Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1388

ตอนที่ 1388 ร่างเงาในความมืด

จันทร์โลหิตลอยอยู่กลางอากาศในโลกใต้เหวลึกนี้ ดวงจันทร์รอบตัวซูหมิงใหญ่เกือบห้าสิบจั้งแล้ว มองไปดูมหึมา กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นอบอวลไปรอบๆ

เมื่อซูหมิงเดินผ่านจะมีสายตามองมาที่เขาด้วยความยำเกรง ศิษย์ที่ซ่อนตัวเหล่านั้นหรือผู้ฝึกฌานที่ตื่นกลัวเหนือความละโมบจดจำร่างเงาซูหมิงเอาไว้อย่างแม่นยำในหลายชั่วยามสั้นๆ นี้

ก่อนหน้านี้หวังเทาไร้ชื่อเสียง!

จากนี้ไปนามของหวังเทาจะโด่งดังในศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้ ถึงอย่างไรในผู้ฝึกฌานที่มีชีวิตอยู่ก็มีคนที่รู้จักนามของร่างนี้ที่ซูหมิงยึดร่างมา ตอนนี้เมื่อจันทร์โลหิตซูหมิงผ่านไป นามของเขา…ก็ผงาดขึ้นแล้ว

ป้ายวิญญาณในมือกระทบกันเกิดเสียงไพเราะก้องไปในโลกเงียบสงบแห่งนี้พร้อมกับความประหลาดแห่งการสังหาร ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกสำนักเจ็ดจันทราที่ได้ยินเสียงต่างพากันใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าคิดหยาบคายแม้แต่น้อย

จนกระทั่งซูหมิงไปหยุดอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง นั่งลงบนยอดเขา มองไกลออกไป มองไม่เห็นร่างเงาเขา แต่จะเห็นเพียงจันทร์โลหิตดวงหนึ่งอยู่บนยอดเขา ดูเด่นตายิ่ง

ภูเขานี้ แผ่นดินนี้กลายเป็นแดนต้องห้ามอย่างไร้รูป ศิษย์สำนักเจ็ดจันทรา ข้างนอกที่ต่างเข่นฆ่ากันเองก็ดี แย่งชิงกันก็ดี แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาที่นี่เลย

ส่วนซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก เขาเก็บป้ายวิญญาณมามากพอแล้ว และก็ไม่ได้อยากได้ป้ายวิญญาณอีก ตอนนี้นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ด้วย สีหน้าเรียบนิ่ง รอการทดสอบที่เป็นเรื่องเล่นๆ สำหรับเขาจบลง

เวลาเหลือไม่มากแล้ว

ผู้อาวุโสสิบกว่าคนบนลานต่างเห็นภาพซูหมิงนั่งอยู่บนยอดเขา พวกเขามองร่างเงาซูหมิงในภาพ มองจันทร์โลหิต มองป้ายวิญญาณร้อยกว่าอันในมือเขา คำพูดเกี่ยวกับรูปแบบชะตาที่ผู้อาวุโสหลันกล่าวไว่ก่อนหน้านี้ค่อยๆ ลอยมาในความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แม้ผู้อาวุโสเหล่านี้จะคิดว่าพลังตนก้าวสู่จุดสูงสุดแล้ว ทว่าในก้นบึ้งหัวใจทุกคนกลับค่อยๆ เกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกขึ้นเอง มันเหมือนกับความ หนาวเยือก

ชายชุดคลุมแดงมีสีหน้าประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง เขามองซูหมิงในภาพ เขาเองก็กำลังใคร่ครวญถึงคำพูดของผู้อาวุโสหลัน ผ่านไปพักใหญ่ก็ยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ

‘เด็กคนนี้เป็นปฏิปักษ์กับข้า…เมื่อได้พบข้าจะตาย…น่าสนใจ แซ่เต้าอยากรู้จริงๆ ว่าข้าจะตายด้วยเหตุใด!’ ชายชุดคลุมแดงดวงตาขยับประกายวาว ก่อนค่อยๆ หลับตาลง

ผู้อาวุโสหลันผู้หน้าตางดงามยิ่งตรงข้ามเขามองร่างเงาซูหมิงในภาพ ในส่วนลึกของดวงตาฉายแววสับสน ก่อนก้มหน้าลงช้าๆ

‘ชะตาของเขา…เหตุใดถึงพัวพันกับข้าเช่นนี้ แต่มองจากร่องรอยการพัวพันแล้ว มิใช่พัวพันข้า แต่เป็น…ในรูปแบบชะตา เพราะเหตุใดกันแน่…’

ขณะเดียวกับที่คนบนลานพากันเงียบ ณ แดนทดสอบใต้เหวลึก นอกภูเขาของ ซูหมิงที่เป็นแดนต้องห้ามไร้รูป ตอนนี้มีร่างเงาหนึ่งเข้ามาใกล้ทีละน้อยจากไกลๆ

นั่นเป็นร่างเงาสูงยาว หน้าตาหล่อเหลา สวมชุดคลุมขาว เส้นผมยาวสีดำแกว่งไกว ทำให้ทั้งตัวเขาแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ที่ต่างออกไป เพียงแต่ในเสน่ห์นี้มีความสงบนิ่งมากกว่า ความสงบนิ่งต่างกับซูหมิง ความสงบของซูหมิงคือจิตใจสงบกับใบหน้าเรียบนิ่ง แต่คนนี้…เขามีจิตใจสูงยิ่งเลยใบหน้าต้องเรียบนิ่ง

ความนิ่งแบบนี้เป็นตัวแทนว่าอยู่สูงส่ง เป็นตัวแทนความโอหัง เพียงแต่ว่า ความโอหังอยู่ตรงก้นบึ้งหัวใจ ไม่เผยออกมาภายนอก ในมือเขาก็ถือป้ายวิญญาณจำนวนมากเช่นกัน ดูจากจำนวนแล้วมีทั้งหมดหนึ่งร้อยอัน

เขาหยุดอยู่นอกแดนต้องห้ามไร้รูปของซูหมิง เงยหน้าขึ้นมองร่างเงานั่งฌานกลางจันทร์โลหิตบนยอดเขาไม่ไกลเงียบๆ เขาไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่ก็ไม่ได้ถอย เพียงแค่มองอย่างลังเลเช่นนี้

เวลาผ่านไปช้าๆ จนเหลือหนึ่งก้านธูปสุดท้ายก็จะจบการทดสอบ นอกแดนต้องห้ามไร้รูปของซูหมิงมีเพียงเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวคนนั้นที่ยังมองซูหมิง

ในแววตาเขาเหมือนรวมความมุ่งมั่นใจการต่อสู้เอาไว้ ความมุ่งมั่นในการต่อสู้นี้ดุจดั่งเพลิงกำลังเผาดวงตาเขา

“เยี่ยหลง!” ผ่านไปพักใหญ่เขาพลันกล่าวขึ้น น้ำเสียงดังก้องเข้าไปในแดนต้องห้ามไร้รูปของซูหมิง และก็เข้าไปถึงหูซูหมิง

“ข้ามีนามว่าเยี่ยหลง!” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวกล่าวอีกครั้ง

ซูหมิงลืมตาขึ้นมองใบหน้าเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว ตอนที่มองไป นัยน์ตาเขาเหมือนมีความลังเล ราวกับว่าไม่ได้มองเยี่ยหลงตรงหน้า แต่เป็นเยี่ยวั่งโอรสสวรรค์คนนั้น บนเขาร่องลมแห่งเผ่าร่องลมนอกภูเขาทมิฬในอดีต

สีหน้าเหมือนกัน ความยึดมั่นเหมือนกัน น้ำเสียงรวมถึงจิตใจสูงส่งที่ซ่อนเอาไว้ก็เหมือนกัน

ซูหมิงไม่ตอบ แต่หลับตาต่อ

ส่วนเยี่ยหลง แม้ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ในแววตาจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่เดินก้าวนั้น จนกระทั่งช่วงที่เวลาการทดสอบครั้งนี้จบลง เขายกเท้าขึ้น แต่กลับ ถอยไปหนึ่งก้าว ระหว่างที่หมุนตัวกลับ ทั้งโลกพลันมืดครึ้ม เสียงคำรามแหลมดังขึ้น

กลางหมอกบนฟ้าปรากฏสัตว์ร้ายหน้าตาดุร้ายกลุ่มหนึ่ง หรืออาจพูดได้ว่า พวกมันไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นวิญญาณ เพราะร่างกายพวกมันเป็นมายาที่รวมขึ้น จากหมอก ยามนี้เมื่อปรากฏกายแล้วก็พุ่งลงมายังแผ่นดินทันที

มีส่วนหนึ่งพุ่งไปหาซูหมิง ทว่าทันทีที่เข้าใกล้ ป้ายวิญญาณในมือเขาพลันเปล่งแสงสีสันพร่างพราวสว่างไปหมื่นจั้ง ทำให้วิญญาณร้ายที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้นมี สีหน้าตื่นกลัว ขณะกำลังจะถอยไป พวกมันกลับเหมือนถูกดูดเอาไว้ปานผนึกทำให้ควบคุมร่างกายไม่ได้ ถูกกระชากเข้าไปในป้ายวิญญาณ

หนึ่งป้ายวิญญาณผนึกวิญญาณร้ายหนึ่งดวง ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เพียงไม่กี่ลมหายใจ ป้ายวิญญาณร้อยกว่าอันของเขาก็มีวิญญาณครบทุกดวง

ตอนนี้แม้ป้ายวิญญาณที่มีวิญญาณจะหน้าตาดังเดิม แต่กลับมีแสงไหลเวียน เหมือนจะไม่ธรรมดานับจากนี้

ไม่เพียงแต่ซูหมิงเท่านั้น เยี่ยหลงก็เช่นกัน และยังมีคนที่มีป้ายวิญญาณทั้งหมดในโลกการทดสอบก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนผนึกวิญญาณร้ายเอาไว้ภายใน อีกทั้งหาก ผนึกวิญญาณร้ายได้ พวกเขาจะไม่ถูกโจมตีที่นี่เลย

ส่วนศิษย์สำนักเจ็ดจันทราที่ไม่มีป้ายวิญญาณ ตอนนี้ร้องโหยหวน ร่างกายเกิดเสียง ถูกฉีก เศษซากลอยขึ้นลงกลางโลกทดสอบ…

วิญญาณแห่งการทำลายล้างพวกนี้อยู่ในแดนทดสอบครึ่งชั่วยามแล้วก็หายไป จากนั้นบนฟ้าปรากฏน้ำวนยักษ์ขึ้น ช่วงที่น้ำวนหมุนโคจร มีเสียงแก่ชราดังแว่วมาจากในน้ำวน

“การทดสอบเลื่อนชั้นของฝ่ายนอกสำนักเจ็ดจันทราสิ้นสุดลงแล้ว ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้า…จากนี้จะได้เป็นศิษย์สำนักฝ่ายใน!” ขณะเดียวกับที่เสียงนี้ดังกังวาน มีแรงดูดลงมาเยือน ร่างเงาแต่ละคนบนแผ่นดินกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังน้ำวน

ร่างเงาเหล่านี้มีบุรุษและสตรี บ้างมีสีหน้าตื่นเต้น บ้างมีสีหน้าเคารพยำเกรง แต่ละคนมีสีหน้าต่างกันตามการกระทำในแดนทดสอบ คนที่มีสีหน้าตื่นเต้นเหล่านั้นคือ คนที่เลี่ยงภัยของที่นี่ไปได้ ส่วนคนที่มีสีหน้าเคารพยำเกรงก็เป็นศิษย์ที่เกือบตายเอาชีวิตรอดมาได้ และยังมีไม่น้อยที่มีสีหน้าซับซ้อน ตอนที่มองกันและกันจะเห็นถึงจิตสังหารและการต่อสู้ในแววตา สิ่งเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดความแค้นกันเพราะการสังหารและช่วงชิงในการทดสอบ

ขณะที่คนกลุ่มนี้พุ่งขึ้นน้ำวนบนฟ้า มีสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไปราวกับมังกรขาว จุดที่ผ่าน ไม่ว่าศิษย์คนใดล้วนหน้าเปลี่ยนสีและรีบหลบ ยามที่มองร่างเงาในแสงขาวนั้น นัยน์ตาพวกเขาแฝงไว้ด้วยความเคารพ

นั่นคือ เยี่ยหลง

เยี่ยหลงมีสีหน้าเรียบนิ่ง จุดที่ผ่านไม่มีใครขวาง เขาพุ่งขึ้นไปยังน้ำวนบนฟ้า ตอนนี้เองซูหมิงยืนขึ้นจากยอดเขา ระหว่างเดินหน้าจันทร์โลหิตไม่หายไป ทำให้ ร่างเงาเขาเป็นดั่งจันทร์โลหิตที่กลายเป็นสายรุ้งยาว ส่งผลให้ทั้งโลกนี้สั่นสะเทือนในขณะที่เขาเดินไปยังทางออกน้ำวน

แทบเป็นช่วงที่จันทร์โลหิตของซูหมิงปรากฏอยู่ในสายตาศิษย์ที่พุ่งออกไปยังน้ำวนพร้อมกัน พลันเกิดเสียงร้องด้วยความตกใจขึ้น ครั้งนี้ต่างจากตอนที่หลีกทางให้เยี่ยหลง พริบตาที่ซูหมิงเข้ามาใกล้ ศิษย์เหล่านั้นบริวเณรอบๆ มีสีหน้าหวาดกลัว ดูตื่นตกใจ ชั่ววูบเดียวก็กระจายออกไปรอบๆ สายตาที่มองซูหมิงมีความหวาดกลัวเด่นชัด

มีซูหมิงอยู่ พวกเขาไม่กล้าบินต่อ แต่ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่าใครประสานมือคารวะเป็นคนแรก ต่อมาทุกคนก็ประสานมือคารวะซูหมิงพร้อมกัน

“คารวะศิษย์พี่ใหญ่หวังเทา” เสียงตอนเริ่มก็ยังดูวุ่นวายเล็กน้อย แต่ไม่นานก็รวมเป็นเสียงเดียวที่ดังก้อง

คนที่เป็นหมายเลขหนึ่งของศิษย์ฝ่ายนอกย่อมมีสิทธิ์ใช้นามศิษย์พี่ใหญ่ นั่นคือนามเรียกต่อซูหมิงเพียงคนเดียวในใจพวกเขา

เสียงดังกึกก้องไปรอบๆ และก็เข้าถึงหูผู้อาวุโสสิบกว่าคนบนลาน พวกเขามองภาพนี้เงียบๆ มีเพียงในใจที่รู้สึกเสียดายแทนเยี่ยหลงที่อยู่ในมุมของภาพนี้

หากไม่มีซูหมิง ทุกอย่างจะเป็นของเยี่ยหลง!

เยี่ยหลงเงียบ เขามองซูหมิงอยู่พักใหญ่ก็ก้มหน้าลงประสานมือคารวะ

ซูหมิงหยุดชะงัก จันทร์โลหิตนอกตัวเขาค่อยๆ หายไป ถูกสะบัดแขนเสื้อใส่กลายเป็นฝนโลหิตตกลงพื้น ตอนนี้เองเขาเดินหน้าหนึ่งก้าว…เข้าไปในน้ำวนเป็นคนแรก

ข้างหลังเขาคือเยี่ยหลง จากนั้นถึงเป็นคนอื่นๆ จนกระทั่งทุกคนเข้าไปในน้ำวนแล้ว โลกทดสอบที่นี่ก็เข้าสู่ความมืดมิดประหนึ่งถูกผนึก

มีเพียงวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนที่กำลังคำรามในคืนมืด เสียงแหลม แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง แต่กลับหนีออกมาจากผนึกไม่ได้ ทำได้เพียงรอภัยพิบัติเจ็ดจันทรา รอบต่อไปมาถึง บางทีอาจได้กินเลือดเนื้อ ไม่นาน เมื่อเสียงคำรามแหลมค่อยๆ หายไป ทันใดนั้น…ส่วนลึกแผ่นดินมืดมิด ใต้ศิลาหินที่ซูหมิงเคยมองอยู่ปรากฏ ร่างเงาหนึ่ง นั่นคือคนสวมชุดคลุมดำ เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มองรอยตัวอักษรบนศิลาหิน ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา

ในเสียงถอนหายใจนั้นมีความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนาน มีการหวนคะนึงคิดที่ คนอื่นฟังไม่ออก แต่หากเป็นซูหมิงจะต้องเข้าใจแน่นอน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!