Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 120

Cover Renegade Immortal 1

120. การกลับมาของหวังหลิน

ซิวฮ่าว(許浩 xǔ hào) เป็นศิษย์รุ่นที่หกของสำนักศิลป์วิญญาณในแคว้นจู่ลู่(巨鹿 jù lù) ซึ่งเป็นแคว้นอันดับสาม เขานั่งบนยอดหินยักษ์ก้อนหนึ่งเขากำลังจัดเรียงกำไรที่ผ่านมาหลายปีนี้ขณะนั้นหยกสื่อสารจู่ๆก็สั่นไหวขึ้น

ซิ่วฮ่าวขมวดคิ้วขณะที่เขาวางหยกบนหน้าผากน้ำเสียงร้อนรนดังออกมาเข้าในใจ “รีบมาที่ 48 องศาเหนือด่วนมีเสี้ยวสัมผัสวิญญาณไม่มีเจ้าของปรากฎออกมา”

คนที่ส่งข้อความมาเป็นเพื่อสนิทที่เขาเจอที่สนามรบต่างแดนนามว่าเก้อหยางทั้งสองอยู่ขั้นสร้างลำต้นระดับปลายเช่นเดียวกันทั้งสองมักจะรวมกลุ่มเพื่อสังหารคนเอาสมบัติเซียนมาดังนั้นความสัมพันธ์จึงสนิทมาก

เมื่อซิ่วฮ่าวได้ยินเช่นนั้นใบหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีเขาตื่นเต้นอย่างมาก สัมผัสวิญญาณเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในสนามรบต่างแดนกระทั่งมากกว่าสมบัติเซียนเสียอีก

มีเพียงเหล่าเซียนผู้แข็งแกร่งที่มีวิญญาณเซียนเท่านั้นถึงจะสละร่างกายเนื้อได้แต่เมื่อเขาตายไปจะมีโอกาสเล็กน้อยที่จะทิ้งสัมผัสวิญญาณขนาดเล็กไว้เบื้องหลัง

ซิ่วฮ่าวไม่เข้าใจการใช้สัมผัสวิญญาณโดยเฉพาะแต่เขารู้ได้ว่าเมื่อเข้ามาในสนามรบต่างแดนผู้ส่งสาส์นได้จดรายการสิ่งที่แคว้นอันดับสูงต้องการและสัมผัสวิญญาณอยู่วางไว้ติดหนึ่งในสิบของล้ำค่า

ส่งของในรายการนั้นเมื่อพวกเขานำกลับมาจะได้รับรางวัลตอบแทน พอคิดได้เช่นนี้ซิ่วฮ่าวรีบเหาะไปทิศเหนืออย่างรวดเร็ว

หลังจากเขามาถึงกลับพบว่ามีคนจำนวนมากรวมตัวกันที่นี่มีม่านขนาดใหญ่รอบจุดสีน้ำเงินในระยะไกลๆจุดสีน้ำเงินนี้เพียงลอยในอากาศอย่างแน่นิ่ง

สายตาซิ่วฮ่าวเผยความโลภออกมาขณะที่เขาสัมผัสกระเป๋าหยิบส้อมสีดำออกมาและพุ่งมันออกไป

ส่วนหวังหลิน เขารอคอยรอยแยกอวกาศให้ปรากฎอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นรอยแยกอวกาศจำนวนแปดแห่งปรากฎในระยะสัมผัสวิญญาณเขา

เสี้ยวสัมผัสวิญญาณของหวังหลินรีบเข้าไปในรอยแยกนั้นทันทีและถูกตัดขาดออกไป เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไปทั้งแปดส่วน

กระบวนการนี้ทำไปอย่างต่อเนื่องขณะที่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินกลายเป็นเล็กลงและเล็กลงเรื่อยๆเมื่อเขาส่งเสี้ยวสัมผัสวิญญาณออกไปนับไม่ถ้วน

ในสามปีนี้ สนามรบต่างแดนได้เข้าสู่สภาวะอาละวาดตั้งแต่วันนั้นที่ซิ่วฮ่าวและเก้อหยางได้เสี้ยวสัมผัสวิญญาณนั้นก็มีสัมผัสวิญญาณปรากฎออกมาทุกวันนั่นทำให้ทุกคนในสนามรบต่างแดนเริ่มบ้าคลั่ง

จินตนาการไม่ได้ว่ามีสัมผัสวิญญาณปรากฎในสนามรบต่างแดนมากเท่าไหร่หากแคว้นอันดับสูงพบเหตุการณ์ประหลาดนี้ คงมุ่งความสนใจมาที่นี่ทันทีแต่ในสามปีนี้พวกเขาไม่ได้ส่งคนมาตรวจสอบสนามรบต่างแดนเลย

สนามรบต่างแดนเข้าสู่ภาวะไม่เสถียร ด้วยเหตุผลอะไรไม่แน่ชัด คนในเข้ามาไม่ได้และคนนอกก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน

สาเหตุของปัญหาก็คือรอยแยกอวกาศหลายแห่งในหลายสิบปีที่ผ่านมาได้มีรอยแยกอวกาศอยู่มากมายมีทางเข้าไม่กี่ทางที่เต็มไปด้วยรอยแยกอวกาศนับไม่ถ้วน

ผู้เชี่ยวชาญของแคว้นเซียนอันดับสี่และอันดับห้าได้เข้ามาและสรุปได้ว่าสนามรบต่างแดนกำลังล่มสลายหากวิญญาณเซียนตนหนึ่งเข้ามาที่นี่ตอนนี้ มันอาจจะเกิดการล่มสายได้

ในส่วนการสอบถามแคว้นเซียนอันดับหกเพื่อซ่อมแซมมันราคาที่เสนอไปกลับถูกมากเกินไปแม้จะรู้เรื่องสัมผัสวิญญาณจำนวนมากที่ปรากฎภายในสนามรบต่างแดนพวกเขายังคงไม่ทำมันและนั่นก็คำนึงถึงความจริงที่ว่าราคาจะแตกต่างกันในแคว้นเซียนอันดับห้า

และที่สำคัญที่สุด คือมีสนามรบต่างแดนมากกว่าหนึ่งแห่งดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะซ่อมแซมที่นี่กฎทั่วเมื่อสนามรบต่างแดนแห่งหนึ่งไม่สามารถบำรุงรักษาได้อีกต่ไปมันก็จะถูกทอดทิ้ง

แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดต้องคิดไม่ตกก็คือสนามรบต่างแดนนี้ควรจะยังอยู่ได้อีกนับพันปีก่อนที่มันจะล่มสลายแล้วเกิดอะไรขึ้นในสิบปีที่ผ่านมาที่ทำให้มันล่มสลายเร็วกว่าเดิมกัน?

พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้เป็นเพราะหวังหลินหากมันไม่ใช่เขาที่กระแทกรอยแยกอวกาศทั้งหมดนั้นมันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

เวลาในช่องว่างอวกาศแตกต่างจากเวลาในสนามรบต่างแดน ร้อยปีในช่องว่างอวกาศแต่ในสนามรบต่างแดนพึ่งจะผ่านไปเพียงปีเดียว

พูดให้ถูกมากขึ้นก็คือเวลาที่หวังหลินกระแทกรอยแยกอวกาศทั้งสิ้นเจ็ดปีภายนอกนั้น แต่ภายในช่องว่างอวกาศกลับเป็นเจ็ดร้อยปี

เจ็ดร้อยปีที่หวังหลินทำอย่างนั้นอย่างต่อเนื่องนั่นจึงทำให้สนามรบต่างแดนล่มสลายอย่างรวดเร็วขณะนี้ไม่มีเซียนจากแคว้นอันดับสี่หรือห้าที่กล้าเข้ามาในสนามรบต่างแดนอีกแล้ว

พวกเขาเพียงส่งข้อความให้เซียนที่อยู่ข้างในข้อความพวกนั้นบอกให้ยกเลิกการกวาดล้างให้ทำงานร่วมกันเพื่อรวบรวมเสี้ยวสัมผัสวิญญาณไว้ทั้งหมดและออกมาผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย

หวังหลินได้เสียเวลาให้วิญญาณตัวเองเล็กลงและเล็กลงเรื่อยๆ ตอนนี้เขาไม่ได้สละเสี้ยววิญญาณของตัวเองออก แต่กลับรอรอยแยกขนาดใหญ่

วันนี้ภายในสัมผัสวิญญาณของหวังหลิน รอยแยกอวกาศขนาดใหญ่หลายเท่ามากกว่าปกติได้ปรากฎขึ้น หวังหลินเข้าไปภายในโดยไม่ลังเล

หม่าเหลียงได้เพ่งสายตามองไปบนสมบัติเซียนชิ้นหนึ่งสมบัติเซียนชิ้นนี้ช่างคล้ายคลึงกับแสงสีดำที่เขาเคยเห็นคราก่อนทั้งยังเหาะเหินได้ด้วยตัวเองเขาไล่ล่าสมบัติชิ้นนี้เป็นเวลาสามวันสามคืนและในที่สุดก็เหน็ดเหนื่อย

เขาหัวเราะเบาๆกับกระบี่ม่วงด้านหน้าเขาและลอบคิดว่าหากกระสวยของเขาไม่ถูกขโมยไป เขาคงจับมันได้ง่ายๆและไม่ต้องเหนื่อยเช่นนี้

พอคิดเรื่องกระสวย ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดเรื่องลำแสงสีดำในสิบกว่าปีนี้เขาอดจินตนาการถึงสมบัตินั้นไม่ได้ตั้งแต่ที่สมบัติถูกไล่ล่าโดยเผ่าพันธุ์มารยักษ์​มันต้องเป็นสมบัติสวรรค์อยู่บ้างแน่ๆ

ทุกครั้งที่เขาคิดเรื่องนี้ก็ต้องถอนหายใจ

หม่าเหลียงพึมพำกับตัวเอง “อุโมงค์เคลื่อนย้ายจากที่นี้จะไม่เปิดเร็วหรือช้ากว่าปกติแต่เมื่อครบรอบห้าสิบปี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้กลับบ้านหลายปีที่ผ่านมามันอันตรายเกินไปทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะสัมผัสวิญญาณที่เกิดขึ้นพวกนั้นหลังจากที่ข้าได้กระบี่เหินนั่น ข้าจะกลับไปที่จุดรวมตัว ฮี่ฮี่แม่นางน้อยของข้า รอข้าก่อนนะ เจ้าหนีข้าไม่ได้หรอกข้าเป็นคนโง่ที่หลงรักเจ้าเพียงคนเดียว”

“แต่ห้าสิบปีผ่านไป แม่นางน้อยตอนนี้จะหน้าตาเช่นไรกันนะ?​ คงดี…เธอฝึกฝนเซียนด้วยวิธีของเจย์ดีเทพสงครามและข้าได้ยินมาว่ามันมีความสามารถที่ทำให้ดูยังเยาว์วัยอยู่ด้วยดังนั้นอย่างมากที่สุดเธอก็ดูเหมือนอายุสามสิบ ถ้าเธอกลายเป็นป้าแก่ๆข้าก็คงเลิกราต่อกัน ฮึ่ม…เหล่าคนของเจดีย์เทพสงครามเข้ามาที่นี่หลายสิบคนตอนนี้เหลือเพียงสิบคน เมื่อข้ากลับไปเหล่าผู้อาวุโสจะให้ทรัพยากรกับข้าเพื่อช่วยฝึกฝนและขวดน้ำยาต่างๆพวกนั้นที่ข้ารับครั้งก่อนมีพลังรุนแรงมากเพียงยาเม็ดเดียวก็ทำให้ข้าดูเยาว์วัยเหมือนเดิม หลังจากข้าออกไปได้ข้าจะดูเหมือนชายหนุ่มอายุยี่สิบ ต้องขอบคุณเรื่องนั้นข้าสามารถมีสตรีใดก็ตามที่ข้าต้องการได้” หม่าเหลียงยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะที่เขาได้แรงจูงใจใหม่

แค่หม่าเหลียงรู้สึกภูมิใจอยู่นั้นทันใดนั้นลำแสงสองเส้นก็ปรากฎขึ้นในระยะสายตาในพริบตามันก็มาถึงถัดจากหม่าเหลียงหนึ่งในแสงนั้นพุ่งผ่านเขาไปที่กระบี่ม่วงเปิดเผยเป็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบสีหน้าเขามืดหม่นขณะที่จับกระบี่เหินและโยนมันเข้าไปในกระเป๋าโดยไร้สิ้นคำพูดเขาหันไปจ้องหม่าเหลียงอย่างเย็นชา

ลำแสงอีกเส้นเปิดเผยเป็นชายวัยกลางคนชุดดำ เขายืนด้านหลังหม่าเหลียงและยิ้มเบาๆให้กับเขา

สีหน้าหม่าเหลียงเปลี่ยนไปพร้อมกับพูดขึ้น “ซิ่วฮ่าว เก้อหยาง!” เขาคร่ำครวญในใจ หม่าเหลียงเคยเห็นสองคนนี้มาก่อนชื่อเสียงแย่ๆของสองคนนี้นั่นก็เพราะว่าพวกเขาสังหารผู้คนเพียงเพื่อขโมยสมบัติเซียน

หม่าเหลียงฉีกกระเป๋าอย่างเด็ดขาดและโยนมันให้ซิ่วฮ่าว “ท่านเซียนนี่คือของทุกอย่างที่ข้าพบระหว่างที่อยู่ที่นี่ พวกท่านเอามันไปได้เลยข้าร้องขอชีวิตข้าเท่านั้น” เขาร่ำร้องขึ้น

ซิ่วฮ่าวตกใจ เขานำกระเป๋าใบนั้นไปและตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณเขายิ้มและพูดขึ้น “เจ้าเป็นคนขี้ขลาดที่สุดที่ข้าเคยพบแต่ก็มีประโยชน์มากที่สุด ดีมาก ข้าจะให้เวลาเจ้า ไปซะ!”

หม่าเหลียงผ่อนคลายและกำลังจะถอยหลังหนีห่างทันใดนั้นท่าทางเขาก็เปลี่ยนไปเขาไอออกมาเป็นเลือดขณะที่กระบี่เหินแทงผ่านหน้าอกร่างกายสั่นกระตุกขณะที่รู้สึกว่าชีวิตกำลังจะดับลงเขาบังคับร่างกายหันกลับไปและเห็นเก้อหยาง “เจ้า…”

เก้อหยางสะบัดมือ ขณะที่กระบี่เหินลอยจากหลังเข้าไปหาเขา “ข้าไม่ได้พูดว่าจะให้เจ้าไป” จบคำพูด เขาจากไปโดยไม่ได้แม้แต่มองหม่าเหลียง

ซิ่วฮ่าวส่งเสียงและส่ายหน้าเขารู้ว่าเก้อหยางสังหารหม่าเหลียงเพราะว่าเขาเกลียดความเป็นจริงที่หม่าเหลียงให้กระเป๋ากับเขาเขาและเก้อหยางมีข้อตกลงกันว่า กระเป๋าสิ่งของที่ใครถือมันได้ก่อนคนแรกพวกเขาจะไม่ต่อสู้กัน

หากหม่าเหลียงให้กระเป๋ากับเก้อหยาง ซิ่วฮ่าวก็คงทำแบบเดียวกันสติของหม่าเหลียงเลือนลางขณะที่มีรูปภาพแม่นางน้อยปรากฎด้านหน้าเขาเขาค่อยๆหลับตาลง ขณะเดียวกันนั้นรอยแยกอวกาศขนาดใหญ่ปรากฎถัดจากหม่าเหลียงและวิญญาณขนาดใหญ่ดวงหนึ่งพุ่งออกมา

ขณะที่ดวงวิญญาณปรากฎนั้น มันหยุดกึกและรีบชอนไชเข้ไปในร่างหม่าเหลียงทันใดนั้นหม่าเหลียงได้ลืมตาตื่นขึ้น ลำแสงสีทองยิงออกมาจากดวงตาเขา

รอยแผลบนหน้าอกได้สมานตัวกันอย่างรวดเร็ว ในไม่ข้าเขาก็ฟื้นฟูเรียบร้อยน้ำเสียงอันหนาวเย็นออกมาจากปาก “เถิงฮว่าหยวน ข้าหวังหลินกลับมาแล้ว!สัมผัสวิญญาณ! กลับมาซะ!”

ทันใดนั้นสัมผัสวิญญาณทั้งหมดในสนามรบต่างแดนที่เป็นของหวังหลินไม่ว่ามันจะอยู่ในกระเป๋า ขัดเกลาไปแล้ว ในร่างของคนอื่นหรือกำลังต่อสู้กันอยู่ ทุกเสี้ยวสัมผัสวิญญาณได้เริ่มสั่นสะท้าน

เศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณหลายที่เข้ามารวมกันไปทางหวังหลินในสนามรบต่างแดนนี้ทั้งหมด

ความหวาดกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ปรากฎในใจเซียนทุกคนที่มีเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณพวกนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!