Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 145

Cover Renegade Immortal 1

145. ขั้นแกนลมปราณ (2)

แกนพลังเยือกแข็งรวมเป็นหนึ่งเพื่อสร้างต้นแบบแกนหลักก้าวถัดไปคือการรวมเข้ากับร่างกาย หากร่างเขาไม่ปฏิเสธหวังหลินจะเริ่มหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณและสัมผัสวิญญาณหลังจากถึงจุดหนึ่งมันจะกลายเป็นแกนทองคำ เมื่อถึงเหตุการณ์นั้นหวังหลินก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นแกนลมปราณเสียที

แรงผลักครั้งสุดท้ายจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือของเม็ดยาเส้นทางสวรรค์ทันใดนั้นหวังหลินลืมตาขึ้น เสียงแตกปรากฎใต้ศีรษะเขาร่างกายเริ่มมีเสียงแตกระแหงและในไม่ช้าเสียงแตกนั้นปกคลุมทั่วร่าง

ขณะที่ขยับเขยื้อนร่างกาย รอยแรกเริ่มกว้างมากขึ้นกว่าเดิมหวังหลินยืนขึ้นอย่างช้าๆและเขย่าอย่างร่างอย่างรุนแรงเศษน้ำแข็งหล่นลงกับพื้นขณะที่มีลมรุนแรงสายหนึ่งพัดมันออกไป

เสื้อผ้าบนร่างเขากลายเป็นฝุ่นและหายไป มีเพียงเกราะเกล็ดมังกรที่ยังเหลืออยู่แต่ขาดรุ่งริ่ง

หวังหลินยืนขึ้นอย่างเงียบเชียบและหลับตาหลังจากผ่านไปนานเขาก็ลืมตาขึ้น ประกายแสงสว่างสีฟ้าออกมาจากนัยน์ตาแม้ว่าเขาอีกเพียงก้าวเดียวจะเข้าสู่ขั้นแกนลมปราณในแง่ของการฝึกฝนทว่าวิถีเซียนนรกของเขาได้เสร็จสิ้นแล้ว

มวลเปลวไฟสีฟ้าออกมาจากต้นแบบแกนพลังและไหลผ่านร่างกายก่อนที่จะไปปรากฎบนฝ่ามือขณะเดียวกันมันสูงเหนือฝ่ามือสามนิ้ว เปลวไฟสีฟ้าเผาไหม้อย่างเงียบเชียบ

เปลวไฟนี้ไม่ได้ปลดปล่อยความร้อนแต่กลับปลดปล่อยความเย็นแทน เปลวไฟนี้เป็นจุดสำคัญของวิถีเซียนนรก มันคือเปลวไฟนรก

จังหวะที่เปลวไฟนรกปรากฎขึ้นน้ำแข็งฟ้ารอบตัวเขาเริ่มปล่อยควันสีขาวทันที มันราวกับกำลังละลายหวังหลินสะบัดมือและเปลวไฟสีฟ้าหายไปควันสีขาวค่อยๆหายไปและเผยเป็นรอยบุ๋มในน้ำแข็ง

หวังหลินตรวจสอบพลังของเปลวไฟก่อนจะมองไปรอบๆและสวมใส่เสื้อผ้าชุดอื่นสายตาจับจ้องไปที่กระดูกและเริ่มคิดไม่นานนักเขานั่งลงในท่านั่งดอกบัวและหยิบเอากระโหลกมังกรออกมา

หวังหลินจ้องไปที่กะโหลกสายตาเขาสว่างขึ้นจึงตัดสินใจไปที่เมืองหนานต้าวเพื่อแลกเปลี่ยนเตาหลอมยาให้ลี่มู่หวานทำเม็ดยาเส้นทางสวรรค์สำเร็จแม้ว่าสามปีจะผ่านไปราวกระพริบตาเขาได้รู้ผ่านจิตวิญญาณโลหิตของลี่มู่หวานว่าเธอไม่ได้รับอันตรายใด

ทว่าหลังจากเห็นกระดูกอสูรที่ถูกแช่แข็งนับไม่ถ้วนหวังหลินจึงลังเล วิชาหลอมของเจดีย์เทพสงครามจำเป็นต้องใช้เตาปฏิกรณ์

หลังจากล้มเหลวในครั้งแรกเขาก็ไม่เคยใช้วิชานี้กับกะโหลกอสูรวิญญาณตัวอื่นหวังหลินบอกให้ลี่มู่หวานเก็บกะโหลกมังกรเอาไว้เพราะเขาต้องการใช้มันเพื่อสร้างเตาปฏิกรณ์

ทว่าระหว่างที่หวังหลินพยายามหลอมรวมแกนเยือกแข็งทั้งสามแกนเข้าด้วยกันนั้นรวมกับความจริงที่ว่าเขาไม่แน่ใจที่จะสำเร็จ ถึงยังไม่ได้ลองมันนอกจากนั้นหากเขาล้มเหลว มันจะใช้ความพยายามอีกมากเพื่อหาชิ้นอื่น

แต่ตอนนี้หวังหลินพบว่ามีกระดูกอยู่รายรอบจึงได้กระตุ้นตัวเองให้สร้างเตาปฏิกรณ์อีกครั้งหวังหลินระลึกถึงขั้นตอนการสร้างเตาปฏิกรณ์จากความทรงจำก่อนจะนำหินหยกออกมาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ

หวังหลินวางสองมือเข้าด้วยกันจากนั้นขณะที่แยกฝ่ามือออกมาเส้นด้ายใยพลังปราณเชื่อมต่อระหว่างสองมือใบหน้าหวังหลินยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นขณะที่ชูมือขึ้นเส้นใยพลังปราณลอยขึ้นเช่นกัน

หวังหลินรวมฝ่ามือเข้าด้วยกันอีกครั้งโดยไม่กระพริบตาและทำซ้ำกระบวนการนี้อีกครั้งและอีกครั้งเส้นใยพลังปราณรวมกันด้านหน้าเขาจนพวกมันราวกับกลุ่มก้อนใยไหมเรืองแสง

หลังจากทำทั้งหมดนี้หวังหลินถอนหายใจออกมาก้าวแรกในการสร้างเตาปฏิกรณ์สำเร็จแล้วตอนนี้เขาต้องการดูว่ากะโหลกจะทนต่อการผสานเส้นด้ายหรือไม่

เขาชี้ไปที่กะโหลกมังกรและเส้นด้ายสัมผัสเข้าด้วยกัน เส้นด้ายหลอมรวมกับกะโหลกอย่างช้าๆและสีม่วงของกะโหลกค่อยๆลดลง

แต่ไม่นานนักรอยแตกเริ่มปรากฎขึ้นบนตำแหน่งที่เส้นด้ายสัมผัสจากนั้นกะโหลกแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทิ้งไว้เพียงเส้นด้ายพลังปราณที่ห้อยอยู่ในอากาศ​

หวังหลินถอนหายใจมืดหม่น แต่จากนั้นเขาปรากฎแววตาที่ไม่ยอมแพ้เขายืนขึ้นจับเส้นด้าย กระโดดลงไปที่ซากตัวอื่นและกดมันลงไปซากศพนี้มีความยาวนับสองร้อยผิงและเป็นสีเทาหัวของมันขนาดใหญ่มากแทบจะขนาดเท่ากับกะโหลกมังกร

ขณะที่เส้นด้ายไปถึงซากศพ มันผ่านเข้าไปได้ หวังหลินตกใจ เขาพยายามอีกครั้งและเส้นด้ายผ่านกระดูกไปได้อีกครั้ง

หวังหลินจ้องซากอสูรและดวงตาสว่างขึ้นกระดูกปกคลุมภายในน้ำแข็งฟ้าของเขาราวกับว่ามันถูกแช่แข็งหวังหลินยื่นมืออกไปและบีบกระดูกมีเสียงแตกออกมาหลายชุดแต่กระดูกไม่ได้ถูกทำลาย

หวังหลินครุ่นคิดจากนั้นนำเปลวไฟนรกออกมา ขณะที่เปลวไฟเข้าใกล้กระดูกควันสีขาวลอยออกมาจากกระดูกอสูรยิ่งเปลวไฟเข้าใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีควันสีขาวปรากฎมากขึ้นและน้ำแข็งฟ้าละลายด้วยอัตราที่สังเกตได้ทำแข็งฟ้าทั้งหมดละลายไปเผยให้เห็นกระดูกสีเทาภายใน

หวังหลินไม่ได้ลังเล เขากดเส้นด้ายพลังปราณลงไป ครั้งนี้เส้นด้ายตรงไปพันรอบกะโหลก

แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกะโหลกเปลี่ยนสีอยู่สามครั้งก่อนจะแตกกระจายไปขณะนี้มีเส้นใยเหลืออยู่เล็กน้อย มันดูเหมือนกับสูญเสียพลังปราณไปมาก

หวังหลินขมวดคิ้ว ความยากในการสร้างเตาปฏิกรณ์ยากกว่าที่คิดดูเหมือนว่าเหตุผลที่มีคนเพียงไม่กี่คนสามารถเรียนรู้วิชาหลอมได้เนื่องจากเตาปฏิกรณ์นี่

ต้องใช้โชคอย่างมากในการได้รับกะโหลกของอสูรวิญญาณสักตัวหนึ่งและเพื่อเตาปฏิกรณ์หนึ่งชิ้นมันต้องเป็นกะโหลกของอสูรวิญญาณที่พึ่งตายไปและอสูรวิญญาณระดับสูงจะดียิ่งกว่าหากท่านใช้กะโหลกของอสูรวิญญาณที่ตายไปนานแล้วโอกาสสำเร็จยิ่งต่ำเข้าไปอีก

แน่นอนว่าหากเป็นกะโหลกของอสูรเดียวดายสักตัว แม้มันจะตายเป็นเวลานาน โอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า

ผลก็คือความยากนั้นยิ่งทวีคูณเข้าไปอีกหากหวังหลินพยายามอย่างถูกวิธีขณะที่มังกรพึ่งตายเมื่อนั้นโอกาสจะสูงกว่านี้ทว่านับจากตอนนั้นเขาไม่มีเวลาที่จะคิดเรื่องนี้ในขณะที่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การบรรลุขั้นแกนลมปราณแทน

หวังหลินปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆขณะที่มองไปยังทะเลซากศพนับไม่ถ้วนรอบตัวเขา มีกระดูกอสูรวิญญาณอยู่แค่ไหนกันแน่ เขาไม่รู้

“ข้าไม่เชื่อว่าข้าไม่สามารถสร้างเตาปฏิกรณ์ได้สักชิ้นด้วยซากอสูรวิญญาณจำนวนมากพวกนี้” ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่เขาจับมือตัวเองและสร้างเส้นใยพลังปราณเพิ่มขึ้นหลังจากเสริมเส้นใยใหม่อีกครั้งเขาก็จับมันวางลงบนกะโหลกตัวอื่น

หนึ่งชั่วโมงต่อมากะโหลกแตกกระจายอีกครั้ง

เช่นนั้นหวังหลินพยายามต่อเนื่องไปเรื่อยๆเขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่ากะโหลกกี่ชิ้นที่แตกสลายไปแต่รู้ได้ว่าหวังหลินเติมเส้นใยมากกว่าร้อยครั้ง

คิ้วหวังหลินขมวดเป็นปมขึ้นไปอีกในที่สุดเขากระโดดขึ้นไปบนอากาศและมองไปรอบๆอย่างเยือกเย็นหวังหลินโยนเส้นใยพลังปราณออกมาและเริ่มหมุนรอบตัวเอง

ฝ่ามือเปิดออกและปิดเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่เขาทำเช่นนี้ก็ยิ่งมีเส้นใยสร้างมากขึ้นเขาขยับฝ่ามืออย่างรวดเร็วและเร็วมากขึ้นจนเส้นใยพลังปราณปรากฎออกมาราวกับฝนจำนวนเส้นใยพลังปราณค่อยๆเพิ่มมากขึ้น

จำนวนเส้นใยพลังปราณค่อยๆเพิ่มมากขึ้นและเขาไม่หยุดจนกว่าจะใช้พลังปราณในร่างจนหมดหวังหลินรีบดื่มน้ำพลังปราณสองสามอีกและเริ่มสร้างเส้นใยต่อ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและมวลเส้นใยมีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น มันยาวมากกว่าสามสิบผิง(100 เมตร)

หวังหลินมองขนาดของทะเลซากศพแห่งนี้และคิดขึ้น ‘ยังไม่พอ’ จากนั้นเขาดื่มน้ำพลังปราณเพิ่มและเริ่มสร้างเส้นใยอีกในที่สุดเมื่อมวลเส้นใยมีขนาดมากกว่าสามร้อยผิง (1 กิโลเมตร) เขาก็หยุดลงจากนั้นปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมาเพื่อควบคุมเส้นใยทั้งหมดและกดทั้งหมดนั้นลงไปพร้อมกับเปลวไฟสีฟ้าปรากฎขึ้น

เหล่าเส้นใยที่ถูกกดลงไปส่งเสียงดังกระหึ่มและคลื่นขี้เถ้ากระจายขึ้นมาคลื่นที่เถ้าส่งเสียงคำรามออกมาและกระดูกทั้งหมดในระหว่างทางถูกเปลี่ยนเป็นขี้เถ้าและรวมเข้ากับคลื่นนี้

ภายในคลื่นมีมวลควันสีขาวรวมอยู่ด้วย ภาพฉากนี้ดูน่าทึ่งมากเมื่อควันสีขาวทั้งหมดหายไป ไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้หวังหลินกัดฟันแน่นขณะดื่มน้ำพลังปราณเพิ่มและสร้างเส้นใยอีกก่อนจะกดเส้นใยทั้งหมดลงอีกครั้ง

คลื่นขี้เถ้าแผดเสียงกึกก้อง หลังจากควันสีขาวหายไปดวงตาหวังหลินเพ่งไปที่ซากศพของอสูรขนาดเล็กทั้งหมดในรัศมีสองลี้(1 กิโลเมตร)บนพื้นที่เปิด

หวังหลินเผยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขและเหินเข้าหาซากศพทันที เขามองดูมันกใล้ๆและพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ

กระดูกขาวใสและดูธรรมดามาก ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะขี้ไปบนท้องฟ้าเขาจับเส้นใยพลังปราณอย่างรวดเร็วและมันติดกับกะโหลกอสูรขนาดเล็กทั้งหมด

กะโหลกเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว หนึ่งครั้ง สองครั้งสามครั้ง…และหลังจากมันเปลี่ยนสีไปเก้าครั้งกะโหลกแยกออกจากกระดูกสันหลังและลอยไปบนอากาศ

เส้นใยรวมเข้ากับกะโหลกอย่างสมบูรณ์หลังจากกระโหลกเปลี่ยนสีไปเก้าครั้งมันค่อยๆแปรเปลี่ยนรูปทรงไปเป็นทรงชามข้าวขณะที่เปล่งคลื่นพลังปราณออกมา

หวังหลินจับมันด้วยมือตัวเองและเริ่มตรวจสอบ

วิชาหลอมสมบัติของเจดีย์เทพสงครามดั้งเดิมนั้นลึกลับมากมีข่าวลือว่ามันเป็นวิชาหนทางสวรรค์ที่ถูกค้นพบโดยบรรพชนของเจดีย์เทพสงครามรุ่นต่อมาของสำนักได้ใช้เวลาอย่างมากในการพัฒนาจนกลายเป็นวิชาหลอมสมบัติในปัจจุบันเตาปฏิกรณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของวิชานี้มีคุณภาพอันดับสิบ

ยิ่งระดับของเตาปฏิกรณ์สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้นเมื่อเตาปฏิกรณ์ถูกสร้างขึ้นมันง่ายที่จะระบุอันดับเนื่องจากจำนวนครั้งที่มันเปลี่ยนสีเป็นตัวกำหนดอันดับของเตาปฏิกรณ์

“อันดับ 9!” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกเสียใจมากด้วยกระดูกอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลที่เขาใช้ไปยังไม่อาจสร้างเตาปฏิกรณ์อันดับสิบได้

ทว่าอันดับเก้าดีกว่าไม่มี หวังหลินหยิบหินหยกออกมาและตรวจสอบอีกครั้งสิ่งที่หินหยกไม่ได้พูดถึงคือแม้แต่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในเจดีย์เทพสงครามยังมีเพียงเตาปฏิกรณ์อันดับหกในขณะคนอื่นๆแทบทั้งหมดจะมีระดับสามหรือต่ำกว่า

เตาปฏิกรณ์ของหวังหลินเป็นอันดับเก้ามีสิ่งที่ทำได้มากมายด้วยซากของอสูรตัวขนาดเล็กนั้นอสูรตัวนี้เป็นอสูรเดียวดายหายากในซากทะเลอสูรแห่งนี้

หลังจากอสูรเดียวดายตายไป กระดูกของมันไม่ได้แตกต่างมากนักกับอสูรวิญญาณเว้นแต่ว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ มันจึงยากที่จะจำแนกได้

หลังจากหวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมาจากหินหยกเขาเริ่มไตร่ตรองวิชาหลอมสมบัติของเจดีย์เทพสงครามเน้นไปที่จุดสำคัญสามจุดคือ ดัดแปลงหลอมและผสาน

หวังหลินเพ่งสมาธิมุ่งมั่นขณะที่เขานำวัตถุดิบหลายชิ้นออกมาจากกระเป๋าและโยนมันเข้าไปในเตาปฏิกรณ์วัตถุดิบบางส่วนได้ถูกบันทึกไว้ในหินหยกหลังจากหวังหลินคุ้นเคยกับเนื้อหาภายในหยกเขาก็สามารถค้นหาของที่ต้องการในกระเป๋าได้

หินเลือดไก่: เมื่อรวมเข้ากับพลังปราณมันจะสร้างความร้อนสูง

เถาวัลย์จันทราเดือด: เป็นพืชชนิดหนึ่งสามารถแยกผลลัพธ์ออกมาหลังจากรวมเข้ากับไม้ดาราสวรรค์

ไม้ดาราสวรรค์: ไม้ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติการกัดกร่อน

หวังหลินมีวัตถุดิบทั้งสามนี้ในกระเป๋าแม้ว่ามันไม่ได้มากนักมันก็เพียงพอสำหรับการหลอมสมบัติสักชิ้นหนึ่งหวังหลินมักจะสับสนอย่างมากเรื่องวัตถุดิบที่ได้รับจากสนามรบต่างแดนแต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้จักขึ้นนิดหน่อย

เขาเริ่มวางเถาวัลย์จันทราเดือดข้างในเตาปฏิกรณ์ทุกครั้งที่เขาจะนำไปใส่หนึ่งชิ้นหวังหลินจะบดขยี้มันพร้อมกับเศษกระดูกอสูรวิญญาณสัมผัสวิญญาณของหวังหลินเพ่งสมาธิไปบนข้างในเตาปฏิกรณ์เตาปฏิกรณ์ค่อยๆหนาแน่นขึ้น เติมเต็มไปด้วยสีม่วง

หวังหลินพึมพำราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง เมื่อดวงตาสว่างขึ้นเขาสะบัดหยดเลือดตัวเองลงไปหนึ่งหยด

ขณะเดียวกันมีฟองปรากฎขึ้นข้างในเตาปฏิกรณ์ หวังหลินไม่ได้ตื่นตกใจขณะที่เขาส่งพลังปราณเข้าไปอย่างใจเย็น

หินหยกได้อธิบายรายละเอียดว่าเตาปฏิกรณ์ทำอะไรอยู่เตาปฏิกรณ์เป็นการหลอมทางอ้อมโดยใช้เตาปฏิกรณ์เป็นสื่อให้ผู้หลอมจัดการวัตถุดิบข้างในได้ตรงๆ

หวังหลินสูดหายใจลึก หลังจากลังเลเล็กน้อยเขาหยิบเอาไม้ดาราสวรรค์ออกมา บดขยี้มันและโรยใส่ในเตาปฏิกรณ์

น้ำสีม่วงเริ่มฟองฟอดอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยกลิ่นฉุน หวังหลินเพียงนำหินเลือดไก่ออกมาชิ้นเดียวและโยนมันเข้าไป

หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ใบหน้าเขายิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นขณะที่ฝ่ามือสร้างผนึกหลายชุดอย่างรวดเร็วน้ำสีม่วงภายในเตาปฏิกรณ์รวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วสร้างเป็นบอลสีม่วงขึ้นมาหนึ่งลูก

หวังหลินครุ่นคิดจากนั้นสะบัดแขน บอลแบ่งครึ่งออกจากกัน ครึ่งหนึ่งลอยขึ้นไปข้างบน อีกครึ่งหนึ่งกลับเข้าไปในเตาปฏิกรณ์

ภายใต้การควบคุมของหวังหลินบอลที่กำลังลอยขึ้นนั้นสูงขึ้นและสูงขึ้นเรื่อยๆหวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปที่อกและหน้าผากตัวเองเขาปล่อยพลังปราณม่วงออกมาจากปาก จากนั้นพลังปราณรวมเข้ากับบอลทันที

ก้าวแรกในวิชาหลอมสมบัติของเจดีย์เทพสงคราม ดัดแปลง ได้เสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาขั้นที่สอง หลอมรวม

กระบวนการหลอมรวมต้องการสมบัติหลายชิ้นเพื่อเป็นวัตถุดิบ หวังหลินตบกระเป๋าและกระบี่เหินสามสิบห้าเล่มลอยออกมา

หวังหลินชี้ไปที่หนึ่งในกระบี่และแทงเข้าไปในลูกบอล ปลายกระบี่หลอมละลายจนทั้งเล่มหลอมเข้าไปในลูกบอล

หลังจากนั้นกระบี่อีกสามสิบสี่เล่มที่เหลือหลอมเข้าไปในลูกบอลด้วยการควบคุมของหวังหลินท้ายที่สุดลูกบอลเริ่มเปล่งแสงรุ้งหลากสีจนรู้สึกตาเบลอ

ทั้งกระบวนการตั้งแต่นำเถาวัลย์จันทราเดือดเข้าไปในเตาปฏิกรณ์จนถึงตอนนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นสองชั่วโมงในสองชั่วโมงนี้หวังหลินใช้สมาธิทั้งหมดไปที่การหลอมไม่เพียงแต่เขาไม่ได้ผ่อนคลาย แต่ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นขณะที่นำกระบี่เหินสีดำออกมาจากกระเป๋า

พูดได้ว่ากระบี่เหินเล่มนี้ผ่านประสบการณ์กับเขามาจำนวนมากตั้งแต่ที่ได้รับมันมาหลังจากสังหารอาจารย์ของจางฮู่ ถูกเถิงลี่ตามล่าและท้ายที่สุดเขาก็ตายในการต่อสู้นอกหุบเขาจูหมิงจากนั้นหวังหลินถูกวิญญาณเซียนของซือถูหนานช่วยชีวิตและร่างกายของกระบี่ถูกทำลายไปด้วยทว่ามันเชื่อมต่อกับหวังหลิน วิญญาณกระบี่จึงหนีรอดและพักอยู่ในวิญญาณเขา

ในภายหลัง หวังหลินพยายามค้นหาร่างใหม่ให้มันอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีอันไหนใช้การได้กระบี่สี่ดำเล่มนี้เป็นอันล่าสุดและหลังจากใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตาไม่กี่ครั้งมันกลายเป็นยุ่งเหยิงเสียแล้ว

หวังหลินจับกระบี่และลูบมันอย่างเบามือ เจ้ากระบี่ส่งเสียงฮัมอย่างดังไม่นานหลังจากนั้นภาพลวงตาของกระบี่ภาพหนึ่งลอยออกมาเจ้าปิศาจลอยออกมาเช่นกันและยืนด้านข้างมันจ้องมองอย่างว่างเปล่าในสภาพแวดล้อมรอบด้านไม่มีใครรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่

หวังหลินสูดหายใจลึกและจับลูกบอล เขากัดฟันแน่น ส่งคำสั่งออกมาและกระบี่เหินลอยตรงเข้าหาลูกบอล

สัมผัสวิญญาณของหวังหลินกระจายออกมาทันทีและล้อมรอบลูกบอลไว้ ขั้นสุดท้ายของวิชาหลอมสมบัติคือการผสาน เริ่มได้

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ลูกบอลยืดออกอย่างช้าๆและค่อยๆรวมกันแน่นขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่ มีเสียงร้องไห้หนึ่งดังออกมาจากนั้นกระบี่เหินผลึกใสปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน

จังหวะที่กระบี่เล่มนี้ปรากฎ กระแสปราณหมุนวนปรากฎถัดจากหวังหลินหลังจากหมุนรอบตัวหวังหลินไม่กี่ครั้ง กระแสลมปราณได้เข้าไปในกระบี่เหินหวังหลินมองกระบี่เหินเป็นเวลานานก่อนจะอ้าปากออกมากระบี่เหินลอยเข้าไปข้างในปากเขา

เจ้าปิศาจตกตะลึง มันฝืนยิ้ม ลูบแขนตัวเองและพูดขึ้น “นี่…นับตั้งแต่ที่ท่านกลืนกระบี่ไป ข้าจะไปอาศัยที่ไหนได้?”

หวังหลินยกศีรษะตัวเองขึ้นและมองเจ้าปิศาจเขาสะบัดแขนและเอ็นมังกรลอยออกมาจากกระเป๋ายื่นมือเข้าไปในเตาปฏิกรณ์และควักเอาลูกบอลอีกครึ่งนึงออกมาดวงตาสว่างขึ้นและเอ็นมังกรลอยเข้าไปในลูกบอลทันที

หลังจากหลอมรวมกันอยู่ชั่วครู่ ลูกบอลเริ่มเล็กลงและเล็กลงเรื่อยๆในที่สุดมันก็กลับเป็นเอ็นมังกรดังเดิมแต่กลับเป็นสีทองหวังหลินมองเจ้าปิศาจและมันก็เข้าไปข้างในอย่างเชื่อฟัง

เขาสะบัดมือขวาและเอ็นมังกรลดต่ำลง หลังจากตรวจสอบมันชั่วครู่หวังหลินก็เก็บมันกลับไป เงยหน้าขึ้นมองผนังน้ำแข็งฟ้าเหนือศีรษะเปลวไฟนรกสีฟ้าปรากฎขึ้นบนฝ่ามือและเขาลอยตัวขึ้นไป

หวังหลินพุ่งผ่านสิ่งสกปรกขึ้นไปนับสามร้อยผิงก้อนหินราวกับถูกเขาทะลวงผ่านกระดาษ ความเร็วของหวังหลินเร็วมากเพิ่มด้วยพลังทำลายล้างของเปลวไฟนรก ทำให้หุบเขาซากศพไม่เป็นปัญหาใดๆสิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเซียนทุกคนภายในหุบเขาซากศพเปลี่ยนไปทุกคนรีบจากไปอย่างรวดเร็วขณะที่พื้นดินสั่นและทวีความรุนแรงขึ้น

เซียนหลักไม่กี่คนที่ยินเสียงคำรามกึกก้องออกมาจากหุบเขาที่สิบสี่ในขณะที่เงาสีดำพุ่งขึ้นท้องฟ้าและหายลับไปกับสายหมอก

เหล่าเซียนจดจ้องอย่างมึนงงที่หุบเขาสิบสี่เป็นเวลานานหลังจากเหตุการณ์นี้ ข่าวลือหลากหลายแบบเริ่มกระจายออกไปในที่สุดข่าวลือเริ่มกลายเป็นว่ามีศพตัวหนึ่งที่หลับไหลภายในหุบเขาซากศพนับหมื่นปีได้ตื่นขึ้นจากนั้นมันก็พุ่งออกมาจากนรกสิ่งที่ลอยขึ้นมานั้นเป็นซากศพที่กำลังฝึกฝนอยู่

หลังจากหวังหลินเหาะเหินออกมา เขาไม่ได้หยุดและเหาะไปยังทิศเหนือจากข้อมูลที่เขาได้รับจากซางมู่หยาเมืองหนานต้าวห่างจากหุบเขาซากศพไปทางทิศเหนือไกลถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นลี้

หวังหลินรู้ได้ว่าเขาใช้เวลาไปมากในการหลอมสมบัติดังนั้นจึงไม่ต้องการเสียเวลาเพิ่มเขามีเป้าหมายเดียวตอนนี้และนั่นคือเพื่อให้ได้เตาปรุงยาในการปรุงเม็ดยาเส้นทางสวรรค์อันสมบูรณ์

สองคืนสองวันเหาะผ่านไป เมืองหนึ่งปรากฎในระยะสายตาหวังหลินเมืองนี้มีขนาดใหญ่มากและครั้งแรกที่เห็นเขากระทั่งไม่อาจเห็นได้ว่าจุดจบมันอยู่ตรงไหน นี่เป็นเมืองหนานต้าวหนึ่งใน 999 เมืองในทะเลปิศาจ

เมืองนี้ชื่อหนานต้าวนั่นเป็นเพราะตั้งตามชื่อผู้ครองเมืองเขาเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนอยู่ใต้อำนาจเขาพูดได้ว่าเขาเป็นกฎของเมืองนี้

เดิมทีหากใครสักคนเป็นเจ้าของเมือง อย่างน้อยต้องมีสถานะที่มั่นคงและเจ้าเมืองมักจะเป็นที่รู้จักเสมอภายใต้เจ้าเมืองมีหลากหลายสำนักแต่ไม่มีใครเปรียบเทียบกับเจ้าเมืองได้

โชคดีที่จ้าวเมืองหนานต้าวหายตัวไปเมื่อห้าร้อยปีก่อนดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงอยู่เหนือการควบคุมราวกับมังกรไม่มีเศียรดังนั้นจึงยอมให้สำนักใหญ่เช่นสำนักปิศาจรบถูกสร้างขึ้นได้

เมืองหนานต้าวกลายเป็นเมืองไร้ผู้ปกครองในทะเลปิศาจและถูกจัดการโดยสำนักขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งทว่าเมืองหนานต้าวอยู่ชายขอบทะเลปิศาจดังนั้นทรัพยากรจึงขาดแคลนและขาดแหล่งพลังปราณจึงทำให้เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหลายคนยากที่ออกมาที่นี่ส่งผลให้เหตุการณ์นี้ในพื้นที่นับหลายล้านลี้ของเมืองหนานต้าวไม่มีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแต่มีเซียนขั้นแกนพลังปราณจำนวนมากแทน

ใครบางคนพูดว่าหากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดปรากฎตัวที่นี่สักคน คนผู้นั้นจะเป็นเจ้าเมืองหนานต้าวคนใหม่

ไม่ใช่ว่าไม่มีเซียนวิญญาณแรกกำเนิดคนใดไม่ต้องการปกครองเมืองแต่ไม่มีใครทนขาดแคลนพลังปราณและพื้นที่แห้งแล้งได้ดังนั้นทั้งหมดกระทั่งยอมแพ้ไป

ถึงจุดหนึ่งเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้หยุดเข้ามานอกจากนั้นมีเมืองเกือบพันแห่งในทะเลปิศาจดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เข้ามาเมืองเส็งเคร็งเช่นหนานต้าวแห่งนี้

ตอนนี้เมืองหนานต้าวถูกจัดการโดยสำนักทันฑ์สวรรค์ สำนักดับวิญญาณและสำนักหนึ่งเส้นทางสวรรค์แม้ว่าสำนักมารปิศาจจะมีพลังอำนาจพอให้เป็นผู้คุมกฎต้องขอบคุณอำนาจของสำนักทั้งสามที่พวกมันไม่อาจตั้งหลักได้ในเมืองนี้

นอกจากนั้นการแบ่งเจ้าของเมืองออกเป็นสามทางแตกต่างอย่างมากจากการแบ่งเป็นสี่ทางเนื่องเพราะไม่มีใครชอบสำนักมารปิศาจที่กวาดล้างสำนักอื่นเพื่อให้ตัวเองเติบโตดังนั้นทั้งสามสำนักจึงตกลงในเรื่องนี้

หลังจากจ่ายหินวิญญาณระดับต่ำสิบก้อนและได้รับป้ายสิทธิ์เพื่อเข้าไปในเมืองหวังหลินรีบเดินผ่านถนนมุ่งหน้าไปที่ศาลาหลอมสมบัติในทิศตะวันออก

ศาลาหลอมสมบัติมีสามชั้น ของแต่ละชั้นแพงกว่าชั้นก่อนหน้าหลายเท่า ตอนนี้มีเหล่าเซียนเจ็ดหรือแปดคนกำลังต่อรองราคากับคนงานข้างใน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!