ตอนที่ 1008 สิบสองคน
ทันทีที่เสียงนี้ดังก้องฟ้าดิน ซูหมิงหรี่ตาลง เขาเห็นว่าข้างแท่นหินเหมือนมีร่างเงาหนึ่งบีบเข้ามาจากสายตา เดิมทีร่างเงานี้ไม่อยู่ในสายตาเขา แต่มันโผล่ขึ้นมากลางอากาศกลายเป็น ชายชราผมขาว มีใบหน้าผ่านโลกมาเนิ่นนาน ร่างกายมายาให้ความรู้สึกว่าไม่ใช่ของจริง
ข้างหลังเป็นท้องฟ้า เขาอยู่กลางฟ้าครามเมฆขาว มีผลให้ชายชราดูเต็มไปด้วยความรู้สึกลอยล่อง ทั้งยังมีความลึกลับไม่มีที่สิ้นสุด เดิมทีภูเขานี้สูงมาก ดังนั้นแล้ว ด้วยความที่ภูเขามีหมอกหมุนตลบ จึงทำให้ความลึกลับที่ชายชรามีอยู่มีม่านเพิ่มขึ้นมาอีกหลายชั้น
เสียงดังก้องนั้นก็ดังมาจากปากชายชรา เขาก้มหน้ามองม้วนตำราเหล็กบนแท่นหิน มือขวาลูบไล้อย่างเบามือ ผ่านไปพักใหญ่ ขณะที่จื่อหลงกับจูโหย่วไฉต่างเงียบ โดยรอบก็เงียบเช่นกัน เสียงแก่ชราจากชายชราดังอีกครั้ง
“พวกเจ้าโชคดีมาก…” ชายชรากล่าวเสียงต่ำ ขณะเอ่ย หมอกเมฆรอบตัวเขาม้วนตลบ ราวกับว่ามวลอากาศรอบตัวเกิดการไหลผ่านของเวลาเป็นร้อยเป็นพันปีในพริบตา ภาพนี้ซูหมิงมองไปก็ยังไม่สังเกตเห็นอะไร แต่ว่าจื่อหลงเจินเหรินกลับ หน้าเปลี่ยนสีทันที คล้ายกับว่าเห็นเงื่อนงำจากในนี้ เขาถอยหลังไปหลายก้าว ดวงตาเย็นชาเกิดความบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ท่านด้านจูโหย่วไฉหรี่ตาลงอย่างเด่นชัด จ้องกาลเวลาในมวลอากาศข้างชายชราไหลผ่านไป ลมหายใจกระชั้นขึ้นเล็กน้อยจนไม่อาจตรวจพบ แน่นอนว่าเขาต้องมองออกมากกว่าจื่อหลง และเพราะแบบนี้เองตอนนี้อารมณ์ความคิดเขาจึงเปลี่ยนไปอย่างเด่นชัด คนอื่นยากจะเข้าใจ
ซูหมิงใจสั่นไหว ไม่กล่าวอะไร เพียงฟังเสียงชายชราอย่างเงียบๆ ต่อ
“การเปิดเตาหลอมลำดับห้าในอดีต ไม่มีใครเข้ามาถึงมิติที่ข้าอยู่ได้…พวกเจ้า…คือกลุ่มแรก!” ชายชราหันหน้าไปมองพื้นดิน กวาดสายตามองพวกซูหมิงสามคน
“เตาหลอมลำดับห้าคือสมบัติล้ำค่าของเผ่ายมโลกแห่งโลกแท้จริงที่ห้า ข้ากับบรรพบุรุษยมโลกมีมิตรภาพเก่าต่อกัน เคยยืมเตาหลอมเขาหลอมสมบัติมาก่อน ทว่าก็ต้องจ่ายไปบ้าง โดยการนำรูปแบบแรกในวิชาความรู้ที่หายสาบสูญไปเจ็ดรูปแบบของข้าหรือเคลื่อนย้ายภูผามาประทับไว้ที่นี่ รอคอยคนที่มีวาสนาต่อมันมาเยือน
ข้าออกจากมหาโลกสามรกร้างไปยังสงครามสองฝ่ายแล้ว ตอนนี้ที่อยู่ที่นี่คือ ร่างเงาสะท้อนของข้า หากร่างจริงข้ายังไม่ตาย หากคนที่เรียนวิชาเคลื่อนย้ายภูผามีวาสนา เจ้ากับข้าคงได้เจอกัน หากร่างจริงข้าตายไปแล้ว วิชาเคลื่อนย้ายภูผาจะ หายสาบสูญไป” ชายชราผมขาวเอ่ยราบเรียบ ช่วงที่คำพูดดังก้อง ความรู้สึกไหลผ่านของเวลาในมวลอากาศรอบตัวเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
คำพูดเขาทำให้จื่อหลงเจินเหรินดวงตาเปล่งประกายมากขึ้น จุดนี้ดึงดูดความสนใจของซูหมิงในระดับสูง เขาเห็นชัดว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังไม่เป็นเช่นนี้ แต่พอเห็นกาลเวลาในมวลอากาศรอบตัวชายชราไหลผ่านแล้วถึงหน้าเปลี่ยนสี ราวกับว่าเดิมทีไม่ได้สนใจมากนัก แต่เสี้ยวชั่วขณะเดียวกลับกลายเป็นเฝ้าปรารถนายิ่ง
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเป็นเพราะกาลเวลารอบตัวชายชราไหลผ่าน
‘หรือว่า เมื่อฝึกฝนถึงขั้นพลังบางอย่างแล้วจะปรับเปลี่ยนอากาศได้เองโดยธรรมชาติ จึงก่อให้เกิดเป็นแรงกดดัน! หรืออาจพูดได้ว่าเกิดจากการฝึกฝนอภินิหารอะไรบางอย่าง และเปลี่ยนมันผ่านอภินิหาร ทำให้คนรู้ฐานะของชายชราคนนี้ได้?’ ดวงตาซูหมิงขยับประกาย ความคิดลอยขึ้นมาเป็นการคาดเดาต่างๆ อย่างรวดเร็ว
“เคลื่อนย้ายภูผา…คือรูปแบบแรกของวิชาที่หายสาบสูญไปของข้า แต่ต่อให้เป็นรูปแบบแรกก็สังหารขั้นกุมได้ทุกคน สามารถสั่นคลอนกฎชะตา! หากตระหนักรู้ จะเหนี่ยวนำภูเขาแห่งหมื่นหมื่นโลกจักรวาลมาเยือนพร้อมกันที่จุดแห่งความคิด สิ่งนี้คือ…เคลื่อนย้ายภูผา!
หากมีผู้ตระหนักรู้วิชานี้ของข้า ร่างเงาสะท้อนข้าจะหายไป มิตินี้ที่ข้าเปิดขึ้นเองจะพังทลายตามไปด้วย ถึงตอนนั้นข้าจะใช้พลังการทำลายล้างแห่งโลกนี้ส่งผู้มีวาสนาตระหนักรู้วิชานี้ไปยังชายขอบชั้นหนึ่งของเตาหลอมลำดับห้าทันที ให้เขาผู้นั้นมีโอกาสเข้าสู่ใจกลางเตาหลอม!
หากละทิ้งโอกาส ข้าจะส่งเจ้าออกจากเตาหลอมลำดับห้าทันที” ชายชราบน ยอดเขากล่าวนิ่งๆ ทันใดนั้นเอง อากาศข้างหลังพวกซูหมิงพลันบิดเบี้ยว ชายร่างกำยำหวงเหมยวูบไหวกายเดินออกมา
เมื่อเดินออกมาแล้ว ชั่วขณะที่เห็นยอดเขารวมถึงชายชราด้านบน ชายร่างกำยำหวงเหมยหน้าเปลี่ยนสี สายตาจ้องกาลเวลาในมวลอากาศรอบตัวชายชราที่กำลังไหลเวียนตาเขม็ง ลมหายใจกระชั้นขึ้นมาอย่างเด่นชัด
จังหวะเดียวกับที่เขาปรากฏตัว ชายชราบนยอดเขายกมือขวาขึ้นชี้ชายร่างกำยำหวงเหมย หนึ่งดัชนีชี้ไป ซูหมิงพลันเกิดความรู้สึกฟ้าดินถล่มทลาย คล้ายกับว่าจักรวาลจะถูกดัชนีนั้นมาแทนที่ ความรู้สึกนี้คือแรงบีบอัดที่ไม่อาจบรรยาย มีความมหาศาลที่ยากจะต่อต้าน
เป็นตอนนี้เองที่ซูหมิงไม่อาจคาดเดาขั้นพลังของชายชราได้แล้ว รู้กันดีว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเงาสะท้อน แต่เงาสะท้อนกลับแกร่งกว่าผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เขาเคยเจอมามากนัก
หากบอกว่ามีคนที่ต่อต้านได้ บางทีอาจมีเพียงผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกแท้จริง หยินศักดิ์สิทธิ์คนนั้นที่ซูหมิงเห็นในภาพจากทวนมุ่งสู่ชีวิต!
‘เขาคือขั้นดับ…หรือว่าผู้ยิ่งใหญ่?’ ระหว่างที่ซูหมิงใจสั่นสะท้าน
เขาก็เห็นว่าเมื่อชายชราชี้นิ้วมา รอบตัวชายร่างกำยำหวงเหมยเกิดเค้าลางกาลเวลาไหลผ่าน ชายร่างกำยำหวงเหมยหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ร่างกายสั่นไหว กาลเวลาไหลผ่านรอบตัวหายไป ทว่านัยน์ตาเขากลับฉายแววตื่นเต้น
ตอนนี้ไม่ใช่เพียงซูหมิงที่เข้าใจ จื่อหลงกับจูโหย่วไฉต่างมองเห็นเงื่อนงำ ชายร่างกำยำหวงเหมยมาทีหลัง เดิมทีไม่ได้ยินคำพูดของชายชราก่อนหน้านี้ แต่ในเมื่อเขามาถึงมิตินี้แล้ว ชายชราจึงปรับเปลี่ยนเวลาในตัวเขาเล็กน้อย ทำให้เขาตามคนอื่นทัน
ดูเหมือนมาทีหลัง ทว่าความจริงจากการปรับเปลี่ยนเวลา ชายร่างกำยำหวงเหมยจึงเท่ากับเข้ามาพร้อมพวกซูหมิง และแน่นอนว่าย่อมรู้คำพูดก่อนหน้านี้ของชายชรา
ทุกอย่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก ดูแล้วยากจะเข้าใจเล็กน้อย แต่หากคิดดีๆ ก็จะเข้าใจ
เมื่อเข้าใจแล้ว จึงอดเกิดความเคารพยำเกรงอย่างแรงกล้าต่อชายชราคนนี้ขึ้นเองมิได้ แข็งแกร่งเช่นนี้ มีพลังปรับเปลี่ยนเวลา ทำให้จื่อหลงกับชายร่างกำยำหวงเหมยใจสั่นสะท้าน
นัยน์ตาจูโหย่วไฉขยับประกาย ไม่รู้ว่ามีความคิดอะไร แต่เทียบกับพวกเขาสามคนแล้ว ซูหมิงตกตะลึงมากที่สุด เพราะว่า…พลังปรับเปลี่ยนเวลา บางทีคนอื่นอาจรู้ไม่เยอะ แต่เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร เพราะว่านี่…คือหนึ่งในพรสวรรค์ของเผ่ายมโลก!
“พวกเจ้า….สิบสองคนล้วนมีโชควาสนา ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีใดก็ตาม ของวิเศษก็ดี ขั้นพลังก็ดี ร่างกายก็ดี แต่วิธีเดียวที่จะได้วิชานี้ของข้าคือต้องดูว่าใคร…มาวางมือบนม้วนตำราเหล็กตรงหน้าข้าก่อน
ข้าประทับตราลงบนม้วนตำราเหล็กเอาไว้ คนแรกที่สัมผัสจะได้ตระหนักรู้ จะได้เรียนรู้!” ชายชราสะบัดแขนเสื้อ ฟ้าดินพลันเกิดเสียงโครมคราม ทั้งผืนฟ้ากลายเป็นน้ำวนยักษ์ ระหว่างเสียงดังสนั่นกึกก้อง แผ่นดินสั่นไหวตาม ยอดเขาสูงตระหง่านยกขึ้นมาจากพื้นดินอีกไม่น้อย กลายเป็นสูงเสียดฟ้า ตาเนื้อมองไม่เห็นปลายยอดเขา
“การสืบทอด เริ่ม” ชั่วขณะที่เสียงชายชราจากบนยอดเขาแว่วมา จื่อหลงพลันขยับวูบไหวตัว ถึงในใจจะสงสัยคำพูดชายชราที่ว่ามีสิบสองคน แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาจะมาขบคิด ตัวเขากลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งขึ้นไปยังภูเขา ส่วนชายร่างกำยำหวงเหมยนัยน์ตาเผยจิตสังหารวูบวาบ ก่อนพุ่งออกไปอย่างไม่ลังเลเช่นกัน
ทางด้านจูโหย่วไฉขมวดคิ้ว ไม่มองจื่อหลงกับหวงเหมยที่พุ่งออกไป แต่จ้องยอดเขาแล้วเดินออกไปหลายก้าวเหมือนมีความคิด
แทบทันทีที่จื่อหลงเจินเหรินกับหวงเหมยกลายเป็นสายรุ้งยาวขึ้นยอดเขาไป พวกเขาสองคนพลันหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรงพร้อมกัน คนแรกคือชายร่างกำยำ หวงเหมย เขาตัวสั่น ร่างตกลงสู่พื้นดังโครม ตอนที่เงยหน้ามองยอดเขาด้วยอาการสั่น เขาดูหวาดกลัว
จังหวะที่เขาบินขึ้นไปเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าพลังทั่วร่างหายไป เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ราวกับว่าจากเซียนถูกกดตกลงมาเป็นคนธรรมดา ตอนนี้ความอ่อนล้าทั่วร่างทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคยและเกิดความหวาดกลัว
ต่อมาคือจื่อหลงเจินเหริน เขาตกลงสู่พื้นเช่นกัน จากนั้นสีหน้าดูย่ำแย่อย่างยิ่ง ระหว่างที่ดวงตาขยับประกายยังซ่อนความกลัวเอาไว้ลึกๆ เขาสังเกตเห็นความอ่อนแอของร่างกาย นั่นเป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้ประสบมานานมาก เวลานี้เพียงสัตว์ร้ายเล็กจ้อยตัวหนึ่งก็ฉีกร่างเขาได้แล้ว
จื่อหลงเจินเหรินเงยหน้ามองยอดเขาสูงตระหง่านพลางกัดฟันเดินหน้าไปอย่างยากลำบาก
เทียบกับจื่อหลงและหวงเหมยแล้ว จูโหย่วไฉดูสงบนิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บินขึ้นไป แต่ก้าวเดิน ถึงจะยากลำบากเหมือนกัน แต่ก็ดีกว่าจื่อหลงกับหวงเหมยมาก
ทุกอย่างอยู่ในสายตาซูหมิง หากเขายังมองไม่ออกเช่นนั้นก็คงไม่มีชีวิตมาถึงตอนนี้ และก็คงไม่มีทางได้รับพลังแข็งแกร่งรวมถึงเข้ามาได้เตาหลอมได้ด้วย
‘ที่นี่มีจำกัดอยู่!’ ดวงตาซูหมิงแวววาว ทว่าสิ่งที่เขาครุ่นคิดอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจำกัดของที่นี่ แต่เป็นสิบสองคนที่ชายชราเอ่ยถึงเมื่อครู่!
‘จื่อหลง หวงเหมย จูโหย่วไฉ รวมกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง บรรพบุรุษหลงไห่ พวกเสวียนซางสี่คนกับสวี่ฮุ่ย ทั้งหมดมีสิบคน บวกกับข้าก็เป็นสิบเอ็ดเท่านั้น แล้วคนที่สิบสองมาจากที่ใด…ที่เขาพูดถึงคือกระเรียนขนร่วงหรือว่า…’ ซูหมิงตรึกตรองพลางเดินไปทางยอดเขาหนึ่งก้าว ทว่าเพิ่งจะก้าวเดินก็หน้าเปลี่ยนสี
ความรู้สึกอ่อนแอหลั่งทะลักมาจากร่างกาย เขาไม่แปลกใจกับความรู้สึกนี้ ถึงอย่างไรก็มองเงื่อนงำออกเล็กน้อยแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เปลี่ยนสีหน้าคือชั่วขณะที่รู้สึก ร่างสมบัติล้ำค่าที่เขาอยู่…เกิดร่างซ้อนทับขึ้นอย่างเงียบเชียบ
ร่างสมบัติล้ำค่าเกิดเค้าลางจะแยกออก ในเวลาเดียวกันยังมีเสียงตกใจจาก พวกเสวียนซางสี่คนดังแว่วมาในใจเขา
เสียงพวกเขายังคงดังก้องในใจซูหมิง เสี้ยวชั่วขณะเดียว การซ้อนทับของร่างสมบัติล้ำค่ารุนแรงขึ้น สุดท้ายเกิดเสียงดังสนั่น ร่างกายแตกกระจายออก!