ตอนที่ 1250 ภัยพิบัติยกระดับวิญญาณของเจ้า…มาถึงแล้ว
โลหิตสาดกระจาย หัวชายร่างกำยำสี่แขนระเบิดออก ร่างถอยไปชั่วครู่ก่อนถูกม้วนเข้าไปในน้ำวนทันที ชั่ววูบเดียวก็หายไป จนถึงตอนนี้ซูหมิงยังไม่เงยหน้าขึ้น เขาอมยิ้มมองฟางชางหลัน จนกระทั่งใบหน้านางแดงเล็กน้อยแล้ว ก็ดึงมือนางเข้ามาที่อกตน
เขาใช้ความอบอุ่นของร่างกายตนมาสร้างความอบอุ่นให้ความโดดเดี่ยวพันกว่าปีของนาง ช่วงที่นางเข้าไปยังอกซูหมิง ในดวงตานางเผยความอ่อนโยน เหมือนว่ายืนอยู่ที่นี่เท่ากับยืนอยู่จุดสูงสุดของชีวิต ประหนึ่งว่าอยู่ข้างกายซูหมิงเป็นความงดงามที่สุดในชีวิต
ขอแค่เวลานี้ยาวนาน จะไม่ร้องขอสิ่งใดแล้ว
ความอ่อนโยนมีการสังหารมาเสริมดุล เหมือนกับภาพแม่น้ำภูเขาพลันเกิด แสงหลากสี สีสันสวยงาม เป็นที่จับจ้อง…เหมือนจะไม่เข้ากัน แต่ความงดงามหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ววาดออกไป จึงเหลือเพียงความสวยงาม
เสียงคำรามดังกึกก้อง ร่างกายแตกกระจายเป็นชิ้นๆ นี่คือความบ้าคลั่งจากการที่ชาวเผ่าหมานหกแสนคนสู้เพื่อผงาดขึ้นและออกจากที่นี่ ในตอนนี้มันทำให้ในความคิดพวกเขาเหลือเพียงอย่างเดียวคือสังหาร!
นี่คือสภาพการณ์ที่ต้องมีชีวิตรอด ทำให้สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ โลกหมานถูกกระชากออกไปข้างนอกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคำพูดก่อนหน้านี้ของ ซูหมิง สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ดอกไม้ที่ถูกปกป้อง แต่เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพายุฝน
ใครเป็นดอกไม้ ใครเป็นต้นไม้ใหญ่ สงครามครั้งนี้…ไม่มีคนเป็นประจักษ์พยาน และก็ไม่ต้องการพยาน เพราะว่าคนที่รอดคือต้นไม้ใหญ่ แต่คนที่ตาย…แม้จะไม่ใช่ดอกไม้ แต่ก็ถูกโชคชะตาคัดออก
นี่เหี้ยมโหดมาก และก็ไม่ยุติธรรมมาก แต่สงครามไม่มีความยุติธรรม การผงาดขึ้นของหนึ่งเผ่าพันธุ์ไม่เคยมีความยุติธรรม หากมีคนกล้าขี้เกียจทำสงคราม กล้าไม่ต่อสู้ เช่นนั้นชาวเผ่าหมานแบบนี้ก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องถูกคัดออก
อีกอย่างหนึ่งในสงครามครั้งนี้ไม่มีทางมีผู้ใดขี้เกียจทำสงคราม เพราะคนแบบนี้มีชีวิตรอดไม่ถึงช่วงสุดท้ายก็ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดแล้ว
เสียงคำรามแหลมมีของเผ่านอก มีเผ่าหมาน ภายใต้เสียงกรีดร้อง ความอบอุ่นชั่วคราวในใจฟางชางหลันหายไปมาก นางเงยหน้าขึ้นมองข้างบน มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าทนไม่ได้
“ตอนที่ข้ายังไม่มีพลังอย่างพวกเขา ข้าก็เดินไปแบบนี้ ตอนที่ข้ามีพลังอย่าง พวกเขา ข้าก็ยังเดินไปเช่นนี้ ข้าไม่ขอให้พวกเขาเดินผ่านความเป็นตายเหมือนกับข้าจนมาถึงวันนี้ แต่ว่า…
การผงาดขึ้นของเผ่าหมาน หากมีข้าคนเดียว หากเป็นเวลาปกติ ด้วยพลังข้า ข้าก็ทำได้ แต่ว่า…ตอนนี้ หากเผ่าหมานผงาดขึ้น สิ่งที่ต้องการคือความมุมานะของ ผู้ฝึกฌานทั้งเผ่าหมาน และสิ่งที่ข้าอยากให้พวกเขาคือมีคุณสมบัติเอาชีวิตรอดในโลกภายนอกภายใต้มหันตภัยในภายภาคหน้าตอนที่ไม่มีข้า” ซูหมิงเงยหน้ามองการสังหารข้างบน เขาเห็นการตายของเผ่าหมาน เห็นพวกเขาสู้รบอย่างกล้าหาญ เห็นดวงตา สีแดงก่ำค่อยๆ เกิดเป็นความบ้าคลั่ง
“เมื่อใดที่พวกเขาสู้รบจนเย็นชา คุ้นชินและปรับตัวได้…พวกเขาจะถือว่าเติบใหญ่ แต่ตอนนี้เป็นเพียงผู้เยาว์” ขณะที่ซูหมิงกล่าว ในปากเขาพลันขยับแสงสีม่วง จากนั้นกระบี่ตัดดวงจิตกลายเป็นแสงม่วงสายหนึ่งบินออกไป กวาดล้างไปรอบๆ ชั่วพริบตาเดียวเกิดเสียงกรีดร้องดังก้อง มีคนเผ่านอกที่มีขั้นพลังเทียบเท่าขั้นกุมสี่คนที่เพิ่งเข้าร่วมสนามรบร่างสั่นสะท้านพร้อมกัน ก่อนศีรษะแยกกับร่าง สิ้นใจไป
“เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้าออกจากเผ่าหมาน ข้า…รู้แล้ว” ฟางชางหลันมองซูหมิงด้วยแววตาอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ยังทนไม่ได้ นางจึงจับมือซูหมิง กุมมือเขาเอาไว้
“ข้าลืมไปแล้วว่าเจ้ามีความสามารถแบบนี้” ซูหมิงอึ้งไปแล้วหัวเราะเงียบๆ เขานึกถึงความสามารถของนางที่มองเห็นอดีตของคนอื่นได้ วิชานี้ ซูหมิงไม่เคยเห็นว่ามีใครใช้ได้นอกเผ่าหมานมาก่อน ต่อให้อยู่ในเผ่าหมาน ก็เห็นแค่ฟางชางหลันคนเดียว
บางทีอาจารย์นางอาจจะชำนาญยิ่งกว่า บางทีอาจมีคนที่สืบเชื้อสายมาจากสายเลือดนางเท่านั้นถึงจะทำนายฟ้าดินได้ บางที…ซูหมิงนึกถึงตรงนี้ในใจพลัน สั่นสะท้าน ภายในดวงตาลุ่มลึก เขามองฟางชางหลันอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
เพราะเหตุใด นางถึงยังมีพลังชีวิตในแดนมรณะหยิน
เพราะเหตุใด หลังจากนางถูกขอให้เป็นพระชายาหมานแล้วถึงรวมวิญญาณของเผ่าหมานได้ ทำให้ชาวเผ่าหมานเคารพ นอกจากเสน่ห์ของตัวนำงแล้ว บางที…อาจจะมีพลังที่สืบมาจากสายเลือดซึ่งเป็นแรงดึงดูดต่อชาวเผ่าหมาน
เพราะเหตุใด สายเลือดนางรวมถึงอาจารย์นางถึงใช้อภินิหารมองอดีตของคนอื่นที่ต่อให้เป็นซูหมิงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าหยั่งลึกยากจะคาดเดาได้
สิ่งเหล่านี้ลอยขึ้นมาในใจเขา เขาเหมือนจะหาคำตอบพบแล้ว
ตอนที่คำตอบลอยขึ้นมา ในความคิดเขาลอยขึ้นมาเป็นจ้าวหมานที่ทำนายฟ้าหมานที่เขาเห็นตอนย้อนอดีตกลับไป ณ วิหารเหล่าเทพ และยังมีคนตาบอดซ่อมซวิน แล้วก็ท่านปู่…
น้ำวนมรณะหยินเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว การสังหารโดยรอบอนาถาถึงขีดสุด ขณะเดียวกันการลอยขึ้นของแผ่นดินหมานกลับค่อยๆ สูงขึ้นภายใต้การต่อต้านกับแรงดูดของน้ำวน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นกึกก้องแก้วหู แผ่นดินหมานพลันลอยขึ้น ตอนนี้ห่างจากทางออกน้ำวนแค่ใช้สายตาก็มองเห็นแล้ว
ชาวเผ่าหมานหกแสนคนตายไปเกือบสองแสนในระหว่างที่แผ่นดินหมานข้าม ผ่านน้ำวน คนที่เหลือแม้ดวงตาจะแดงโลหิต แต่กลับมีกลิ่นอายมารเข้มข้นแผ่ออกมา อีกทั้งยังไม่มีความบ้าคลั่งอีก แต่เกิดเค้าลางเย็นชา
ความเย็นชานั้นคือจิตสังหารที่รุนแรงกว่าความบ้าคลั่งหลังชินกับการสังหาร เป็นเหมือนกับเหล็กชิ้นหนึ่ง ตอนนี้กำลังถูกตีให้เป็นดาบ
ในเผ่าหมานสี่แสนคนมีเผ่าชะตาชีวิตแปดหมื่นคน พวกเขาล้มตายไปไม่มาก เพราะเดิมทีพวกเขาชินกับการสังหารอยู่แล้ว เดิมทีก็เป็นดาบที่ใกล้จะเกิดประกายคมอยู่แล้ว อีกทั้งการทำสงครามกับเผ่านอกตอนนี้ยังเป็นสงครามครั้งแรกหลังจากที่ขั้นพลังพวกเขาสูงขึ้นด้วย จึงทำให้ดาบคมอย่างเผ่าชะตาชีวิตถูกลับให้เป็นกระบี่ล้ำค่า!
กระบี่เล่มนี้คมกริบ สามารถทำลายล้างนับพันกองกำลัง!
โดยเฉพาะหนานกงเหิน ภายใต้การสังหาร พลังทั่วร่างเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขายืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับคมเขี้ยวอาบโลหิต คนที่มองเขาจะใจสั่นไหวและเกิดความหนาวเยือก
ตอนนี้เองเกิดเสียงคำรามดังยิ่งกว่าเดิมจากข้างบนเผ่าหมาน ทันใดนั้นปรากฏเผ่านอกจำนวนมากกว่าเดิมจากในน้ำวน ศักยภาพรวมของเผ่านอกเหล่านี้ล้วนไม่อ่อนแอ พวกเขาเหมือนกับปราการสุดท้ายที่จะปกป้องน้ำวนและขวางผู้จะออกไปทุกคน
กระทั่ง…ในตัวเผ่านอกหน้ำตาประหลาดเหล่านั้น ซูหมิงยังรู้สึกถึง…กลิ่นอายพลังเผ่าเซียนรางๆ !
เทียบกับเผ่าหมานสี่แสนคนที่เหนื่อยล้าตอนนี้แล้ว เผ่านอกที่เพิ่งปรากฏตัวต่างเหมือนกับมารชั่วร้าย คล้ายว่าพวกเขารออยู่ที่นี่มานานแล้ว ตอนนี้พอเห็นแผ่นดินหมานลอยขึ้น เห็นชาวเผ่าหมานสี่แสนคนที่บินขึ้นพร้อมกับบนแผ่นดินหมานแล้ว พวกเขาต่างเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ก่อนเฮโลกันไปยังผู้ฝึกฌานเผ่าหมาน
จำนวนพวกเขามากกว่าหลายแสนคนเช่นกัน นี่คือสงครามที่ไม่ถือว่ายุติธรรม แม้คำว่ายุติธรรมจะลอยล่องดั่งชะตาที่สวรรค์ลิขิตในระหว่างการผงาดขึ้นของเผ่าพันธุ์ แต่ตอนนี้…ในสายตาซูหมิง หากเขาหวังให้มีความยุติธรรม ย่อมต้องมีความยุติธรรม
ชั่วพริบตาที่เห็นว่าชาวเผ่าหมานเหล่านี้เผยกลิ่นอายมารออกมาอีกและกำลังจะพุ่งออกไปนั้น ซูหมิงดึงมือฟางชางหลันเดินหน้าไปหนึ่งก้าว โบกมือซ้ายไป ทำให้ ชาวเผ่าหมานต่างโห่ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“ข้าจะให้พวกเจ้ารู้ว่าอะไรคือความยุติธรรมขณะเผ่าพันธุ์ผงาดขึ้น” ทันทีที่เสียงเขาดังขึ้น เขากดมือซ้ายไปทางแผ่นดินไกลๆ แล้วสะบัดเหมือนคว้าเอาไว้
ฉับพลันนั้นทั้งแผ่นดินหมานเกิดเสียงดังสนั่น ภายใต้เสียงดังครึกโครม แผ่นดินหมานสั่นไหวอย่างรุนแรง ชายขอบแผ่นดินเกิดทะเลเพลิงขึ้น นั่นคือ เปลวเพลิงที่เกิดจากการเสียดสีกับน้ำวนด้วยความเร็วสูงยิ่ง กลางวงล้อมทะเลเพลิงนี้ มองไกลๆ เหมือนว่าทั้งแผ่นดินหมานกลายเป็นลูกกลมยักษ์
ลูกกลมนี้เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับความเร็วสูงขึ้นหลายเท่าในพริบตา เพราะความเร็วของมันนี่เองเลยเกิดแรงกดดันของลมขึ้น ทำให้ชาวเผ่าหมาน ไม่ลอยขึ้น แต่ชิดกับพื้นดินไป ทุกคนต่างนั่งขัดสมาธิลงแล้วโคจรขั้นพลังเพื่อฟื้นฟู
ขณะเดียวกันพวกเขาล้วนเงยหน้าขึ้นมองแผ่นดินหมานที่กลายเป็นลูกกลม ชั่ววูบเดียวมันก็ม้วนชาวเผ่าหมานทั้งหมดพุ่งออกจากทางออกน้ำวนมรณะหยิน ด้วยความเร็วของมัน ดังนั้นตอนที่พุ่งออกไปจึงชนกับชาวเผ่านอกเผ่าหลายแสนคนทันที
พริบตาที่ต่างฝ่ายต่างปะทะกัน…เกิดเสียงครึกโครมดังขึ้น เกิดเสียงกรีดร้องและเสียงคำรามยากจะบรรยายขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุการณ์ที่อนาถาจนไม่อาจบรรยาย ผู้ฝึกฌานนอกเผ่าหลายแสนคนเหมือนกับไข่ชนหิน ชั่วพริบตาเดียวแสนคนตายตกไป อีกพริบตาแสนคนสูญสิ้น และอีกพริบตาแสนคนร่างระเบิด!
ลูกกลมเพลิงซึ่งยากจะต่อต้านชนเข้าไปอย่างรุนแรง มันพาเศษเนื้อนับไม่ถ้วนไปด้วย ทำลายล้างวิญญาณเหลือคณานับ เหมือนกับเพลิงที่เก็บเกี่ยวความตายของชีวิต ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างเหี้ยมโหด
ชั่วขณะเดียว แผ่นดินหมานพุ่งออกจากน้ำวนมรณะหยินไปมากกว่าครึ่ง ทำให้ชาวเผ่าหมานทั้งหมดเห็นฟ้ากระจ่างดาวของโลกแท้จริงเป็นครั้งแรก!
“นี่คือความยุติธรรมที่ชนเผ่าต้องการขณะผงาดขึ้น!” เสียงซูหมิงดังก้องเบาๆ เข้าถึงหูชาวเผ่าทุกคน ทำให้ทุกคนในยามนี้เปล่งเสียงตะโกนที่ดังที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
“เทพหมาน!”
“เทพหมาน!”
“เทพหมาน!”
กลิ่นอายพลังของโลกแท้จริงอบอวล แรงดูดจากน้ำวนมรณะหยินยากจะคงอยู่ต่อได้แล้ว ใครก็ขวางเผ่าหมานไม่ได้แล้ว เหมือนว่าจากนี้จะไม่มีใครขวางการผงาดขึ้นของเผ่าพันธุ์นี้ได้อีก
“เจ้าตามพวกเขาไปรอข้าที่ข้างนอก ข้ายังมีบางเรื่องที่ต้องกลับไปทำที่ น้ำวนมรณะหยิน…” ซูหมิงก้มหน้าลงยิ้มให้ฟางชางหลัน แต่เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ตัวเขาพลันสั่นสะท้าน เขาเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน จ้องมวลอากาศตาเขม็ง สีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนนี้เองปรากฏร่างเงาชายชราวิญญาณสวรรค์ข้างกายซูหมิง เขาปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ แต่คำพูดกลับเข้าไปในจิตใจซูหมิงประหนึ่งฟ้าผ่า
“ภัยพิบัติยกระดับวิญญาณของเจ้า…มาถึงแล้ว”