ตอนที่ 987 ตั้งอยู่ที่แก่นสวรรค์
ตอนนี้ควันเมฆหมุนวนไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับกาลเวลาผ่านไปพันปีในแค่ เสี้ยวชั่วขณะ ทว่าความยาวของเสี้ยวชั่วขณะนั้นเหมือนถูกยืดยาวออกไม่หยุด ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก
เพียงพริบตา ทว่าการขยับไหวของเปลือกตาเหมือนมาพร้อมกับความเหนื่อยล้า และการดิ้นรนอย่างไร้เรี่ยวแรงท่ามกลางกาลเวลา
นี่…ก็คือความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาที่สุดหลังจากซูหมิงพุ่งเข้าไปในรอยแยกบนฟ้าของมิติแรกและเดินออกมา
ร่างกายสมบัติล้ำค่าเหมือนไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ทว่าซูหมิงที่อยู่ข้างในกับพวกเสวียนซางสี่คนรวมถึงสวี่ฮุ่ยกลับจิตใจสับสนวุ่นวาย สวี่ฮุ่ยยังดีหน่อย ทว่าพวก เสวียนซางสี่คนกลับรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าหนักหนาได้อย่างชัดเจน
“แซ่เสวียนเสียอายุขัยไปราวร้อยปี…”
“ข้าก็ด้วย….”
“ข้าเสียไปเกือบร้อยห้าสิบปี….” เสียงจากพวกเสวียนซางดังก้องในใจซูหมิง
ซูหมิงรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่า เพราะเขาคือวิญญาณหลัก อายุขัยที่เสียไปก็ราว สามร้อยปีได้
หากรวมทุกคนเข้าด้วยกันก็จะครบพันปีพอดี
ทุกครั้งที่ข้ามมิติจะเสียอายุขัยพันปี เรื่องนี้…ไม่ได้เอ่ยถึงในแผ่นหยกของ บรรพบุรุษธุลีแผดเผา ซูหมิงเงียบงัน พวกเสวียนซางสี่คนก็เงียบเช่นกัน
“ดีที่พวกเราแบ่งอายุขัยพันปีกัน นี่คือข้อดีของเรา สามารถไปได้ไกลกว่า เหตุใดต้องเงียบกันด้วย” เสียงสวี่ฮุ่ยดังราบเรียบอยู่ในจิตใจทุกคน
“ในเมื่อมาที่นี่แล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ตอนนี้ยิ่งไม่อาจแยกร่างกันเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว หากทุกคนต้องเสียพลังชีวิตคนละพันปี เกรงว่าไม่กี่ครั้งพวกเราก็จะตายกันอยู่ในเตาหลอมลำดับห้านี่”
“มิน่าตาแก่ที่เห็นๆ อยู่ว่าต้านเปลวเพลิงได้เริ่มทยอยไม่มากัน มีเพียงยอดฝีมือระดับกุมชะตาเกิดดับที่เข้าเตาหลอมลำดับห้าได้ เกรงว่าสาเหตุหลักๆ คงจะเป็นการเสียอายุขัยทุกครั้งที่ข้ามมิตินี่เอง”
“ไม่ผิด ถึงพวกเราจะเป็นเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ถึงสหายสวี่จะเป็นภัยพิบัติจันทรา ถึงผู้อาวุโสจะเป็นภัยพิบัติตะวัน ทว่าอายุขัยก็ยังมีขีดจำกัด ไม่เหมือน ผู้กุมชะตาเกิดดับที่มีชีวิตเกือบไม่มีสิ้นสุด พวกเขาจ่ายไหวอยู่แล้ว”
เสียงทอดถอนใจของทุกคนดังแว่วมาในจิตใจซูหมิง นัยน์ตาเขาลอบเป็นประกายบางๆ อย่างยากจะตรวจพบ
เขารู้ว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือกุมชะตาเกิดดับก็ใช่ว่าจะมีอายุขัยไม่มีสิ้นสุด พวกเขามีช่วงโรยรา การหายไปของอายุขัยเช่นนี้จะทำให้ช่วงโรยรามาถึงก่อนเวลา
“เช่นนั้น อายุขัยที่ถูกสูบไปในเตาหลอมลำดับห้า….จะไปที่ใด?” แววตาซูหมิงมีประกายเย็นชาวาบผ่าน เอ่ยกับตัวเองเบาๆ
สิ้นเสียงนี้ เสียงของทุกคนในจิตใจเขาพลันเงียบลง ต่างกำลังครุ่นคิด
‘เรื่องข้ามผ่านมิติจะต้องเสียอายุขัยนี้ บรรพบุรุษธุลีแผดเผารู้หรือว่า…ไม่รู้กันแน่’ ดวงตาซูหมิงขยับประกาย เขามองไปรอบๆ จุดที่เขาอยู่ตอนนี้คืออีกมิติหนึ่ง ท้องฟ้าของที่นี่ขมุกขมัวเหมือนมีฝุ่นละอองอยู่เหลือคณนานับ แผ่นดินก็ไม่เงียบสงบ แต่มีเสียงคำรามดังแว่วมาเป็นระลอก
เสียงนั้นเหมือนกับเสียงร้องโหยหวนแหลมเล็ก พอได้ยินแล้วจะหัวใจสั่นสะท้าน แต่เทียบกับความสงบนิ่งของมิติก่อนหน้านี้แล้ว ซูหมิงชอบที่นี่มากกว่า มองเห็น ได้ยิน อย่างไรก็ดีกว่ามองไม่เห็นและไม่ได้ยินอยู่เล็กน้อย
เขาไม่ได้ผลีผลามในทันที แต่กำลังตรึกตรองอยู่ในความคิด
‘เห็นชัดว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่รู้…การเปิดเตาหลอมลำดับห้ามีเพียง เผ่าธุลีแผดเผาที่ทำได้ ทว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้อง…เปิดเตาหลอมหนึ่งครั้งใน ทุกช่วงเวลา’ นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายอีกครั้ง เขารู้สึกรางๆ ว่าตนเหมือนจะเจอเบาะแสอะไรบางอย่างเข้า
‘หากวิเคราะห์จากภายนอก เผ่าธุลีแผดเผาคิดจะใช้การเปิดเตาหลอมทำให้วิญญาณเพลิงที่มีสติปัญญาในนี้เลือกว่าจะอยู่หรือจะออกไป นอกจากเป็นการขยายพันธุ์ด้วยตัวมันเองแล้ว ยังเป็นวิธีเพิ่มชาวเผ่าวิธีหนึ่ง
ถึงบรรพบุรุษธุลีแผดเผาจะไม่ได้บอกเรื่องนี้ ทว่าคำพูดกลายๆ ของเขาก็ชี้มายังจุดนี้ ทำให้หากใคร่ครวญจะนึกถึงสาเหตุนี้เป็นอันดับแรก
ทว่า….ข้างในอาจยังมีสาเหตุอื่นอีก!’ ความคมกริบในแววตาซูหมิงมากขึ้นเรื่อยๆ
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วเตาหลอมลำดับห้าเป็นกับดัก!’ ซูหมิงพลันหรี่ตาลง ในหัวปรากฏขึ้นมาเป็นความคิดนี้
‘เผ่าธุลีแผดเผาจงใจเปิดเตาหลอมทุกครั้ง ใช้สมบัติล้ำค่ากับสมบัติรองดึงดูด ผู้แข็งแกร่งเข้ามา แต่ตอนที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นข้ามผ่านมิติจะถูกสูบอายุขัยไปด้วย ทว่าด้วยความน่าหลงใหลของสมบัติล้ำค่ากับสมบัติรอง ต่อให้พวกเขาต้องเสีย พลังชีวิตก็จะยังยืนหยัดเดินหน้าต่อ
ถ้าอย่างนั้น หากข้าคาดเดาจุดนี้ถูก แล้วเหตุใดเผ่าธุลีแผดเผาถึงต้องทำเช่นนี้ อายุขัยของทุกคนไปอยู่ที่ใด!’ ลมหายใจซูหมิงกระชั้นเล็กน้อย
‘และยังมีข้อสงสัยข้อสอง เผ่าธุลีแผดเผาต้องการวางกับดักนี้เอง หรือว่า…มีคนให้พวกเขาทำแบบนี้!’ ซูหมิงรู้สึกว่าผ้าบางลึกลับที่พันรอบเตาหลอมลำดับห้ากำลังถูกตนเปิดออกทีละชั้น และกำลังจะเผยความจริงออกมา
‘หากเผ่าพวกเขาต้องการเองก็คงจะง่ายขึ้นมาก คงไม่พ้นเรื่องปรารถนาอยากเป็นเจ้าของเตาหลอมลำดับห้า อยากให้เผ่าตัวเองแกร่งขึ้น…ทว่าหากพวกเขาไม่ได้ต้องการเองแต่ถูกคนบงการ ในนี้จะต้องมีความลับยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!
หากมีคนบงการ เช่นนั้นนอกจากซูเซวียนอีแล้วยังจะมีใครอีก!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายสว่างวาบ ในสมองมีความคิดที่แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกเหลือเชื่อแตกหน่อขึ้นมา
‘หรือว่า…ซูเซวียนอียังไม่ตาย!’ ซูหมิงมีสีหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง หลังจากเกิดความคิดนี้ขึ้นแล้ว มันก็ไม่หายไปจากในสมองอีก แต่ยังคงวนเวียนจนฝังรากลึก
‘หากเขา…เขายังไม่ตาย เช่นนั้นเขาอยู่ที่ใด หรือว่าจะอยู่ในเตาหลอมลำดับห้า?’ ซูหมิงเงียบ ผ่านไปนานนัยน์ตาก็ฉายแววสับสนแล้วถอนหายใจเบา
เสียงถอนหายใจมาพร้อมกับความห่อเหี่ยว และอารมณ์ที่ตนยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามกดความซับซ้อนนี้เอาไว้ สายตามองไปรอบๆ ตอนที่นั่งอยู่บนตัวย่วนเว่ย ย่วนเว่ยก็ขยับวูบไหวไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ กลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไกลออกไป
ซูหมิงแผ่กระจายจิตสัมผัสตามหาทางออกของที่นี่ ครั้นกวาดจิตสัมผัสไปแล้วก็เห็นทันทีว่าบนแผ่นดินใหญ่ตรงหน้ามีภูเขาลูกหนึ่ง ตรงกลางภูเขามีถ้ำแห่งหนึ่ง
อากาศภายในถ้ำบิดเบี้ยวคล้ายว่ามีรอยแยกอยู่เล็กน้อย มีกลิ่นอายพลังที่ไม่ใช่ของที่นี่กระจายมาจากในรอยแยกเหล่านั้น ทำให้คนมองออกได้ง่ายมากว่าตรงนี้คือทางออกจากมิตินี้
ทว่าจากประสบการณ์ในมิติก่อน ซูหมิงจึงไม่ได้เดินหน้าไปทันที แต่มองไปรอบๆ อย่างละเอียดแล้ว ก็เห็นว่าในมิตินี้มีสิ่งมีชีวิตสูงครึ่งคนอยู่เล็กน้อย
พวกมันมีรูปร่างเลือนราง นอกตัวมีหมอกอยู่บ้าง กำลังลอยอย่างสับสนบนพื้นดินเหมือนหาอะไรบางอย่าง พวกมันไม่สังเกตเห็นจิตสัมผัสซูหมิงแม้แต่น้อย ยังคงลอยอย่างไร้สติต่อไป
ซูหมิงสังเกตอยู่พักหนึ่งก็หรี่ตาลง ย่วนเว่ยใต้ร่างพลันพุ่งไปข้างหน้า พริบตาเดียวก็หายไปจากที่เดิม มาปรากฏตัวอยู่ข้างภูเขาลูกนั้น จากนั้นซูหมิงก็ส่งจิตสัมผัสหนึ่งในพวกเสวียนซางสี่คนเข้าไปตามวิธีแบบเดิม เมื่อจิตสัมผัสเสี้ยวหนึ่งหลอมรวมเข้าไปในถ้ำภูเขาแล้วมันกลับไม่หายไป กระทั่งรับรู้จากจิตสัมผัสได้ว่าในอากาศบิดเบี้ยวของ ถ้ำภูเขาเป็นทางออกจริงๆ ตรงนั้นก็มีพลังแห่งกาลเวลาสูบกินอายุขัยเช่นกัน
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกายเด็ดขาด ย่วนเว่ยใต้ร่างพุ่งออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้พุ่งไปยัง ถ้ำภูเขา ทว่าวินาทีที่จะเข้าไปในถ้ำภูเขานั้น กลับมีเสียงเลือนรางดังก้องอยู่ในฟ้าดิน
“ซู…”
สิ้นเสียงนี้ซูหมิงใจสั่นสะท้าน แม้เสียงนี้จะเคยดังก้องข้างนอกมาก่อน ทว่าตอนนี้มันดังมาจากส่วนลึกในใจเขา ขณะเดียวกันพร้อมกับเสียงนี้ ร่างเงาเลือนรางที่กำลังลอยอยู่บนพื้นดินของมิติต่างหยุดชะงักพร้อมกัน แล้วเงยหน้ามองฟ้าพร้อมกัน ก่อนส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าพร้อมกัน
“ซู…” พวกมันร้องคำรามพร้อมกันจึงกลายเป็นคลื่นเสียงม้วนตลบส่งออกไปเพียงคำเดียว
จากนั้นการเรียกหาอย่างแรงกล้าพลันโผล่ขึ้นมาในใจซูหมิงอย่างเด่นชัด เขารู้สึกชัดว่าเหมือนมีดวงจิตที่เขาแปลกตาและคุ้นเคยข้ามผ่านมิตินับไม่ถ้วนมา มันเหมือนสังเกตเห็นเขาเช่นกันและกำลังเรียกหา
ขณะเดียวกับที่การเรียกหาดังกังวานออกไป กระเรียนขนร่วงในร่างกายสมบัติล้ำค่าพลันตกใจสะดุ้งขึ้น ประหนึ่งว่าเสียงนี้มีพลังมหัศจรรย์บางอย่างต่อมัน ทำให้นัยน์ตามันฉายแววเย็นชาและดิ้นรน
ตอนที่เสียงนี้ดังออกไป ย่วนเว่ยใต้ร่างหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าพริบตาเดียวก็กลับมาทะยานต่อ เพียงชั่วขณะก็เข้าไปในอากาศบิดเบี้ยวของถ้ำและหายวับไป
เวลาไหลผ่านอีกพันปี หลังจากพันปีในเสี้ยวพริบตาแล้ว ตอนที่มิติที่สามมาปรากฏตรงหน้าซูหมิง ร่างกายสมบัติที่เขาควบคุมอยู่แก่ชราลง ทุกคนในร่างกายต่างอ่อนเพลียและรู้สึกถึงความน่ากลัวของการเสียอายุขัยจากการข้ามมิติอีกครั้ง
“ซู…” แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงเพิ่งเดินออกมาก็มีเสียงที่เขาแปลกตาและคุ้นเคยดังขึ้นในใจอีกครั้ง เสียงนี้เหมือนข้ามผ่านกาลเวลามา ตอนนี้กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
พอมาถึงที่นี่ ซูหมิงยังไม่ทันทำอะไร เขารวมถึงพวกเสวียนซางสี่คนและสวี่ฮุ่ยก็หน้าเปลี่ยนสีทันใด เพราะในวินาทีนี้พวกเขาสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกระเรียนขนร่วง ได้ยินมันร้องโหยหวนเสียงแหลมเล็ก
“ออกไป ออกไป เจ้าเป็นเจ้า ข้าก็เป็นข้า พวกเราไม่ใช่ร่างเดียวกัน!”
“เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า ที่เจ้าถูกสร้างขึ้นมาก็เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ…”
“ข้าไม่ใช่ ข้าคือขนร่วง ข้าชอบหินผลึก ข้า….”
“เจ้าไม่ใช่ เจ้าคือข่งหมัว เจ้าคือข่งหมัวของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน เจ้าลืมภารกิจของตัวเองไปแล้ว! ตื่นเถอะ ข่งหมัว สังหารเจ้าของเสียงที่รบกวนจิตใจเจ้า สังหารมัน ใช้โลหิตมันย้อมวิญญาณเจ้าให้เป็นสีแดง ใช้มันปลุกตัวข้าในส่วนลึกความทรงจำของเจ้า!”
“ไสหัวออกไป ข้าไม่ใช่ข่งหมัว ข้าคือกระเรียนขนร่วงของซูหมิง!”
“อาการบาดเจ็บสาหัสสามครั้งของข้าแยกเป็นดวงจิตของเจ้าออกมา เจ้าไม่ควรจะมีอยู่…ตัวเจ้าในเพลงกลอนเงามืดรุ่งอรุณที่ตั้งอยู่ที่แก่นสวรรค์ ต้องเป็นของฝ่าย สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนของพวกเราตลอดไป…”