ้มแล้วละสายตาจากเก้าผู้เฒ่ายมโลก ทว่ากลับยกมือขวาตวัดเข้ามา หญิงแมวผู้หน้า ขาวซีดพลันถูกพลังกลุ่มหนึ่งวนเวียนโดยไม่อาจควบคุม จากนั้นถูกเคลื่อนย้ายในพริบตามาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเสื้อคลุมขาว

“หน้าตาใช้ได้ เดินทางครั้งนี้ข้าขาดหญิงรับใช้คนหนึ่งพอดี เป็นเจ้าแล้วกัน” เด็กหนุ่มดมตัวหญิงแมวอยู่ชั่วครู่ แล้วยิ้มกล่าวขึ้น

เขายังฟังคำพูดของจื่อหลงเจินเหรินอยู่ ถึงเต้าเฉินจะปิดด่านนั่งฌานมาหลายปี แต่อีกฝ่ายเป็นเจ้าภัยพิบัติ ขั้นกุมอย่างเขาล่วงเกินมิได้

ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจคนเหล่านี้ แต่กลิ่นอายพลังของหญิงแมวมีข้อดีต่อเขาอยู่บ้าง และเขาก็คิดได้อีกว่าด้วยฐานะของตน ต่อให้จับตัวหญิงคนนี้ไป เต้าเฉินก็ไม่น่าจะออกจากฌานมาสร้างปัญญาให้เพราะเหตุนี้

หญิงแมวตัวสั่น นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว นางเอ่ยเสียงสั่นออกไปโดยจิตใต้สำนึก

“จะ…เจ้านายข้าคือ…”

“คิดว่าข้าสนรึว่าเจ้านายเจ้าเป็นใคร!” เด็กหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ สีหน้ารำคาญใจ ขณะกล่าวออกไปยังเผยฟันแหลมแถวหนึ่ง สีของฟันแหลม…เป็นสีดำ

จากนั้นเด็กหนุ่มก็ขยับวูบไหวพุ่งเข้าไปในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต แล้วหายวับไปในพริบตา

ชายเสื้อคลุมม่วงไม่สนใจทุกอย่างเหล่านี้ เหตุที่พูดออกไปเช่นเมื่อครู่ ก็เพราะเห็นแก่ที่โลกแท้จริงดาราสัจธรรมช่วยโลกแท้จริงที่สี่ในด้านทรัพยากรมาตลอดหลายปี ส่วนเรื่องอื่นเขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง

ส่วนการกระทำทั้งหลายของเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว จื่อหลงก็ไม่ได้แปลกใจ ประวัติ และฐานะของอีกฝ่ายล้วนแฝงความป่าเถื่อนไว้ ย่อมไม่สงวนฐานะของตัวเองแบบ ผู้ฝึกฌานแน่ๆ

ครั้นเห็นเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวเข้าไปในทะเลดารา จื่อหลงก็ตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนเดินเข้าไปในทะเลดาราเช่นกัน เพียงสามก้าวเขาก็เคลื่อนย้ายเดินทางไกลออกไปไม่มีสิ้นสุด หายไปจากสุดสายตาของเก้าผู้เฒ่ายมโลก

ในเวลาเดียวกัน ทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิตถูกเปลวเพลิงสีแดงฉานปกคลุม หลังจากจื่อหลงเจินเหรินกับเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวนอกทะเลดาราปรากฏตัวแล้ว กลางทะเลดารามีอยู่สามแห่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น

ที่แรกก็คือดาวที่หุ่นเชิดเพลิงอยู่ และก็เป็นสถานที่ที่พวกเสวียนซางอาศัยจังหวะลอบเข้าไปเอาโลหิตเพลิงมา ตอนนี้ดาวถูกทะเลเพลิงอาบเต็มไปหมด ภายในดวงดาว นอกจากเสียงระเบิดจากเปลวเพลิงแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก

หุ่นเชิดเพลิงทั้งหมดตอนนี้หดตัวอยู่ตรงส่วนลึกของใต้ดิน ต่างกำลังคุกเข่ากับพื้นด้วยอาการสั่นเทา

มองจากไกลๆ จุดนี้คือถ้ำยักษ์ใต้ดินแห่งหนึ่ง ตรงใจกลางมีบึงขี้เถ้าหินแห้งกรังที่มากองอยู่ด้วยกัน โดยรอบบึงมีหุ่นเชิดเพลิงคุกเข่าคารวะอยู่อย่างเนืองแน่น

เสียงคาถาซับซ้อนเข้าใจยากดังมาจากหุ่นเชิดเพลิงที่กำลังตัวสั่นเหล่านั้นไม่หยุด เหมือนสอดประสานกับเสียงอึกทึกจากทะเลเพลิงข้างนอกอย่างพร้อมเพรียง

หลังจากเสียงคาถาดังก้องและเสียงอึกทึกของทะเลเพลิงข้างนอก บึงขี้เถ้าหินแข็งตัวที่หุ่นเชิดเพลิงจำนวนมากโอบล้อมก็เกิดเสียงดังกึกๆ ขึ้น แล้วตามมาด้วยรอยร้าวหลายเส้นบนพื้นผิว

รอยร้าวเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนแน่นขนัดทีละน้อย ทำให้ผิวที่หินแข็งตัวนี้เหมือนกับใยแมงมุม

ส่วนสถานที่ที่เกิดเรื่องประหลาดขึ้นแห่งที่สองก็คือระหว่างวงแหวนชั้นในกับชั้นนอกของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ตรงหินผุพังยักษ์ที่ลอยอยู่กลางเปลวเพลิงฟ้ากระจ่างดาวก้อนหนึ่ง

นี่คือหินดาวผุพังขนาดหลายร้อยจนเกือบพันจั้ง กำลังลอยอยู่กลางทะเลเพลิง แต่หากมองดีๆ จะเห็นว่านี่ไม่ใช่หิน แต่ชัดเจนว่าเป็นศีรษะคน!

หากจะกล่าวจริงๆ นี่คือศีรษะคนที่ถูกแกะสลักขึ้น หากซูหมิงอยู่ที่นี่จะต้องมองออกในแวบแรก ศีรษะนี้ก็คือหัวเทวรูปที่เขาเคยเห็นตอนเดินทางมากับตี้จิ่วโม่ซา

ตอนนี้ศีรษะเกิดเส้นรอยร้าวทีละน้อยในทะเลเพลิง รอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับหัวรูปปั้นกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

และยังมีสถานที่ที่เกิดเรื่องประหลาดแห่งที่สาม นั่นคือ…ภูเขาลูกหนึ่ง ยอดเขายักษ์สูงตระหง่านเสียดเมฆ มองไม่เห็นปลายยอด เขานี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว เป็นลูกเดียวกับตอนที่ซูหมิงเดินทางผ่านแล้วได้ยินตำนานอันงดงาม อีกทั้งยังทำให้กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าเศร้าโศก!

ภูเขามองสามี!

ในตำนานเล่าว่า บนยอดเขาสูงไร้สิ้นสุดแห่งนี้มีสตรีคนหนึ่งยืนรอมาโดยตลอด นางมองผืนฟ้าดวงดาวเหมือนกับมองสามีที่ตายไปของตน จุดที่เกิดความประหลาดขึ้นคือภูเขานี้ ทว่าไม่ใช่ตรงยอดเขากว้างใหญ่นั้น แต่เป็นภายในถ้ำยักษ์กลางภูเขา ซึ่งมีเสียงคำรามต่ำดังแว่วมา

เสียงนี้ไม่เหมือนเสียงคน แต่เป็นเสียงสัตว์ร้ายบางชนิด ผ่านไปพักหนึ่งเสียงก็ดังก้องออกมาจากในถ้ำภูเขา จากนั้นจึงมี….สัตว์ร้ายตัวยักษ์ขนาดหลายร้อยจั้งเดินออกมาจากในถ้ำอย่างน่าพรั่นพรึง

มันเป็นหมูสีดำทั้งตัว!

ขนตรงคอยาวปรกลงบนตัว ทว่าเมื่อมันเดินออกมา ขนตรงแผงคอจำนวนมากกลับตั้งชันขึ้นทั้งหมด สะท้อนเป็นประกายแหลมคม มันยืนอยู่นอกถ้ำ ทะเลเพลิงโดยรอบไหลผ่านข้างกายไป แต่มันกลับไม่ตกใจกลัวแม้แต่น้อย

มันยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองยอดเขาขมุกขมัว ระหว่างมองอยู่อย่างนั้น แววตาก็ค่อยๆ ฉายแววเจ็บปวด

ขณะเจ็บปวดรวดร้าว มันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าเสียงดัง เสียงคำรามนี้ดังก้องไปทั้งฟ้ากระจ่างดาว ส่งผลให้ทะเลเพลิงโดยรอบม้วนออกไปพร้อมกันในตอนนั้น และปิดกั้นเปลวเพลิงออกห่างจากภูเขามองสามี ทำให้สี่ทิศของภูเขาปราศจากเพลิงอย่างสมบูรณ์

ขณะที่สัตว์ร้ายเงยหน้าคำราม ตรงหางตามีน้ำตาไหลลงมาหลายหยด เพียงแต่น้ำตายังตกไม่ถึงพื้นก็หายไป ระหว่างที่คำรามอยู่นี้ ตัวมันก็ค่อยๆ หดเล็กลงจนกลายเป็นลักษณะคนอ้วนอย่างยิ่งคนหนึ่ง ดวงตาเขาเป็นสีแดงฉาน ในปากมีเขี้ยวยาว สีหน้าซ่อนความเจ็บปวดกับความรังเกียจต่อตัวเองอย่างรุนแรงยิ่งเอาไว้ จากนั้นเขาก็ขยับวูบไหวห้อทะยานเข้าไปในทะเลเพลิง

ทุกอย่างเกิดขึ้นในวันที่เจ็ดหลังจากทะเลเพลิงจากเตาหลอมลำดับห้าลุกลาม เมื่อวันที่แปดมาถึง ภายในพื้นที่ใจกลางวงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ตรงจุดที่เตาหลอมลำดับห้าอยู่ เปลวเพลิงแดงฉานพลันหายไป ก่อนมีเปลวเพลิงสีฟ้าปะทุออกมาในทันใด

เปลวเพลิงสีฟ้าดูร้อนแรง อุณหภูมิเพิ่มขึ้นมากกว่าเปลวเพลิงสีแดงฉานหลายร้อยเท่า แทบเป็นช่วงที่มันปะทุ ฟ้ากระจ่างดาวพลันหลอมละลาย ม้วนเป็นชั้นๆ ออกไปกลายเป็นความว่างเปล่า

ในขณะเดียวกัน เปลวเพลิงสีฟ้าก็ลุกลามออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเหมือนกับกินเปลวเพลิงสีแดง จุดที่ผ่านไป สีแดงจะถูกแทนที่ด้วยสีฟ้า!

ทะเลเพลิงไหลเชี่ยวออกไปรอบๆ อย่างรุนแรง หากเป็นคนที่เข้าใจเตาหลอมลำดับห้าเห็นเปลวเพลิงสีฟ้าแล้วจะต้องรู้ทันทีว่านี่คือการระเบิดระลอกที่สองของ เตาหลอมลำดับห้า

จากนั้นจึงจะมีเปลวเพลิงสีม่วงในระลอกที่สาม จนกระทั่งระลอกสุดท้าย….คือเพลิงแห่งการทำลายล้างสีดำ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน

กลางฟ้ากระจ่างดาว คนอ้วนทั้งตัวผู้นั้นต้านทะเลเพลิงพลางเดินหน้าไปไม่หยุด เขาคือไม่กี่คนที่เลือกปะทะกับเปลวเพลิงสีฟ้าก่อน ความเร็วเขาลดน้อยลงไม่น้อยในทะเลเพลิงสีฟ้า แต่ก็ยังคงทะยานต่อไปโดยไม่สนสิ่งใด

วันที่เจ็ดหลังทะเลเพลิงสีฟ้าปะทุ เปลวเพลิงทั้งทะเลดารากลายเป็นสีฟ้าแล้ว ไอความร้อนจากทะเลเพลิงสีฟ้าสังหารสิ่งมีชีวิตมากกว่าเดิม และยังทำให้เก้าผู้เฒ่ายมโลกถอยไปอีกครั้ง สายตามองสีฟ้าที่มีอยู่ทั่วด้วยความหวาดกลัว

บนดาวทมิฬตอนนี้เงียบสงัด ผู้ฝึกฌานแทบทั้งหมดมองไปทางทะเลดาราไกลๆ สีหน้าตรงนั้นสะท้อนเป็นเพลิงที่ไม่มอดดับอยู่ในดวงตาพวกเขา

ขณะเดียวกัน วันที่เจ็ดหลังทะเลเพลิงสีฟ้าลุกลาม ตอนนี้บึงขี้เถ้าหินในดาวที่ หุ่นเชิดเพลิงอยู่และกำลังกราบไหว้นั้นเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับแตกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนลึกในนั้นมีแขนข้างหนึ่ง จากนั้นร่างกายซูบผอมอย่างหาที่เปรียบมิได้ราวกับ โครงกระดูกก็ยืนขึ้นช้าๆ แล้วลอยอยู่กลางอากาศ เผยเป็นร่างกายที่สมบูรณ์

นั่นคือร่างกายผู้ฝึกฌาน เป็นชายชราเส้นผมน้อย กำลังกอดตัวเองไว้ เปลือยกายทั้งตัว ตอนที่ลืมตาขึ้น ภายในดวงตามีแสงหม่นเปล่งออกมา

หุ่นเชิดเพลิงจำนวนมากรอบๆ ต่างส่งเสียงคำรามด้วยความฮึกเหิมพร้อมกับที่ชายชราปรากฏตัว หุ่นเชิดเพลิงเหล่านี้ต่างคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้น เอา หัวโขกพื้นไม่หยุดจนแผ่นดินสั่นสะเทือน

ชายชราก้มหน้าลงมองหุ่นเชิดเพลิงจำนวนมากเบื้องล่าง เขามีสีหน้าสับสน ตรงหน้าท้องมีรอยฉีกใหญ่อยู่ จะเห็นได้ว่าภายในร่างกายมีเพียงกระดูกสีดำ ไม่มีอวัยวะ

“ข้า…หลับมากี่ปีแล้ว…ข้า…เป็นใคร?” ชายชราหลับตา ผ่านไปพักหนึ่งตอนที่ลืมตาอีกครั้ง ความสับสนในแววตาหายไป แต่เปลี่ยนเป็นประกายชั่วร้าย บาดแผลตรงหน้าท้องยังสมานรวมกันเองด้วย

“ข้าคือจักรพรรดิแห่งหุ่นเชิดเพลิง ข้าคือประมุขแห่งเปลวเพลิง!” ชายชราเงยหน้าคำรามพร้อมกับขยับวูบไหวตัวหายวับไป แล้วไปปรากฏตัวอยู่ในทะเลเพลิงสีฟ้า ข้างนอก

“เตาหลอมลำดับห้า…” ชายชราฉีกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มดูเหี้ยมโหดยิ่งนัก เขาสูดลมหายใจเข้า มีผลให้ทะเลเพลิงสีฟ้าจำนวนหนึ่งไหลเข้าสู่ปาก ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะกินมันเป็นๆ จากนั้นดวงตาชายชราแวววาว ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไปยังส่วนลึกของทะเลดารา

จุดที่เขาผ่าน เปลวเพลิงสีฟ้าจะลดน้อยลงอย่างต่อเนื่องเพราะถูกเขาสูบกินไปตลอดทาง

เพียงแต่ทะเลเพลิงสีฟ้าปกคลุมไปทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ส่วนที่ชายชรากินไปจึงน้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง แต่จากตรงนี้จะเห็นได้ถึงความน่ากลัวของเขา

………

ขณะเดียวกัน วันที่เจ็ดหลังทะเลเพลิงสีฟ้าลุกลาม หัวรูปปั้นที่ลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวในเปลวเพลงสีฟ้า ตอนนี้เกิดรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็เกิดเสียงโครมดังขึ้นแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ ในฉับพลัน

ระหว่างที่หินนับไม่ถ้วนกระจายออก มีชายร่างกำยำหลังแบกน้ำเต้าเดินออกมา เขาสวมอาภรณ์หนังสัตว์ สีหน้านิ่งแต่มีความน่าเกรงขาม โดยเฉพาะขนคิ้วเป็น สีเหลือง ทำให้เขาดูเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด

“มันสมองใหญ่ของวิญญาณบรรพชนรสชาติไม่ได้จริงๆ…หลังอบจนสุกแล้วมี รสแปลกๆ อยู่บ้าง…ระดับความร้อนน่าจะไม่ได้ อืม….ไม่ผิด ต้องเพิ่มดินเหนียวเพลิงให้มากกว่านี้อีก” ชายร่างกำยำกล่าวพึมพำเบาๆ พลางเลียนิ้วตัวเอง เหมือนรู้สึกว่ารสชาติมันยังไม่ถูกต้อง จึงอมนิ้วโป้งไปเพื่อดูดนิ้วไปเสียเลย สายตาก็มองเปลวเพลิง สีฟ้ารอบๆ แวบหนึ่ง ก่อนเดินไปยังส่วนลึกของทะเลดาราโดยไม่ใส่ใจใดๆ

จังหวะก้าวไม่เร็ว แต่ทุกก้าวกลับทำให้เปลวเพลิงสีฟ้าเดือดพล่าน เขาเดินอยู่บนทะเลเพลิงพลางยังดูดนิ้วไปด้วยจนเดินไกลออกไป

ในเวลาเดียวกัน ภายในวงแหวนชั้นในทะเลดารา ตรงจุดที่เดิมทีเป็นจุดเคลื่อนย้ายน้ำวนซึ่งตอนนี้ถูกทะเลเพลิงปกคลุม ทันใดนั้นมีเสียงคำรามดังก้องไปรอบๆ เปลวเพลิงสีฟ้าถึงกับหยุดนิ่งเพราะเสียงคำราม!

เปลวเพลิงสีฟ้าที่หยุดนิ่งตรงนี้กลายเป็นจุดต่างอย่างชัดเจนกับทะเลเพลิงโดยรอบที่ไหลเชี่ยว กระทั่งเมื่อเสียงคำรามดังก้อง พื้นที่หยุดนิ่งยังกระจายออกไปไม่หยุด พริบตาเดียวเปลวเพลิงทั้งหมดในฟ้ากระจ่างดาวในระยะรอบๆ แสนลี้ล้วนหยุดนิ่ง!

พริบตาที่เปลวเพลิงหยุดนิ่ง ท่ามกลางเสียงคำรามสะเทือนทะเลดารา ม้าดำทึบทุกส่วนซึ่งมีหัวมังกรสองหัวตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากจุดเคลื่อนย้ายน้ำวนที่ถูกทะเลเพลิงปกคลุม

ม้าตัวนี้มีความใหญ่หลายร้อยจั้ง การปรากฏตัวของมันทำให้ทะเลเพลิงหยุดนิ่งในพื้นที่แสนลี้เปลี่ยนเป็นสีดำไปพร้อมกัน อีกทั้งยังวนเวียนรอบตัวมัน หากมองภาพนี้จากที่สูงจะต้องรู้สึกอย่างเด่นชัดแน่นอน

ทะเลเพลิงแสนจั้งเหมือนกับ….กำลังโห่ร้อง กำลัง….คารวะม้าตัวนี้ราวกับพบราชา!

ม้าดำเงยหน้าขึ้นร้องคำรามสะเทือนฟ้าอีกครั้ง ภายในเสียงคำรามมีความหยิ่งยโสเด่นชัด และยังมีความแค้นไม่อาจบรรยายต่อทุกสรรพสิ่ง!

บนหลังมันไม่ว่างเปล่า แต่มีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง…..

คนนี้คือร่างกายสมบัติล้ำค่าที่ซูหมิงควบคุม เขามีสีหน้าเหนื่อยล้า แต่แววตากลับเป็นประกายวาววับ มาพร้อมกับความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้า

“ย่วนเว่ย จากนี้ไปข้าจะสังหารสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่เจ้าคิดสังหาร นี่คือคำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับเจ้าก่อนหน้านี้ และก็เป็นคำสัญญาที่ข้าซูหมิงเอ่ยต่อทั้งจักรวาล!”

ม้าดำเงียบงัน ทว่าครู่ต่อมาดวงตาก็ฉายแววยึดมั่น มันร้องคำรามอีกครั้งเหมือนขานรับคำสาบานของซูหมิง และก็เหมือนว่าตัวมันเอ่ยคำสาบานด้วยเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!