179. เรียนรู้กฎเกณฑ์
ไม่ใช่ว่าระหว่างทางหวังหลินไม่คิดจะกลับไปเมื่อได้หินวิญญาณระดับสูงไว้ในมือ ทว่าสถานการณ์ตอนนั้นมันอันตรายเกินกว่าจะกลับไปที่บททดสอบแรกและเมื่อไม่มีเมิ่งหลังค่อมเปิดเส้นทางให้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปได้หรือไม่ หรือหากเขาใช้ความพยายามทั้งหมดผ่านไปได้ พายุน้ำวนจะไม่ทำให้เขากลับไปได้อยู่ดี มีเพียงเส้นทางที่ทิ้งไว้ให้เขาคือความตายเท่านั้น ไม่มีเส้นทางที่โชคดีพอที่จะให้เขาผ่านเช่นเดียวกับบททดสอบแรกได้อีกครั้ง
หวังหลินไม่ยอมให้ตัวเองเดิมพันง่ายๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาไม่สามารถสูญเสียได้บนเส้นทางนี้
ทว่าจากการวิเคราะห์ของหวังหลิน หากเมื่องหลังค่อมและพวกสามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ได้เมื่อพันปีก่อน นั่นหมายความว่ามีค่ายกลเคลื่อนย้ายออกจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางที่ทั้งสี่คนจะกล้าเข้ามาที่นี่อีกครั้ง
น่าเสียดายว่าเมิ่งหลังค่อมไม่มีของในกระเป๋าที่ระบุข้อมูลสถานที่แห่งนี้ มรดกที่พวกเขามีกลับไม่ได้อยู่ในการครอบครองของเมิ่งหลังค่อม
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาเชื่อว่าหากสามารถได้รับมรดกมา เขาจะสามารถหาเส้นทางออกจากที่นี่ได้
หลังจากมองรอบๆอย่างระมัดระวังพร้อมกับเดินไปข้างหน้า ไม่นานนักเขาพลันหยุดลงเมื่อเห็นก้อนหินใหญ่อยู่ในระยะสายตา ก้อนหินนี้เปล่งคลื่นพลังปราณออกมา หวังหลินก้าวไปด้านข้างและเดินรอบๆ
ท้องฟ้ามืดหม่น ก้อนหินนี้ให้ความรู้สึกกดดันราวกับหินยักษ์บนกลางใจ หวังหลินเดินผ่านระหว่างสองกฎเกณฑ์ก่อนจะหายใจออกด้วยความโล่งอก
เขามองไปรอบๆ เดินมาได้เพียงร้อยจ้างกลับใช้เวลาหลายชั่วยาม หวังหลินต้องทำให้มั่นใจได้ว่าการก้าวแต่ละครั้งจะไม่มีปัญหาก่อนจะวางเท้าลงไป
เมื่อมองขึ้นไปตรงภูเขาที่ดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด เขาสงสัยว่าจะใช้เวลากี่ปีเพื่อไปให้ถึงยอดหากยังคงเดินตามจังหวะเช่นนี้
หวังหลินถอนหายใจหนัก ในบททดสอบแรกเขาผ่านมาได้ด้วยความโชคดี แต่ดูเหมือนว่าต้องพึ่งพาตัวเองในบททดสอบรอบสองแห่งนี้ หลังจากหวังหลินขบคิดเล็กน้อยพลันใบหน้ามืดมน ด้วยระดับฝึกฝนขั้นแกนพลังปราณนับว่าอันตรายเกินไปที่จะอยู่ที่นี่ แต่หากเขากลับไปนั่นยิ่งอันตรายกว่า
หากต้องการมีชีวิตรอด ต้องบังคับตัวเองให้เดินหน้าต่อไป หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและจากนั้นดวงตาสว่างขึ้น เขาไม่ได้เดินหน้าต่อไปแต่หันตัวกลับแทนและเดินผ่านช่องว่างระหว่างกฎเกณฑ์ทั้งสองด้วยความระมัดระวัง หวังหลินเดินกลับไปจนกระทั่งเขาอยู่ที่ตีนเขาอีกครั้ง
ที่จุดตีนเขาล่างสุดเป็นตำแหน่งที่เจอกฎเกณฑ์ขึ้นครั้งแรกที่นี่ เขาคุกเข่าลงและเรียนรู้กฎเกณฑ์นั้นอย่างระมัดระวัง
มันเป็นดงหญ้ากว้างนับสิบฟุต ดงหญ้าเหล่านี้มีอยู่หลายจุดที่ตีนเขา แต่ยิ่งสูงขึ้นข้างบนก็ยิ่งน้อยลง ในคราแรกไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่เมื่อหวังหลินมองเข้าใกล้ๆเขากลับพบว่าดงหญ้านั้นมีคำสั่งลึกลับบางอย่าง
หวังหลินตรวจสอบใบหญ้าแต่ละใบด้วยความละเอียด เมื่อเสร็จสิ้นเขาบันทึกสิ่งที่คิดไว้ในหินหยก ทำเช่นนี้จวบจนสามวันผ่านไป เขาบันทึกรายละเอียดของใบหญ้าทุกใบเพื่อต้องการค้นหาเส้นทางทะลวงผ่านกฎเกณฑ์แห่งนี้
หวังหลินรู้ได้ว่าหากต้องการทะลวงผ่านด้วยกำลัง สำหรับเขาแล้วไม่มีแม้แต่ความหวังที่จะขึ้นไปถึงยอดทั้งยังเป็นไปไม่ได้
อีกทั้งยิ่งปีนสูงขึ้นก็ยิ่งมีกฎเกณฑ์ทรงพลังมากขึ้นเข้ามา เมื่อถึงจุดหนึ่งจะไม่มีทางเดินผ่านไปได้ หากเขาไม่เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆเขาจะตายแน่นอน
หากต้องการผ่านบททดสอบแห่งนี้ เขาต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมกฎเกณฑ์บนภูเขานี่ ยิ่งเข้าใจกฎเกณฑ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสเอาชีวิตรอดสูงขึ้น ไม่มีทางอื่น
เป็นเหตุผลที่ทำไมหวังหลินถึงกลับลงมาและเริ่มศึกษารายละเอียดของกฎเกณฑ์ในคราแรก
กฎเกณฑ์นั้นแตกต่างกับค่ายกลอย่างมาก ค่ายกลใช้วิธีที่เฉพาะเจาะจงเพื่อสร้างผลลัพธ์เฉพาะ ส่วนประกอบที่ใช้ในค่ายกลหนึ่งต่างมีความซับซ้อนอย่างมาก หากคนผู้หนึ่งพยายามเรียนรู้มันด้วยกำลัง คงได้รับเพียงความเข้าใจผิวเผินเท่านั้น
กฎเกณฑ์นับเป็นชนิดหนึ่งของค่ายกล ซึ่งสามารถใช้ได้หลากหลายวิธีตามประสงค์ของผู้ใช้ซึ่งคล้ายคลึงกับสัมผัสวิญญาณ
เหล่าเซียนที่แข็งแกร่งสามารถวางกฎเกณฑ์ลงพร้อมกับสัมผัสวิญญาณของเขา แม้กระทั่งหลังจากผ่านมานับแสนปี ตราบใดที่สัมผัสวิญญาณไม่ถูกทำลาย เช่นนั้นกฎเกณฑ์จะยังคงเปิดใช้งานอยู่
บางครั้งแม้ว่าผู้ใช้ตายไป สัมผัสวิญญาณในกฎเกณฑ์จะมีจิตสำนึกของตนเองและค้ำจุนกฎเกณฑ์ต่อไป
กฎเกณฑ์จึงมักเปลี่ยนแปลงเสมอ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีคนใดยกเว้นผู้ใช้มันจะสามารถมองผ่านทะลุปรุโปร่งได้ มีเพียงสองวิธีที่สามารถผ่านกฎเกณฑ์ได้นั่นคือวิธีแรกทะลวงผ่านด้วยกำลัง แต่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้
วิธีที่สองคือการศึกษาวิจัยมัน เมื่อท่านเข้าใจหลักการและเหตุผลของกฎเกณฑ์จนถึงระดับหนึ่ง ท่านจะสามารถเปิดกฎเกณฑ์ออกได้โดยธรรมชาติ
หวังหลินกำลังใช้วิธีที่สอง
หลังจากบันทึกกฎเกณฑ์แห่งแรกลงบนหินหยก เรียนรู้สิ่งที่ได้บันทึกอย่างละเอียด โชคดีว่าหวังหลินเรียนรู้พื้นฐานค่ายกลระหว่างที่เป็นวิญญาณกลืนกินมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เสียแรงอย่างเปล่าประโยชน์ระหว่างเรียนรู้สิ่งนี้
วันเวลาค่อยๆผ่านไป สิบวันต่อมาหวังหลินกำลังจ้องไปที่พื้นที่บริเวณแห่งนี้ ทันใดนั้นฝ่ามือขวาคว้าไปที่พงหญ้า จากนั้นพงหญ้าเริ่มสั่นไหว ทว่าหวังหลินดูเหมือนจะเห็นสิ่งนี้มาแล้ว
มือขวาเคลื่อนไหวไปทางซ้าย จากนั้นเลื่อนไปทางขวา ฝ่ามืออีกข้างเข้ามาร่วมด้วย มองอย่างรวดเร็วจะดูเหมือนว่าเขากำลังเคลื่อนไหวสะเปะสะปะ แต่หากสังเกตดูใกล้ๆแล้วหวังหลินกำลังเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับพงหญ้าอยู่
ในไม่กี่ลมหายใจความเร็วของฝ่ามือขวาพลันเคลื่อนไหวสุดขีดและเริ่มสร้างภาพติดตา เมื่อภาพติดตาหนึ่งปรากฎ อันก่อนหน้าได้หายไปทันที
สิบลมหายใจถัดมาปรากฎเม็ดเหงื่อขึ้นบนหน้าผากและหวังหลินเพ่งสมาธิเต็มที่ เขาดึงฝ่ามือขวากลับคืนมาอย่างรวดเร็วและลำแสงสีแดงหนึ่งปรากฎขึ้น มันกำลังไล่ตามหลังฝ่ามือขวาของเขาเข้ามา
ขณะที่หวังหลินชัดมือกลับพลันเริ่มเคลื่อนไหวฝ่ามือมากขึ้น แสงสีแดงเริ่มอ่อนลงและอ่อนลงจนกระทั่งหายไปในที่สุด
เมื่อหวังหลินถอนฝ่ามือขวาออกมา แสงสีแดงนั้นสงบนิ่งเรียบร้อยแล้ว หวังหลินมองตรงไปที่พงหญ้า มันกลับสู่สภาพปกติโดยไม่มีสิ่งใดวางอยู่อีกแล้ว
กฎเกณฑ์แห่งนี้คือสังหารทุกคนที่พยายามเข้าไป หากคนผู้หนึ่งมีระดับฝึกฝนเซียนสูงเพียงพอที่สามารถผ่านเข้าไปด้วยกำลังได้ เมื่อนั้นแสงสีแดงนั้นจะปรากฎขึ้นและไล่ล่าเขาจนกระทั่งมันสังหารได้สำเร็จ
หลังจากเรียนรู้กฎเกณฑ์มาหลายวัน หวังหลินจึงได้รับความเข้าใจพื้นฐาน ตอนนี้เป็นเพียงแค่การทดสอบ เขาทำการทดสอบเช่นนี้มากกว่าสิบครั้งในหลายวันที่ผ่านมา
ในครั้งแรกหวังหลินอยู่ได้เพียงสามลมหายใจเท่านั้นและได้รับบาดเจ็บกลับมา ตอนนี้กลับสามารถอยู่ได้นับสิบลมหายใจและหยุดเส้นแสงสีแดงไว้ได้ หวังหลินเชื่อว่าหากเขาทดลองมากขึ้นจะสามารถทะลวงผ่านมันไปได้
ซึ่งนั่นหมายถึงหากเขาเข้าใจกฎเกณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์ แปลว่าจะสามารถรอดชีวิตได้ในสิบลมหายใจและหากหวังหลินมีเวลาสิบลมหายใจเช่นนั้นแม้กระทั่งเส้นแสงสีแดงก็ไม่อาจหยุดเขาได้
หวังหลินยิ่งตื่นเต้น แม้ว่ากฎเกณฑ์แห่งนี้จะเป็นกฎเกณฑ์ที่ง่ายที่สุดบนภูเขา หวังหลินเชื่อว่าเขาพบเส้นทางที่ถูกต้อง ตราบใดที่พยายามต่อไปบนเส้นทางนี้เมื่อนั้นมันจะไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ในการออกจากที่นี่
หากเป้าหมายเดิมของหวังหลินคือการเรียนรู้กฎเกณฑ์เพื่อออกจากที่นี่ เช่นนั้นตอนนี้เขามีเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง ยิ่งค้นคว้าก็ยิ่งมีความสนใจในกฎเกณฑ์เป็นอย่างยิ่ง หวังหลินไม่เคยคิดว่ากฎเกณฑ์จะทรงพลังได้ขนาดนี้
ตัวอย่างหนึ่งนั่นคือกฎเกณฑ์ในพงหญ้าแห่งนี้ แม้ว่าหวังหลินจะสามารถผ่านมันได้อย่างปลอดภัย ทว่าเขายังไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองได้เพราะยังไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ เมื่อเข้าใจจนเชี่ยวชาญจนสามารถสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองได้เมื่อนั้นเขาถึงจะสร้างมันออกมา แม้ว่ามันจะไม่ได้ทรงพลังเฉกเช่นตอนนี้ แต่ว่าธรรมชาติอันแปลกประหลาดของกฎเกณฑ์นับว่าไม่อ่อนแอ
หวังหลินสูดหายใจลึก ใบหน้ามีร่องรอยความตื่นเต้นขณะที่ยิ่งดูดซับสิ่งที่ค้นคว้ามา หนึ่งเดือนผ่านไปหวังหลินเก็บหินหยกและเดินเข้าไปในพงหญ้า
เมื่อหวังหลินเข้าไป พลันพงหญ้าเริ่มเคลื่อนไหวทันทีและหมอกแดงปรากฎออกมา ใบหญ้าทุกใบเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะลอยขึ้นกลายเป็นอาวุธแหลมคมและหายไปในสายหมอก
ขณะเดียวกันเสียงเห่าหอนดังออกมาจากทุกทิศทางพร้อมกับอาวุธแหลมคมหล่นลงมาบนหวังหลินราวกับสายฝน
หวังหลินสงบนิ่งและไม่ใส่ใจบนอาวุธพวกนั้น เขาเดินหน้าต่อไปราวกับสวนหลังบ้านตัวเองขณะที่อาวุธทั้งหมดใกล้เข้ามา
หวังหลินโบกแขนขวาอย่างสุขุมแม้ว่าจะดูเชื่องช้าทว่าฝ่ามือลึกลับของเขามาถึงก่อนเหล่าอาวุธ หากมีใครสักคนมองดูอยู่ข้างนอกคงตกใจ เรื่องเช่นนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นเข้าใจกฎเกณฑ์อย่างถ่องแท้เท่านั้น
หวังหลินไม่รู้จักวิชาเซียนพิเศษอันใด แต่เขารู้ว่าฝ่ามือตัวเองจะเร็วกว่าอาวุธพวกนั้น และเร็วมากขึ้นเมื่อคิดว่ามันเร็วกว่า
ขณะที่หวังหลินสะบัดฝ่ามือ เขาวาดวงกลมขึ้นมาวงหนึ่ง การกระทำที่เรียบง่ายนี้เป็นผลพวงจากการค้นคว้าของหวังหลิน แม้ว่ามันจะดูเหมือนวงกลมง่ายๆแต่ฝ่ามือสร้างผนึกแตกต่างกันหลายพันแบบในหนึ่งวงกลมโดยไม่มีหยุดพัก
หลังจากวงกลมเสร็จสิ้น อาวุธทั้งหมดเคลื่อนที่ช้าลงพลันกลับเป็นใบหญ้าตามเดิมและลอยรอบหวังหลิน
ใบหน้าหวังหลินยังสงบนิ่ง จากจุดเริ่มต้นที่เขาเข้ามา หวังหลินได้ก้าวเดินมาอย่างสงบนิ่งและกระทั่งตอนนี้ไม่มีความแตกต่าง
ขณะที่เดินตรงไป ดงหญ้าแยกกลางออกจากกันราวกับไม่กล้าป้องกันเขา เมื่อหวังหลินต้องการต้องการจะออกนอกพื้นที่ แสงสีแดงหลายเส้นปรากฎในสายหมอกรอบหวังหลิน เขาพลันยื่นมืออกไปและคว้ามัน
แสงสีแดงทั้งหมดหยุดลงราวกับถูกจับด้วยอุ้งมือยักษ์และบดขยี้เป็นเศษเล็กเศษน้อย แสงสีแดงรวมตัวกันอีกครั้งแต่ตอนนี้พวกมันสร้างเป็นถนนสายหนึ่งใต้ฝ่าเท้าหวังหลินนำทางไปสู่ทางออกของกฎเกณฑ์
หวังหลินมีใบหน้าสงบนิ่งเช่นเคยขณะที่เดินไปตามถนนสีแดงและออกจากกฎเกณฑ์พร้อมกับหัวเราะออกมา หลังจากใช้เวลาทั้งหมดไปกับเรื่องนี้ในที่สุดหวังหลินก็เข้าใจกฎเกณฑ์นี้ได้อย่างสมบูรณ์และสร้างมันขึ้นด้วยตัวเอง ความสนใจในตัวกฎเกณฑ์ได้ถึงจุดสูงสุด เขามองกลับไปที่กฎเกณฑ์ที่เดินผ่านออกมาด้วยท่าทางเยาะเย้ยพลันขยับมือเข้าหามัน
กฎเกณฑ์พลันสั่นสะท้าน การเคลื่อนไหวของพงหญ้าเปลี่ยนไป หากมองเข้าไปให้ลึกมากขึ้นจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นซับซ้อนกว่าคราก่อน
หวังหลินพึมพำกับตัวเอง “หากมีใครปรากฎตัวเบื้องหลังข้า คนนั้นจึงโปรดระวัง!” ด้วยความเข้าใจกฎเกณฑ์ของเขา จึงเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งชั้น
ตอนนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเข้ามากฎเกณฑ์นั้น ไม่ว่าจะทำเช่นไรพวกเขาจะกระตุ้นกฎเกณฑ์ที่สองของหวังหลิน ด้วยการเพิ่มกฎเกณฑ์ที่สองเข้าไปนั้นจึงมีโอกาสที่คนคนนั้นจะตายในดงหญ้านั้น
แน่นอนว่าหากเขาใช้วิธีเดียวกันกับหวังหลิน ความยากในการค้นคว้ากฎเกณฑ์จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
หวังหลินมองรอบๆด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นใบใบหน้า เขาเคลื่อนที่ไปอีกดงหญ้าอื่นและเริ่มความยากของกฎเกณฑ์ขึ้นอีก หวังหลินทำสิ่งพวกนี้กับทุกดงหญ้าที่เขาพบเจอ
นอกจากทำเรื่องทั้งหมดนี้หวังหลินขบคิดเล็กน้อย พลันรู้สึกราวกับมันไม่เพียงพอจึงผนึกช่องว่างระหว่างกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่เขาผ่าน นั่นหมายความว่าหากใครอยากจะเข้ามา มันจะต้องเดินผ่านกฎเกณฑ์พวกนี้
หลังจากหวังหลินทำสิ่งพวกนี้จบไปจึงเริ่มเดินขึ้นไปบนภูเขา
ขณะเดียวกัน จ้าวปิศาจหกปรารถนากำลังจ้องไปที่เมฆหนาๆด้านหน้า เมฆนี้อยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไรก็ไม่อาจทำให้มันกระจายออกไปได้
ใบหน้าเขามืดหม่น ด้านข้างเป็นชายหนุ่มที่มาด้วยกัน ชายหนุ่มยืนอยู่ที่นี่อย่างงุนงงและจ้องไปที่สายหมอก
จ้าวปิศาจหกปรารถนามองไปที่ชายหนุ่มและจากนั้นมองไปด้านหลังก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือก บททดสอบแรกที่เข้ามาคือบททดสอบน้ำแข็งซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยด้วย แม้ว่าจะไม่มีสมบัติของจักรพรรดิโบราณ เช่นไรเขาถึงจะไม่เตรียมตัวมาก่อนหลังจากผ่านมาพันปีเล่า?
ก่อนหน้านั้นเขาได้พูดว่าสามารถพาทุกคนผ่านครึ่งหลังของบททดสอบน้ำแข็งไปได้ หากพูดเช่นนั้นนั่นหมายความว่าเขามั่นใจเต็มร้อยที่จะทำได้
ความจริงก็คือเมื่อห้าร้อยปีก่อน เขาได้รับสมบัติชิ้นหนึ่งที่สามารถทำให้เขาใช้วิชาหลบหนีวารีได้ซึ่งมีผลลัพธ์เช่นเดียวกับเรือปฐพีของหวังฉิงเย่
ด้วยระดับฝึกตนของเขาและความเข้าใจในบททดสอบน้ำแข็ง เป็นผลให้เขาผ่านมันได้อย่างง่ายดายพร้อมกับชายหนุ่ม
ขณะที่ถนนไม่หวนคืนในระหว่างบททดสอบแรกและบททดสอบที่สอง มันไม่มีปัญหาสำหรับเขาเช่นกัน แม้ว่าเขาเกือบตายในครั้งแรกที่มาถึงที่นี่ ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญวิถีฝึกเซียนมารหกปรารถนาไปแล้ว อย่างน้อยสิ่งที่เขากลัวตอนนี้ก็คือสิ่งที่ต้องต่อกรกับอารมณ์ของตนเอง เขาค้นคว้าเกี่ยวกับอารมณ์มามาก ถนนไม่หวนคืนเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นสำหรับเขา หากไม่ใช่ว่าต้องปกป้องชายหนุ่มคนนี้เขาจะไม่ยอมเสียเวลาเลย
แม้ว่าการปกป้องคนผู้หนึ่งจะทำให้ช้าลงเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม สิ่งหนึ่งทำให้กังวลใจก็คือบททดสอบที่สองแห่งนี้ มันถูกเรียกว่าภูเขากฎเกณฑ์ เหตุผลที่มันถูกเรียกเช่นนั้นก็เพราะภูเขาทั้งลูกปกคลุมไปด้วยกฎเกณฑ์และยิ่งปีนขึ้นสูงก็ยิ่งเจอกับกฎเกณฑ์อันแข็งแกร่งทรงพลัง
ณ ตอนนั้นทั้งสี่คนมาถึงที่นี่พร้อมกับเซียนที่แข็งแกร่งคนอื่นจึงสามารถผ่านไปได้ ทว่าหลายคนตายเพราะว่าเซียนผู้แข็งแกร่งบังคับให้ไปทดสอบพลังของกฎเกณฑ์
หากจ้าวปิศาจหกปรารถนาไม่ได้มาพร้อมกับอาจารย์ตัวเอง มันจึงเป็นไปได้ยากที่เขาจะรอดพ้นความตายคราวนั้นได้
เนื่องจากอาจารย์ของเขาเป็นกำลังหลักในการทำลายกฎเกณฑ์ อาจารย์ของเขาเป็นปรมาจารย์ทางด้านกฎเกณฑ์และค่ายกลผู้ซึ่งเรียนรู้และทำลายกฎเกณ์จนกระทั่งถึงสามร้อยจ้างสุดท้ายก่อนถึงทางออก ทว่าท่านอาจารย์ไม่สามารถเข้าไปมากกว่านี้ได้ ในที่สุดจึงวางกฎเกณฑ์หนึ่งลงบนยอด จากนั้นร่วมกับเซียนขั้นตัดวิญญาณคนอื่นเพื่อสังหารเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับกลางคนหนึ่ง เมื่อใช้ร่างของเซียนคนนั้นจึงสามารถเปิดอุโมงค์ยาวสามร้อยจ้างเพื่อผ่านเข้าไปได้
อุโมงค์แห่งนี้คงอยู่เพียงสามลมหายใจเท่านั้น เหล่าผู้รอดชีวิตอันโชคดีทั้งหมดต่างพุ่งเข้าไปในอุโมงค์ ในตอนท้ายจึงเหลือเพียงกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งเท่านั้น นอกจากนั้นตายทั้งหมด
ทุกครั้งที่จ้าวปิศาจหกปรารถนาคิดถึงเรื่องนี้พลันทำให้รู้สึกว่ามันอันตรายขนาดไหน ตอนนี้ในที่สุดก็บรรลุถึงขั้นตัดวิญญาณระดับกลางด้วยตัวเองจึงกล้าเข้ามาที่นี่อีกครั้ง
ความโชคดีที่เขาได้รับในบททดสอบแรกทำให้จ้าวปิศาจหกปรารถนามั่นใจมากอีกครั้ง เขามั่นใจในความโชคดีของตัวเองเพราะว่ากุญแจหลักในการผ่านบททดสอบที่สามอยู่ในมือเขา จากการสังเกตการณ์ของจ้าวปิศาจหกปรารถนามาหลายปี เขาเชื่อว่าคนผู้นี้สามารถพาเขาผ่านบททดสอบที่สามไปได้แต่ราคาที่จ่ายคือชีวิตของมันเอง
ถึงเช่นนั้นจ้าวปิศาจหกปรารถนาไม่ได้ใส่ใจเรื่องชีวิตของมันอยู่แล้ว สิ่งที่เขากังวลก็คือการผ่านไปถึงยอดภูเขาระยะสามร้อยจ้างสุดท้าย แม้ว่ามันจะผ่านมาพันปีและเตรียมการไว้แล้วแต่เขากลับมั่นใจเพียงห้าในสิบส่วนเท่านั้น
เขาใช้เวลาเกือบพันปีเพื่อศึกษากฎเกณฑ์และด้วยความทรงจำที่พิเศษจึงสามารถจดจำกฎเกณฑ์เกือบทั้งหมดที่นี่ได้ หลังจากผ่านมาหนึ่งพันปีจึงทำให้เขารู้สึกมั่นใจที่จะกลับมาที่นี่ ระหว่างทางเขาสามารถทำลายพวกมันทั้งหมดได้อย่างง่ายๆแต่หลังจากทำลายผ่านมันไปแล้ว เขาเปลี่ยนมันกลับให้เป็นปกติ
อีกทั้งเพิ่มกฎเกณฑ์มากกว่าเดิมบนยอดภูเขา เป้าหมายของเขาเช่นเดียวกับหวังหลิน ถึงเช่นนั้นกฎเกณฑ์บนภูเขากฎเกณฑ์แห่งนี้มีความซับซ้อนมากขึ้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วขณะที่ปีนขึ้นไปสูงขึ้น ดังนั้นการก้าวเดินของจ้าวปิศาจหกปรารถนาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ถึงจุดหนึ่งเขาเรียนรู้กฎเกณฑ์เป็นเวลานานก่อนจะก้าวแต่ละก้าว
ตัวอย่างก็คือเมฆก้อนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่เมื่อพันปีก่อน แต่มันกลับอยู่ที่นี่ตอนนี้ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจ
ส่วนหวังหลินหลังจากผ่านมาได้สามร้อยจ้างจำนวนของดงหญ้าลดลง สิ่งที่เห็นตอนนี้เป็นก้อนหินดำ หวังหลินนำหินหยกออกมาและเริ่มบันทึกอีกครั้ง
กฎเกณฑ์ของก้อนหินนี้แตกต่างอย่างสมบูรณ์จากที่อยู่ในต้นหญ้า กฎเกณฑ์ของต้นหญ้าถูกสร้างจากการเคลื่อนไหวของใบหน้า ทว่าก้อนหินนี้แตกต่างกันออกไป นอกจากลายบนก้อนหินบางส่วนแล้วไม่มีสิ่งใดเด่นชัด หากไม่ใช่ว่ามีพลังปราณเปล่งออกมาอย่างเบาบางแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่ามันเป็นกฎเกณฑ์แบบหนึ่ง
หวังหลินมองไปรอบๆและพบกับกฎเกณฑ์ที่คล้ายคลังกันจำนวนมากอยู่ใกล้ๆ หากเขาต้องการผ่านไปเพียงสามารถเดินระหว่างช่องว่างของแต่ละกฎเกณฑ์ แต่ทว่าเมื่อเปรียบเทียบที่จากมาแล้วหวังหลินต้องการเข้าใจกฎเกณฑ์พวกนี้อย่างสมบูรณ์แบบแทน
เขารู้ได้ว่าการผ่านพื้นที่แห่งนี้เป็นเรื่องง่าย แต่เขารู้ว่าต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากที่นี่หากต้องการผ่านไปถึงยอดภูเขา
หวังหลินเริ่มค้นคว้ากฎเกณฑ์อย่างละเอียด
ไม่มีสัญญาณบอกเวลาในภูเขา ดังนั้นพริบตาเดียว เจ็ดปีได้ผ่านไปแล้ว ในวันนี้หวังหลินดื่มน้ำพลังปราณเขาไปบางส่วนขณะที่ยืนขึ้นบนก้อนหินด้านข้างภูเขา ในเจ็ดปีที่ผ่านมา เส้นผมครึ่งหนึ่งบนศีรษะหวังหลินเปลี่ยนเป็นสีเขา
หวังหลินอุทิศตนเพื่อเรียนรู้กฎเกณฑ์จนทำให้จิตใจเคร่งเครียดตลอดเวลา สี่ปีก่อนเส้นผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวตั้งแต่รากผม
ทว่าสัมผัสวิญญาณของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นด้วยเช่นกันภายใต้ความตึงเครียดนี้ หวังหลินผ่านเข้าสู่ขั้นแกนลมปราณระดับกลางโดยไม่รู้ตัวจนตอนนี้อีกเพียงก้าวเดียวก็จะใกล้เข้าสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
ดวงตาหวังหลินคมกริบมากขึ้นพร้อมกับภาวะจิตใจที่เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล หวังหลินราวกับน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายมาเจ็ดปี
ความรู้สึกนี้เปล่งออกมาจากสายตาเขา ดวงตาราวกับสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างและมีดวงดาราภายในนั้นที่กระพริบวาบเป็นบางครั้ง หากตวนมู่จวี่เห็นหวังหลินในตอนนี้เขาอาจจะไม่เชื่อ ดวงตาสัมผัสวิญญาณคู่นี้ได้มาเมื่อคนผู้หนึ่งเชี่ยวชาญกฎเกณฑ์ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น
หวังหลินใช้เวลาที่ผ่านมาเจ็ดปีเพื่อขัดเกลาดวงตานี้ ที่ผ่านมาเจ็ดปีเขาได้เผชิญกับกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วน ทั้งหมดนั้นจำเป็นที่เขาต้องเรียนรู้อย่างละเอียดและตรวจสอบพวกมัน หวังหลินเกือบจะถูกกฎเกณฑ์พวกนั้นสังหารหลายต่อหลายครั้ง
ซึ่งโดยเฉพาะกฎเกณฑ์บางอันที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีกฎเกณฑ์อันอื่นเพิ่มเข้ามาด้วย โชคดีที่หวังหลินระมัดระวังอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงสังเกตกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากของภูเขาได้ หลังจากเรียนรู้พวกมันอย่างละเอียดหวังหลินจึงตระหนักได้ว่าคนที่อยู่เหนือเขาขึ้นไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎเกณฑ์คนหนึ่ง
เพียงแค่หวังหลินมองดูกฎเกณฑ์พวกนั้นก็สามารถเห็นได้ว่าความเข้าใจด้านกฎเกณฑ์ของคนผู้นี้ลึกล้ำมากกว่าเขา
ถึงอย่างนั้นหวังหลินไม่ได้กลัว เรื่องการออกจากบททดสอบที่สองแห่งนี้ลดลงไปมาก จากมุมมองของเขา ที่แห่งนี้คือแดนสวรรค์ของการเรียนรู้กฎเกณฑ์ เส้นทางที่กฎเกณฑ์มีความลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆนั่นหมายความว่าคนผู้หนึ่งสามารถเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานและหาทางเพิ่มความเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ
สถานที่เช่นนี้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเจอ กฎเกณฑ์ที่เพิ่มจากง่ายไปยาก นั่นเป็นสถานที่ที่ทรงคุณค่าอย่างมาก