Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1034

ตอนที่ 1034 ซากปรักหักพัง

แผ่นหยกนี้ตอนแรกบรรพบุรุษธุลีแผดเผามอบให้ ภายในบันทึกพื้นที่บางส่วนในโลกแท้จริงที่ห้าเอาไว้ เขาจำข้อมูลแผ่นหยกนี้เอาไว้ในใจแล้ว ยามนี้เดินไป หลายวันต่อมาก็เห็นแม่น้ำสีขาวสายหนึ่ง

“แม่น้ำยมโลกลำดับห้า…..” ซูหมิงหยุดชะงัก สายตามองแม่น้ำยมโลกที่เป็นดั่งตัดผ่านฟ้ากระจ่างดาว และยังมีปลายสองฝั่งที่ห่างกันไกลของแม่น้ำ แต่ละฝั่งมี….. ถ้ำว่างเปล่ามหึหา

ถ้ำว่างเปล่ายักษ์สองแห่งนี้ ไม่รู้ว่าเชื่อมไปที่ใด มันอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ตรงกลางเป็นแม่น้ำยมโลกสีขาวกำลังไหลผ่าน ดุงดั่ง…..ดวงตาของถ้ำว่างเปล่า สองแห่ง

ตอนที่ซูหมิงอ่านแผ่นหยกเกี่ยวกับโลกแท้จริงที่ห้าของบรรพบุรุษธุลีแผดเผา เขาเห็นในนั้นวาดเป็นแม่น้ำยมโลกลำดับห้า เพียงแต่วาดไว้แบบง่ายๆ แต่ตอนนั้น เขาคิดแล้วว่าแม่น้ำยมโลกลำดับห้าน่าจะเป็นสีขาว

เพราะสีขาวหมายถึงยมโลก คำว่ายมโลกนี้ไม่ใช่ความตาย แต่เป็นรูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นจากความหมาย ตอนนี้เขาเห็นแม่น้ำยมโลกลำดับห้าแล้ว

เขาพบว่าแม่น้ำเหมือนกับในจินตนาการทุกประการ และยังมีถ้ำอากาศที่เป็นดั่งดวงตาของสองฝั่งที่เชื่อมแม่น้ำยมโลก มันก็ตรงกับภาพในจินตนาการเช่นกัน

“ด้านหนึ่งของแม่น้ำยมโลกลำดับห้ามีดาวดวงหนึ่งเรียกว่าธุลีแผดเผา…..” ซูหมิง กล่าวพึมพำ นี่คือภาพสลักแผนที่บนแผ่นหยก เมื่อเขาเงยหน้าแล้วขึ้นก็ขยับวูบไหวพุ่งไปยังแม่น้ำยมโลกลำดับห้า

ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าไร กลิ่นอายมรณะก็ยิ่งอบอวล เขาเห็นว่าในทะเลลำดับห้ามี ศพลอยอยู่เต็มไปหมด จนกระทั่งเขาจากไปก็พลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนหันไปมองแม่น้ำยมโลกลำดับห้า

เขารู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็นึกไม่ออกว่าจุดใดที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกนี้กันแน่ เขาจึงถอนหายใจเบาพลางกล่าวขึ้น

“เจ้าขนร่วง…..”

เขากำลังเรียกกระเรียนขนร่วงในถุงเก็บวัตถุ แต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ ซูหมิงขมวดคิ้วพลางหลอมรวมเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ ก็เห็นว่าข้างใน…..ไม่มีร่างเงาของกระเรียนขนร่วง

ซูหมิงดวงตาวาววับ ความรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปชัดเจนขึ้น

เขาตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วก็จากไป

จนกระทั่งคล้อยหลังซูหมิง ศพจำนวนมากในแม่น้ำยมโลกลำดับห้ายังคงลอยอยู่ เพียงแต่…..ศพทุกร่างล้วนเหมือนนอนหมอบอยู่กลางแม่น้ำ เห็นเพียงแผ่นหลัง พวกเขา มองไม่เห็นใบหน้า

ซูหมิงเดินอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร กาลเวลาไหลผ่านทำให้เขาเหมือนลืมว่าอยู่ในโลกแท้จริงที่ห้า จนกระทั่งเห็นดาวดวงหนึ่งในฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ

มันเป็นดาวกลางเปลวเพลิง มีเปลวเพลิงร้อนระอุอบอวลไปรอบๆ ทำให้ดาวนี้เป็นสีแดงฉานกลางทะเลเพลิง

ดาวดวงนี้ก็คือต้นกำเนิดเผ่าวิญญาณเพลิงที่บรรพบุรุษธุลีแผดเผาเอ่ยถึง

ซูหมิงมองดาวดวงนี้ ความรู้สึกแปลกในใจเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่เจอศพ ในใจเขาตื่นตัวขึ้นมาโดยพลัน เพียงแต่ความตื่นตัว…..ก็ไม่พบภยันตรายใดๆ เช่นกัน

ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ในฟ้ากระจ่างดาวแห่งนี้มีเขาคนเดียว เขาไม่เจอสิ่งมีชีวิตที่สองเลย

ซูหมิงเงียบ เดินไปยังดาวธุลีแผดเผากลางทะเลเพลิงด้วยความลังเล เดินผ่านทะเลเพลิง ตอนที่เขาเหยียบบนดาว เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสไป แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยสิ่งมีชีวิตบนดาวแม้แต่น้อย

แผ่นดินใหญ่เป็นทะเลทราย เป็นทรายเผาไหม้กลางทะเลเพลิง ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานถูกเปลวเพลิงปกคลุม ทั้งดวงดาว….ไม่มีแม่น้ำ ไม่มีต้นไม้ เป็นเพียงดินทรายทั้งหมด

ซูหมิงคว้าดินเผาไหม้ขึ้นมาจากข้างในแล้วเก็บเข้าถุงเก็บวัตถุ เขาพิจารณามองดาวธุลีแผดเผาอีกครั้ง จากนั้นหมุนตัวจากไปเงียบๆ

ซูหมิงเดินอย่างสับสนในโลกแท้จริงที่ห้าที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ทั้งฟ้าดิน ทั้งจักรวาลมีเพียงเขาคนเดียว ความเงียบสงบรอบๆ กลายเป็นความอึดอัดทีละน้อย ทำให้ในใจประหนึ่งเกิดความอึดอัดที่ระบายไม่ออก

แต่ทุกอย่างเหล่านี้ ในความรู้สึกเขาเหมือนว่าเดิมทีควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว โลกแท้จริงที่ห้าควรจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ควรเป็นจักรวาลมรณะ เศษซากที่นี่ ซากปรักหักพังที่นี่ ทุกอย่างเหมือนกับในจินตนาการเขา

เวลาผ่านไปทีละปีๆ เขายังคงห้อเหยียดอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียวคือดาวดวงหนึ่งอันไกลโพ้นตามสัญลักษณ์บนแผนที่

ดาวที่มีนามว่า ยมโลก

ที่นั่นคือบ้านเกิดชาวเผ่ายมโลก และก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพวกเขา บรรพบุรุษเผ่ายมโลกในตอนนั้นก็อยู่บนดาวยมโลก

เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ จนวันหนึ่งซูหมิงรู้สึกว่าใกล้จะถึงดาวแล้ว เขาก็เห็นว่าในฟ้ากระจ่างดาวตรงหน้ามีดาวแท้จริงสีฟ้าของน้ำอยู่ดวงหนึ่ง

ดาวดวงนั้นดูพิเศษมากในฟ้ากระจ่างดาว พอได้มองในแวบแรกจะลืมไม่ลง

“ดาวยมโลก…..” ซูหมิงมองดาวสีฟ้า ตัวเขาสั่นไหว ก่อนเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงดาวแล้วขึ้นไปอยู่กลางฟ้าดินของดาว เขาก็เห็นแผ่นดินซากปรักหักพัง

มีเพียงสีฟ้าน้ำทะเลนั้น ลูกคลื่นกลางสีฟ้าสดม้วนตลบ ความเงียบสงบ แม้แต่เสียงคลื่นยังเหมือนถูกตัดขาด

บนแผ่นดินเป็นซากปรักหักพัง มีหินผุพังอยู่เต็มไปหมด แต่จะเห็นได้อยู่ว่าที่นี่เคยมีเมืองจำนวนมาก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซาก

กลางยอดเขาไม่มียอดใดสูงมากเกินไป บ้างมีร่องรอยแตกหัก เหมือนยืนยันได้ว่าที่นี่เคยเกิดสงครามที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลกแท้จริงที่ห้า

ซูหมิงกลางอากาศมองพื้นดิน มองซากแต่ละแห่ง เขาเดินไปอย่างเงียบๆ เดินผ่านซากเมืองจำนวนมากจนมาอยู่ตรงกลางดาว เขาก็เห็นเกาะกลางทะเล แห่งหนึ่ง บนเกาะมีพระราชวังยักษ์ถล่มลงมากกว่าครึ่ง

บนลานนอกพระราชวังเดิมทีควรจะมีรูปปั้นตั้งอยู่จำนวนมาก แต่ยามนี้เหลือเพียงสามรูป

สองรูปในนั้นไม่มีหัว เห็นได้ว่าพังลงกลางสงคราม มีเพียงรูปเดียวที่ยังอยู่สมบูรณ์ นั่นคือ รูปปั้นสตรี

ซูหมิงมองรูปปั้น นั่นคือมารดาของเขา เป็นสตรีที่ตอนนี้นอนอยู่ในโลงไม้พลางสูบพลังชีวิตกลางเตาหลอมลำดับห้าอยู่ตลอด นี่คือรูปปั้นนาง

อีกสองรูปที่เหลือ หากมองจากตำแหน่งหนึ่งในนั้นอยู่ตรงกลางน่าจะเป็นคนที่สำคัญที่สุดในรูปปั้นกลุ่มนี้ ถึงจะไม่มีหัว แต่ก็จินตนาการได้ว่ารูปปั้นนี้น่าจะเป็น บรรพบุรุษเผ่ายมโลก

ข้างๆ หนึ่งเป็นมารดาซูหมิง อีกหนึ่งเป็น….

ซูหมิงมองไปด้วยแววตาซับซ้อน รูปปั้นที่ไม่มีหัวรูปนี้เลือนรางไม่ชัดเจนเหมือนรูปลักษณ์บิดาในความคิดซูหมิง….

ซูหมิงเงียบอยู่นานมาก เขาหมุนตัวกลับบนดาวของเผ่ายมโลกแล้วเดินทางไปแทบจะทั่วดาว จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายวัน เมื่อกลับมาถึงที่นี่อีกครั้งแล้ว เขานั่งลงตรงหน้ารูปปั้นมารดาอย่างเงียบๆ สายตามองรูปปั้น มองรอบๆ พลางเข้าสู่ห้วงความคิด

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หนึ่งปี สองปี….ห้าปี….สิบปี….

ซูหมิงนั่งแน่นิ่งอยู่ตลอด ทว่าในดวงตากลับซ่อนแสงหม่นที่รวมตามการไหลเวียนของเวลาเอาไว้ แล้วจึงหลับตาลงช้าๆ

ขณะเวลาไหลผ่าน ณ เขตใจกลางทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ในเตาหลอมลำดับห้า ตรงส่วนลึกทะเลลำดับห้าที่โลกภายนอกมองไม่เห็น กลางทะเลหมอกไหลเชี่ยว ตรงนั้น มีแท่นบวงสรวงมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง บนแท่นบวงสรวงวางกระจกยักษ์บานหนึ่ง ทั้งกระจกเป็นสีฟ้าสายน้ำ แวววับจับตา และยังแผ่แรงกดดันรุนแรงมาอีก แรงกดดันแผ่ขยายออกราวกับกดทับทั้ง ทะเลลำดับห้า ทำให้ทะเลหมอกที่นี่หมุนวน พอแรงถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะเงียบสงบลง

ตอนนี้คนสวมหน้ากากสุขโกรธเศร้าแค้นสี่คนนั่งฌานอยู่รอบกระจกมหึมา ทุกคนไม่ได้หลับตา แต่เพ่งมองกระจกราวกับผลึกหิน ผ่านไปพักใหญ่คนสวมหน้ากากเศร้าก้มหน้าลงถอนหายใจ ตอนนี้นัยน์ตาไม่เย็นชาอีก แต่ซับซ้อน

“ไม่ทนแล้วรึ?” หลังเสียงถอนหายใจดังก้อง คนสวมหน้ากากโกรธหันหน้าไปมองแล้วกล่าวเสียงต่ำ น้ำเสียงยังมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่และยังแฝงไว้ด้วยความ บ้าอำนาจดุจดั่งชำเลืองตามองใต้หล้า

“ข้าไม่ทนแล้วจริงๆ เจ้าก็เหมือนกัน” คนสวมหน้ากากเศร้ากล่าวราบเรียบพร้อมมองคนสวมหน้ากากโกรธ

“บางทีตอนนั้นข้าอาจเข้าใจผิด” คนสวมหน้ากากโกรธก้มหน้าลงเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจยาว กล่าวพึมพำ

“ตั้งแต่ที่พวกเราละทิ้งฐานะของมหาโลกสามรกร้างมาเป็นผู้ปกปักทะเลเงามืดรุ่งอรุณ พวกเราได้ขีดเส้นแบ่งกับอดีตไปแล้ว ได้ตัดขาดความสัมพันธ์และอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างในตอนนั้นไปแล้ว

นี่เป็นเพียงการทดสอบด่านแรกของทะเลเงามืดรุ่งอรุณ หากเขามองที่นี่ไม่ออก ก็ไม่ใช่คนที่หนึ่งร้อยแปดสิบมหาโลกแห่งเงามืดรุ่งอรุณต้องการ” เสียงต่ำดังขึ้นมาจากคนสวมหน้ากากสุข เสียงดังก้องไปรอบๆ

“สี่การสืบทอดแห่งสุขโกรธเศร้าแค้น ตอนนั้นเจ้าเคยบอกว่านอกจากสุขโกรธเศร้าแค้นแล้ว ความจริงยังมีอีกการสืบทอดหนึ่งสายเลือด ผู้ปกปักแห่งทะเลเงามืด รุ่งอรุณก็ควรจะมีห้าคน คนที่ห้าคืออะไร?” เสียงแหบแห้งพลันดังมาจากคนสวมหน้ากากแค้นที่เงียบมาโดยตลอด

“สุขโกรธเศร้าแค้นและหมดสิ้น การสืบทอดสายเลือดคือหน้ากากแห่งความหมดสิ้น ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอีก เจ็ดอารมณ์หกความปรารถนาหายไป” คนสวมหน้ากากสุขตอบกลับเรียบๆ

“ข้าก็มีคำถามหนึ่งเหมือนกัน พวกข้าสามคนสืบทอดกันมาหลายสมัยแล้ว เจ้าก็เคยบอกว่ามีเพียงการสืบทอดแห่งความดีใจเท่านั้นที่มีรุ่นเดียว ข้าอยากรู้มากว่าฐานะในมหาโลกสามรกร้างของเจ้าในตอนนั้นเป็นใครกันแน่?” คนสวมหน้ากากเศร้าถามขึ้นทันที

“ถึงตอนที่พวกเจ้าสามคนควรจะรู้ก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง” คนสวมหน้ากากดีใจตอบเรียบๆ

สามคนที่สวมหน้ากากโกรธเศร้าแค้นได้ยินดังนั้นก็เงียบไป แต่มองคนสวมหน้ากากสุขด้วยแววตาประหลาดใจ

ตอนนี้เอง กระจกผลึกที่พวกเขาสี่คนล้อมอยู่พลันขุ่นมัว เกิดเมฆหมอกหมุนวนราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีเสียงอื้ออึงดังกึกก้อง สามคนที่สวมหน้ากากโกรธเศร้าและแค้นสามคนมองไปทันที มีเพียงคนสวมหน้ากากสุขที่มีสีหน้าปกติและยังคงเฉยชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!