Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1296

ตอนที่ 1296 ข้าไม่เป็นพยาน!

ซางเซียงคือผีเสื้อที่หยุดอยู่กลางความว่างเปล่าชั่วนิรันดร์ บนปีกสี่ปีกของมันให้กำเนิดความรุ่งเรืองมากเท่าไร เรื่องนี้ยาวนาน เกรงว่าซางเซียงเองก็ยังไม่รู้

การวนเวียนไปทีละยุคสมัย การปรากฏสิ่งมีชีวิตแต่ละครั้ง และตายจากมหันตภัยแต่ละครั้ง เหมือนกับหิมะโปรยลงมาจากฟ้า บางทีทุกเกล็ดหิมะล้วนเป็นทุกสิ่งมีชีวิตในหนึ่งยุค พวกมันโปรยลงมาฝังบนแผ่นดิน แต่ก็มีอีกมากที่โปรยลงมาจากบนฟ้า เหมือนว่าหิมะนั้นไม่มีสิ้นสุด ทุกสิ่งมีชีวิตไม่มีจบสิ้น

ต่อให้เป็นมันโปรยลงมากับตาตัวเอง เจ้าก็ไม่มีวันรู้ว่าในหิมะนี้มีหิมะเท่าไร…

เหมือนกับที่ซางเซียงไม่รู้ว่าบนสี่ปีกของตนให้กำเนิดความรุ่งเรืองมากเท่าไร

ยุคนี้มีสี่สมัย ซูหมิงอยู่สมัยที่สี่ สัญลักษณ์ของสมัยนี้ บางทีในอนาคตอาจมีคน หันมามองอดีต เปิดประวัติศาสตร์โบราณ ก็จะเห็นร่องรอยเล็กน้อย สิ่งที่อยู่ในร่องรอยนั้นคือ ห้าโลกแท้จริงใหญ่ในสมัยที่สี่

การผงาดขึ้นของโลกแท้จริงที่ห้า การคงอยู่ร่วมกันของสี่โลกแท้จริง ร่างเงาซูหมิงและยังมีการกลับมาของฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของสมัยที่สี่

ก่อนสมัยที่สี่คือ สมัยที่สาม ซูหมิงหาสัญลักษณ์ของสมัยนั้นพบแล้ว นั่นคือ เก้าโลกแท้จริง ซุ่ยเฉินจื่อ และมีเอ้อชางกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิง

และสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่สองมีเพียงสามอย่างคือ สู่ เว่ย อู๋! นี่คือสมัยที่เต็มไปด้วยชนเผ่า สมัยที่มีแต่ไฟสงครามและการเข่นฆ่า บรรพชนวิญญาณรุ่งเรืองที่สุด ชายชราวิญญาณสวรรค์คือ จ้าวเผ่าของเผ่าวิญญาณสวรรค์ในสมัยนี้…สมัยนี้เริ่มขึ้นด้วยเคราะห์ภัย สิ้นสุดที่สู่ อู๋จากไป กลายเป็นฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับ เงามืดรุ่งอรุณ หลังเว่ยจบสิ้นแล้วหายไปนั้นจึงเกิดเป็นเก้าโลกแท้จริง

ชายชราวิญญาณสวรรค์คือคนสมัยที่สอง เขากำเนิดในช่วงปลายของสมัยแรก ตาย…ในช่วงปลายของสมัยที่สี่ พูดได้ว่าชีวิตนี้ของเขาแทบจะผ่านมาทุกอย่างในยุคนี้

ตอนเขากำเนิด นั่นคือสมัยที่หนึ่ง นั่นคือโลกที่อยู่ของเทพบรรพชน เทพบรรพชนถ่ายทอดให้ทุกสิ่งมีชีวิต เมื่อเทพบรรพชนเกิดการแบ่งฝ่ายจึงแยกเป็นสามส่วน การเริ่มต้นของสมัยนี้มาจากภัยพิบัติยุคก่อน และจุดจบของสมัยนี้ก็มาจากภัยพิบัติเช่นกัน

เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่ภัยพิบัติยุคที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นภัยพิบัติย่อยในวงเล็ก มันทำลายล้างเพียงคนจากยุคก่อนที่ไม่ได้หลอมรวมกับตัวเองอีกคนในมหาโลกซางเซียง แต่ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างหนีรอดจากภัยพิบัติ

เหมือนกับการโกงจึงถูกภัยพิบัติเล็กๆ ลบไป ดังนั้นสมัยแรกจึงสิ้นสุดลง ก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาได้เรียกวิหารเหล่าเทพ มรดกของวิหารนี้ก็เริ่มขึ้นจากยุคนี้

ก่อนสมัยแรก ในสมัยที่เหล่าเทพบรรพชนถูกทำลายก็มีวัตถุพิเศษบางอย่างเช่นกันที่คงอยู่มาชั่วนิรันดร์ พวกมันไม่ได้หลอมรวมกับตัวเอง แต่ไม่ถูกทำลาย เพราะบางทีพวกมันอาจได้รับการอนุญาตจากซางเซียง หรือไม่ก็…ดวงจิตสามรกร้างไม่ยอม

อย่างเช่น…ต้นไม้ใหญ่ที่เคยอยู่บนดาวดวงหนึ่งในยุคที่นานมาแล้ว ใต้ต้นไม้นั้นเคยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดถึงความคับอกคับใจตรงนั้น พูดถึงความรัก มิตรภาพและ ยังมีชีวิตของเขา

จนกระทั่งผ่านไปนานมาก ต้นไม้กับเด็กหนุ่มเติบโตขึ้นพร้อมกัน ภายใต้การช่วยเหลือของเด็กหนุ่ม ต้นไม้จึงเป็นสีเขียวตลอดปี จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กหนุ่มในอดีตเป็นชายวัยกลางคนพูดอยู่ใต้ต้นไม้เงียบๆ ประโยคหนึ่ง

“ข้าต้องไปแล้ว หากข้าล้มเหลว จากนี้จะต้องมีชนรุ่นหลังเดินตามเส้นทางข้าต่อแน่ หากข้าสำเร็จ…เจ้าจะไม่มีวันถูกดับสูญไปชั่วนิรันดร์ หากวันหนึ่งที่เจ้าให้กำเนิดดวงจิต เจ้าจะรู้ว่าข้าสำเร็จแล้ว”

เด็กหนุ่มคนนั้นมีนามว่า สามรกร้าง

ต้นไม้นั้น จากนั้นมาก็คงอยู่มาตลอดในภัยพิบัติทุกครั้ง ไม่ดับสูญ จนกระทั่ง ดวงจิตมันกำเนิด มองตะวันขึ้นตะวันลง มองดาราเปลี่ยนแปลง มองการแทนที่ผืนฟ้าแต่ละครั้ง มันเข้าใจว่าเด็กหนุ่มในตอนนั้นสำเร็จแล้ว เพียงแต่ว่าบางครั้งมันจะนึกย้อนถึงอดีต นึกถึงเด็กหนุ่มนั้นพูดพึมพำใต้ต้นไม้ พอนึกถึงก็มักจะเป็นหนึ่งยุค

เพราะมันรู้สึกว่าเด็กหนุ่มในอดีตเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปจนแปลกตา เปลี่ยนไปจนน่ากลัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือ คำสัญญาที่ไม่ให้มันดับสูญไปชั่วนิรันดร์

วันนี้มันที่กำลังหวนคะนึงคิดถึงอดีตพลันรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งกลางฟ้า กำลังมองตน สายตานั้นทำให้มันเหมือนเห็นเด็กหนุ่มในตอนนั้น แต่พอมองดีๆ เขาไม่ใช่

ทว่าสองคนนี้เหมือนกันมาก นี่ไม่ใช่ความเหมือนของจิตวิญญาณ และก็ไม่ได้หน้าตาเหมือน ซ้ำยังไม่เกี่ยวกับสายเลือด แต่นี่คือ…ความรู้สึก เป็นเพียงความรู้สึกอย่างหนึ่ง

เป็นความรู้สึกที่ว่าเพื่อต้องปกป้องคนหรือวัตถุบางสิ่ง ในใจจึงเกิดความเชื่อมั่นแรงกล้าในการทำเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์

ซูหมิงมองต้นไม้นั้นบนดาวแท้จริงนี้ เขาเห็นการผ่านโลกมาเนิ่นนานจากตัวมัน กระทั่งรู้สึกถึงอายุมากมายจากต้นไม้นี้ ความรู้สึกหนักของเวลาทำให้เขารู้ทันทีว่าต้นไม้นี้…ไม่ได้กำเนิดในยุคนี้

เขาก้าวเดินเข้าไปในดาวดวงนี้ มาปรากฏตัวอยู่บนมหาสมุทรกว้างใหญ่ ยืนอยู่กลางคลื่นทะเล ยืนอยู่ใต้ต้นไม้มหึมา เหมือนกับช่วงเวลาในอดีตที่นานมาแล้ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กำลังพูดถึงความคับอกคับใจที่ไม่อาจพูดกับคนอื่นได้

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เขาได้ยินรางๆ มาจากบนแมกไม้ของต้นไม้โบราณ ทุกใบบนนั้นที่เป็นดั่งลานกว้างตอนนี้มีเสียงหัวเราะดังแว่วมา เสียงโห่ร้องด้วย ความยินดีเหล่านั้นดูปลอมมาก เสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยการประจบ ผู้ฝึกฌานทุกคนที่นี่สวมหน้ากากไร้รูป หน้ากากนี้จะเปลี่ยนไปอย่างเป็นธรรมชาติตามทุกการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก

บางคนหน้ากากดีมาก ตอนเปลี่ยนแปลงคนนอกจะมองไม่เห็น แต่บางคนก็ยังติดขัด ขณะหน้ากากเปลี่ยนรู้สึกว่าไม่เข้ากันเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่คือ พิธีแต่งงานที่เต็มไปด้วยการลวงหลอกในมุมมองซูหมิง

เจ้าสาวมีสีหน้าเฉยชา ทั่วร่างเต็มไปด้วยผนึก เจ้าบ่าวมีสีหน้าเย็นชา ในความซับซ้อนเหมือนยังมีความขมขื่น หมิงหวงที่เป็นบิดาขององค์ชายก็ยังเข้าร่วมงานไม่ได้ ทำได้เพียงมองอยู่ไกลๆ อย่างเงียบๆ เสียงถอนหายใจที่ไม่ดังออกมากลายเป็นการปลงอนิจจังภายในใจ

ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีเกียรติของผู้แข็งแกร่ง ได้แต่ยอมก้มหัวเป็นพยาน อย่างไม่ถูกต้อง บิดาไม่ใช่บิดา บุตรไม่ใช่บุตร และยังมีจักรพรรดิรุ่งอรุณที่ยิ้มเยาะ มองผู้ฝึกฌานทุกคน ทุกอย่างนี้…ในมุมมองซูหมิง มันคือเรื่องน่าหัวเราะที่สุด

มีเพียงท่านปู่โม่ซังที่เป็นสีสันเพียงหนึ่งเดียวในความไม่ถูกต้องนี้ ทำให้ใจซูหมิง อ่อนยวบลง

ซูหมิงยกมือขวาขึ้นกดบนต้นไม้โบราณ ทันทีที่สัมผัสเบาๆ มีเสียงแก่ชราดังขึ้นในความคิด เสียงนั้นยืดยาว ดังกังวานกลายเป็นเสียงก้องไปรอบๆ

“เจ้า…มีนาม…ว่าอะไร”

“ซูหมิง” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบกลับเบาๆ

“ซูหมิง…เจ้าให้ความรู้สึกที่…เหมือนกับเขา…” ต้นไม้โบราณถอนหายใจ เสียงพึมพำดังกังวานในความคิดซูหมิง

“เขามีนามว่า…สามรกร้าง…เขาบอกข้าว่าวันที่ดวงจิตข้ากำเนิดข้าจะเข้าใจว่า เขาสำเร็จแล้ว…”

ซูหมิงเงียบ เขามองต้นไม้โบราณ ความจริงก่อนหน้านี้เขาก็คาดเดาได้เล็กน้อยแล้วว่าต้นไม้นี้คงอยู่นิรันดร์ได้ในมหาโลกสามรกร้างจะต้องมีเหตุผลแน่ๆ เหตุผลนี้ไม่ใช่ว่าต้นไม้หลอมรวมกับตัวเองอีกต้น เพราะหากเป็นแบบนั้นตอนนี้มันคงหลับใหล ต่อให้มีวิธีการพิเศษบางอย่างที่ตื่นได้ชั่วคราว แต่ก็ยากจะคงอยู่นิรันดร์

เหมือนกับ…สิ่งที่ซูหมิงเคยยากจะเข้าใจในอดีตว่าเหตุใดตี้เทียนถึงต้องซ่อนอยู่ในน้ำวนมรณะหยิน เป็นที่รู้ว่าโลกนี้มีคนบางพวกที่หลอมกับตัวเองแล้วจะไม่ดับสูญ ไปในภัยพิบัติได้ ทว่ายุคนี้มีเพียงหน้ากับหลังที่จะตื่นขึ้นรวมสองร้อยปีเท่านั้น ซูหมิงจึงได้คำตอบ

เห็นได้ชัดว่าตี้เทียนไม่ใช่ตี้เทียน และก็ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม บางทีอาจจะมีผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งคนจริงๆ ที่หลังสู้กับซูเซวียนอีแล้วก็กลายเป็น เสี้ยววิญญาณ หรือบางทีเสี้ยววิญญาณนี้อาจจะสอดคล้องกับเงื่อนไขบางอย่าง ดังนั้น…จึงกลายเป็นตี้เทียนที่ไม่ใช่ตี้เทียน เป็นร่างแยกที่เขารวมออกมา

‘น้ำวนมรณะหยินเป็นที่หลับใหลชั้นดี’ ตอนที่ซูหมิงออกจากน้ำวนมรณะหยินไปยังยอดเขาลำดับเก้า เขาเคยหันไปสังเกตน้ำวนมรณะหยินอย่างละเอียดแล้วเอ่ยไว้ประโยคหนึ่ง

“หากว่า…เจ้ามีโอกาสพบเขา จำไว้จงบอกเขาว่า…มาเยี่ยมข้าบ้าง ข้า…ไม่ได้พบเขามานานมากแล้ว” เสียงผ่านโลกมานานของต้นไม้โบราณดังขึ้นในใจซูหมิง แฝงไว้ด้วยเสียงถอนหายใจ ก่อนค่อยๆ หายไป

“เขาได้ยิน บางที…อีกไม่นานเขาคงจะปรากฏตัว” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับเสียงเบา ตบต้นไม้โบราณ เงยหน้าขึ้นเดินไปหนึ่งก้าว มุ่งไปยังพิธีแต่งงานบนแมกไม้

ไม่มีใครเห็นการมาของเขา ซูเซวียนอีก็ดี จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยก็ดี หาก ซูหมิงไม่อยาก พวกเขาจะไม่สังเกตเห็นเขาแม้แต่น้อย

มีเพียง…องค์ชายสาม

ขณะที่ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนี้กำลังอมยิ้มพูดอวยพรถึงพิธีแต่งงานเสียงดังก้องฟ้า องค์ชายสามเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป ตรงนั้น…ซูหมิงยืนอยู่

เขามีสีหน้าซับซ้อนและต่อสู้ดิ้นรน ตอนที่เพ่งมองไป ซูหมิงก็เพ่งมองเขาเช่นกัน

“เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตสำคัญขนาดนั้นเชียวรึ?” ซูหมิงมององค์ชายสาม สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่คนจากตระกูลมั่งคั่งในอดีต แต่เป็นร่างเงาคุ้นเคย ซูหมิงไมได้ แปลกใจกับร่างเงานั้น เขารู้ทุกอย่างจากในมหาโลกซางเซียงแล้ว

นั่นคือสหายที่เติบโตมาแต่เยาว์วัย นั่นคือสหายสนิทตอนเด็กหนุ่ม นั่นคือสหายที่ตบหน้าอก พูดเสียงดังกับซูหมิงว่าเขาจะปกป้องตนไปตลอดชีวิต!

เสียงซูหมิงดังก้อง ไม่เข้าไปถึงหูคนอื่น แต่มีเพียงองค์ชายสามที่ได้ยิน เขาเงียบ ซับซ้อน เขา…ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

“เจ้าไม่เข้าใจ…” ผ่านไปพักใหญ่ เหลยเฉินส่ายศีรษะแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง

“ข้าขอประกาศ พิธีแต่งงานครั้งใหญ่ที่สุดในโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกจะมี ทุกตระกูลทั้งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกเป็นพยาน มีดวงจิตโลกแท้จริงเป็น ประจักษ์พยาน…”

ผู้ยิ่งใหญ่โลกนี้ที่มองไม่เห็นซูหมิงยังคงยิ้มพลางพูดอวยพร ผู้ฝึกฌานล้านคนที่มองไม่เห็นซูหมิงยังคงหัวเราะส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ซูเซวียนอีที่มองไม่เห็น ซูหมิงยังคงมองชายหญิงตรงหน้าด้วยความเมตตา นั่นคือบุตรชายของเขา นั่นคือคู่ชีวิตที่เขาเลือกให้บุตรชาย นั่นคือ…ความสมบูรณ์แบบที่จะเกิดขึ้นหลังจากเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตได้รับการบำรุงจนสมบูรณ์!

และยังมีจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยที่มองไม่เห็นซูหมิง ขณะยิ้มมุมปาก เหยียดหยามในใจ เขายกมือขวาขึ้นจะกดลงบนหัวโม่ซังหมายจะสังหารท่านปู่ ให้พิธีแต่งงานนี้เกิดสีแดงเหมือนกับว่าเห็นสีแดงแล้วจะมีความสุข

แต่ทันใดนั้นเอง…

“ข้า ไม่เป็นพยาน” คำพูดซูหมิงดังก้องหูทุกสิ่งมีชีวิตในฟ้าดินแห่งนี้ คำพูดเรียบๆ แต่ชั่วพริบตาที่ดังขึ้น ทำให้ในใจทุกคนเกิดเสียงดังราวฟ้าผ่าประหนึ่งเสียงของเจตนารมณ์สวรรค์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!