Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 204

Cover Renegade Immortal 1

204. กระจกโบราณและธงกฎเกณฑ์

หลังจากจัดตั้งกฎเกณฑ์ลง หวังหลินหยุดมองหยุนเฟยพลันโบกมือหนึ่งครั้ง เขาแบ่งถ้ำออกเป็นครึ่งส่วน แบ่งพื้นที่อยู่อาศัยออกจากกันรวมไปถึงวางกฎเกณฑ์หนึ่งกั้นไว้

หวังหลินนั่งขัดสมาธิภายในถ้ำพร้อมกับชี้นิ้วบนระหว่างคิ้ว ทันใดนั้นภูติผีตัวหนึ่งปรากฎขึ้น ภาพของมันเลือนลางไม่ชัดเจนและมีขนาดเท่าแปดฝ่ามือเท่านั้นแต่มันมีรูปร่างเป็นอสูรตนหนึ่ง

ภูติผีตัวนี้คือปิศาจตัวที่สองซึ่งหวังหลินได้รับมาในดินแดนเทพโบราณ

หลังปิศาจน้อยปรากฎตัว มันลอยกลางอากาศและไม่เคลื่อนไหวพร้อมกับรอคอยหวังหลินออกคำสั่ง นับตั้งแต่หวังหลินสร้างแกนพลังของตนเอง ความรู้สึกกระด้างกระเดื่องเล็กๆของเจ้าปิศาจน้อยได้หายไปโดยไม่รู้ตัว

หวังหลินชี้นิ้วไปที่มัน ร่างภูติผีของมันได้เลือนหายไปจนมันหายวับไป แต่หากหวังหลินใช้พลังของวิญญาณกลืนกิน เขาจะรู้สึกได้ชัดเจนว่าเจ้าปิศาจน้อยยังคงอยู่

เขาส่งข้อความหนึ่งให้เจ้าปิศาจน้อยด้วยสัมผัสวิญญาณ และมันเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบไปทางหยุนเฟยและวางกฎเกณฑ์ที่หวังหลินพึ่งสร้างไว้บนตัวเธอ

หยุนเฟยไม่รับรู้ถึงกระบวนการนี้เลย

หลังทำเรื่องพวกนี้ หวังหลินไม่ให้ความสนใจใดๆกับเธออีกต่อไป เขานั่งที่นี่และจัดเรียงความคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนเทพโบราณที่ผ่านมาสองร้อยปี

ในช่วงเวลานี้ เขาเผชิญหลากหลายสิ่งและเกือบตายหลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเห็นสรวงสวรรค์ ไม่สามารถบอกได้ว่าส่วนไหนจริงหรือส่วนไหนไม่จริง

หลังผ่านไปเวลานาน หวังหลินถอนหายใจ แม้เขาจะได้รับมรดกแห่งภูมิปัญญา แต่มันเป็นเพียงส่วนเดียวของมรดกที่แท้จริง อีกส่วนก็คือมรดกแห่งพลังอำนาจ

เจ้าของทะเลโลหิตจะไม่แค่ยอมแพ้ เมื่อเขาหาทางออกจากดินแดนเทพโบราณมาได้ สิ่งแรกที่จะทำก็คือหาตัวหวังหลินซึ่งนำมรดกแห่งภูมิปัญญาไปและขโมยมันคืน

เมื่อหวังหลินสูญเสียมรดกแห่งภูมิปัญญา เขาจะไม่มีทางปกป้องตัวเองได้

เรื่องนี้ราวกับภูเขายักษ์ทับลงบนอก

แต่ภายใต้การวิเคราะห์ของหวังหลิน หากชายผมแดงต้องการออกดินแดนเทพโบราณจริงๆมันจะไม่เป็นเรื่องง่ายนัก ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ต้องกังวลกับเขาตอนนี้

ทว่าการเตรียมการไว้บางส่วนยังเป็นสิ่งจำเป็น หวังหลินตัดสินใจว่าเมื่อเขาปักหลักในเมืองฉีหลิน เขาจะให้หยุนเฟยช่วยค้นหาค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณในแผ่นดินใหญ่ของทะเลปิศาจ

หวังหลินมีหินวิญญาณระดับสูงมากกว่ายี่สิบก้อน เพียงพอให้เขาเปิดค่ายกลไปที่ไหนก็ได้ที่ต้องการ

แต่ก่อนจะถึงเรื่องนี้ หวังหลินต้องเรียนรู้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอย่างละเอียด หากเขาไม่เข้าใจมันแม้เขาจะหาวิธีใข้ได้ก็ไม่กล้าใช้อยู่ดี

เรื่องนี้เป็นหนึ่งเหตุผลที่หวังหลินเข้ามาในเมืองฉีหลิน

นอกจากนั้นเขาบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลายแล้วและห่างจากขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพียงก้าวเดียว แต่หนึ่งก้าวนั้นดูเหมือนเป็นก้าวที่ใหญ่ซึ่งไม่อาจจะข้ามผ่านไปได้

หวังหลินไม่ทราบว่าการสร้างวิญญาณเซียนสำหรับคนอื่นแล้วจะยากเหมือนเขาหรือไม่ แต่สำหรับหวังหลินมันยากมากเกินกว่าที่เขาจินตนาการ เขาใช้ไขกระดูกมังกรและเม็ดยาตัวอื่นที่ควรจะช่วยกระบวนการนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขายังไม่สามารถสร้างวิญญาณเซียนได้

ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการสร้างวิญญาณเซียนเกิดขึ้นเลย

หวังหลินพยายามวิเคราะห์เรื่องนี้ครั้งก่อนเพื่อดูว่ามีสิ่งใดเกี่ยวกับขอบเขตจวี่ของเขาหรือไม่ แต่ด้วยความรู้ความเข้าใจอันน้อยนิดที่เขาได้รับมาตอนที่ขอบเขตจวี่เข้าไปในวิญญาณของเขา สภาวะแปลกประหลาดนี้คงทำให้การบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและการผ่านสามขั้นเป็นเรื่องยากขึ้น

ทว่าหลังคนผู้หนึ่งได้ผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายไปสู่ขั้นตัดวิญญาณได้ หากเปรียบเทียบกับเซียนคนอื่นในระดับเดียวกับ เจ้าของขอบเขตจวี่จะได้รับประโยชน์แน่นอน

ความจริงแล้วเขาไม่มีความเข้าใจขอบเขตจวี่มากนักซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่เขาเข้าเมืองฉีหลินเพื่อหาว่าจะสามารถหาข้อความใดเกี่ยวกับขอบเขตจวี่ได้หรือไม่

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น หลังขบคิดชั่วขณะเขานำกระเป๋าออกมาหลายชิ้น ทั้งหมดคือสิ่งที่เขาได้รับมาขณะที่อยู่ดินแดนเทพโบราณ

สิ่งแรกคือกระเป๋าของจักรพรรดิโบราณ ตอนที่เขาพยายามตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณกลับรู้สึกพลังงานอ่อนโยนได้ผลักสัมผัสวิญญาณของเขาออกมา

สายตาหวังหลินเพ่งไปบนกระเป๋า ขบคิดเล็กน้อยและดูเหมือนจักรพรรดิโบรษณยังไม่ได้ตาย

หวังหลินเหยียดยิ้ม เขาวางกระเป๋าไว้ด้านข้างและมองดูกระเป๋าใบอื่น

กระเป๋าที่ทำให้เขาตื่นเต้นมากที่สุดก็คือกระเป๋าที่เก็บเครื่องมือสิบชิ้นของกลุ่มตั่วมู่ เพียงสะบัดแขนหนึ่งครา เครื่องมือสิบชิ้นก็ออกมาจากระเป๋า

ทั้บสิบชิ้นลอยเบื้องหน้าเขา นอกจากกระบี่จันทร์เสี้ยวที่ยังเรืองแสงจางๆ อีกเก้าชิ้นไม่เรืองแสงเลย

สัมผัสวิญญาณหวังหลินเข้าหาทั้งเก้าชิ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าขณะที่จะสัมผัสพวกมัน ใบหน้าหวังหลินกลับมืดมน แม้ว่าเจ้าของเครื่องมือทั้งเก้าชิ้นตายไปแล้วแต่กลับมีสัมผัสวิญญาณที่ป้องกันหวังหลินไม่ให้ใช้พวกมัน

ดวงตาพลันสว่างขึ้น หวังหลินขบคิดชั่วขณะและจดจำได้ทันทีว่าก่อนที่เครื่องมือจะถูกส่งเข้าหาเขา ชายชราได้ทำตราประทับไว้ทุกชิ้น

หวังหลินขมวดคิ้ว เขาล้อมรอบเครื่องมือด้วยสัมผัสวิญญาณอีกครั้ง คราวนี้เรียนรู้แต่ละชิ้นอย่างละเอียด เขาใช้เวลาไปมากเพื่อมองหาสัมผัสวิญญาณที่ผันผวนบนตัวเครื่องมือ

ผ่านไปเวลานาน ดวงตาหวังหลินตกลงบนกระจกเล็กๆใบหนึ่งและดวงตาเขาจึงสว่างขึ้น จากการสังเกตเครื่องมือทั้งเก้าชิ้น นอกจากกระจกใบหน้า สัมผัสวิญญาณบนอีกแปดชิ้นที่เหลือไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำลายได้ด้วยขั้นแกนลมปราณ

การทำลายสัมผัสวิญญาณเจ้าของจะต้องทำลายสัมผัสวิญญาณซึ่งถูกวางไว้บนกระจกใบนั้น

หวังหลินขบคิดชั่วครู่ ทันใดนั้นนำเครื่องมือชิ้นอื่นกลับไปและเริ่มนำกระจกออกมาด้วยกำลัง

วันเวลาผ่านไป หลังหนึ่งเดือนครึ่งผ่านพ้นไป หวังหลินเดินออกมาจากถ้ำด้วยใบหน้าสงบนิ่งเช่นเดิม เขาทำลายสัมผัสวิญญาณบนกระจกได้สำเร็จเมื่อหนึ่งเดือนก่อน จากนั้นเขาใช้เวลาเจ็ดวันเพื่อเข้าใจพื้นฐานบางส่วน

จากนั้นเขาหลอมมันด้วยดวงไฟของตนเอง 49 วันจนในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์

เขาสัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพของกระจกระหว่างช่วงเวลานี้ ประสิทธิภาพของกระจกโบราณเป็นความลึกลับจริงๆ มันคล้ายคลึงกับวงแหวนดาราล่มสลายซึ่งสัมพันธ์กับร่างอวตาร

หวังหลินเชื่อว่าสิ่งนี้ต้องเป็นสมบัติอันโด่งดังเมื่อนานมาก่อนไม่เช่นนั้นมันก็คงไม่ได้เป็นสมบัติช่วยชีวิตของเซียนยุคโบราณ

แต่ด้วยความรู้ของหวังหลิน เขาไม่รู้จักชื่อของกระจกชิ้นนี้แม้กระทั่งความทรงจำของเทพโบราณกลับไม่มีความรู้เรื่องสมบัติวิเศษมากนัก

นอกจากนั้นร่างเทพโบราณเป็นอาวุธที่ดีที่สุด เทพโบราณไม่ได้หลอมสมบัติบ่อยครั้งและเมื่อพวกเขาทำมัน สมบัติพวกนั้นจะมีพลังเหนือจินตนาการ

แม้กระทั่งตอนนี้ หวังหลินยังคิดถึงพีรามิดสี่เหลี่ยมที่ตู่ซือโยนออกไป

หลังสืบทอดความทรงจำ หวังหลินจึงถือครองความทรงจำที่สร้างสมบัติวิเศษไว้หลายอย่าง ทว่าจำนวนทรัพยากรที่จำเป็นนับว่ามากเกินไป แม้เขาจะใช้ทรัพยากรณ์ทั้งหมดในระบบดวงดาวซูซาคุ เขาก็ยังไม่อาจหลอมมันได้แม้เพียงหนึ่งชิ้น

ตอนนี้เขารู้ชื่อพีรามิดสี่เหลี่ยมนั้นแล้ว มันถูกเรียกว่าพีรามิดดาราเร้นลับ ความสามารถของพีรามิดคือการขโมย หากมันถูกใช้อย่างเหมาะสมจะสามารถขโมยสิ่งใดก็ได้ รวมไปถึงทั้งดาวเคราะห์

พีรามิดนี้ต้องการวัตถุจำนวนน้อยที่สุดของสมบัติทั้งหมดในความทรงจำและมันเพียงสัมพันธ์กับสมบัติชิ้นอื่นๆ

ที่ผ่านมาหนึ่งเดือนครึ่งนอกจากการเรียนรู้กระจก หวังหลินยังเริ่มสร้างธงกฎเกณฑ์ด้วยหินหมึก

ทว่าหวังหลินยังขาดวัตถุดิบบางอย่างสำหรับธงกฎเกณฑ์ เหตุผลที่เขาออกจากถ้ำก็เพื่อออกมาจัตุรัสกลางเมืองและหาวัตถุดิบพวกนั้น

ในระหว่างช่วงเวลานี้เมื่อเขากำลังปรับแต่งกระจก กฎเกณฑ์บนตัวหยุนเฟยถูกกระตุ้นหลายครั้งและทุกครั้งหวังหลินจะสั่งการมันผ่านปิศาจน้อย หลังใช้เวลาไปนาน หยุนเฟยจึงยอมแพ้ต่อโชคชะตาตัวเองไปแล้วและกระทั่งมึนงง

ความจริงหยุนเฟยได้ออกจากบ้านหลายครั้งเพื่อหาผู้เชี่ยวชาญว่าใครสามารถลบกฎเกณฑ์นี้ได้บ้าง และทุกครั้งเธอจะกลับมาด้วยความผิดหวัง

เซียนทุกคนที่หยุนเฟยพบไม่สามารถทำลายกฎเกณฑ์นี้ได้ ทุกคนที่เห็นกฎเกณฑ์นั้นต่างขมวดคิ้ว ในสายตาพวกเขาสิ่งนี้ไม่เหมือนกฎเกณฑ์ใดที่ใช้กันในโลกแห่งเซียนปัจจุบัน แต่มันเหมือนกฎเกณฑ์โบราณมากกว่า

มีคนบางส่วนที่ยังสอบถามถึงเรื่องกฎเกณฑ์ แต่กฎเกณฑ์ได้เป็นเรื่องแปลกของโลกเซียนไปแล้ว ดังนั้นไม่มีคนมากนักที่จะใช้เวลาเพื่อเรียนรู้มัน แม้กระทั่งกฎเกณฑ์ในตัวหยุนเฟยจะพิเศษจริงๆแต่กลับไม่มีใครพยายามเรียนรู้มันเลย

หยุนเฟยระมัดระวังอย่างมากเมื่อเธอพบคนที่พยายามทำลายกฎเกณฑ์ เธอกลัวว่าจะทำให้ข้อมูลหวังหลินรั่วไหลและถูกเขาสังหารก่อนที่จะทำลายกฎเกณฑ์ลงได้

เธอไม่รู้ว่าทุกสิ่งที่เธอทำได้ถูกหวังหลินสังเกตการณ์ผ่านปิศาจน้อยไว้แล้ว เขาเห็นทุกสิ่งและหัวเราะในใจอย่างเยือกเย็น คิดได้ว่าเธอกำลังมองหาที่ตาย

หวังหลินเดินออกจากห้องศิลาและกำลังจะมุ่งหน้าออกจากถ้ำเข้าสู่เมืองขณะที่ทันใดนั้นถ้ำเปิดขึ้นและหยุนเฟยเดินออกมาด้วยใบหน้าคิ้วขมวด หวังหลินหยุดลงสร้างผนึกบนฝ่ามือและหายตัวไปทันที

หลังหยุนเฟยเข้ามาในถ้ำ เธอมองตรงไปที่ห้องหวังหลินพลันมีสายตาขื่นขม

หวังหลินมองเธอ สิ่งที่สตรีคนนี้ทำไปได้ทำให้เขาต้องการสังหารเธอเรียบร้อย หลังเธอเดินเข้าห้องตัวเอง หวังหลินจึงออกจากถ้ำและเข้าไปใจกลางเมืองฉีหลิน

ข้างในเมืองฉีหลินมีขนาดใหญ๋มาก มันมีร้านค้าหลายร้านที่ขายของหลายแบบ การเดินในเมืองทำให้หวังหลินเจอเหล่าเซียนหลายคนหลากหลายระดับฝึกฝน คนแข็งแกร่งมีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลายและอ่อนสุดคือขั้นรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งหรือขั้นสอง

หวังหลินเดินรอบๆอย่างลวกๆ วางสายตาบนร้านกับสิ่งที่เขาต้องการขณะเดียวกันสัมผัสวิญญาณเชื่อมต่อกับเจ้าปิศาจน้อยอย่างสม่ำเสมอขณะที่จดจ้องว่าหยุนเฟยกำลังทำอะไร เธอเข้าไปที่มุมห้อง เปิดแผ่นหินและนำเตาหลอมยาออกมาและจากนั้นเธอวางมันกลับไปพักผ่อนในห้องโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

เห็นสิ่งนี้แล้วหวังหลินเยาะเย้ยในใจ ชีวิตเธอตกอยู่ในกำมือเขาเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รีบสังหารเธอ เขาตั้งใจเพื่อมองหาว่ามีใครในเมืองฉีหลินไหมที่สามารถทำายกฎเกณฑ์ได้และอีกทางหนึ่งก็เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งที่เขาได้วางเอาไว้

ด้วยแผนนี้ในใจ เขาจึงจับตาดูเธอผ่านสัมผัสวิญญาณและมองหาวัตถุดิบที่ต้องการไปด้วย

ขณะที่กำลังเดินไป ทันใดนั้นสายตาหวังหลินเพ่งไปบนร้านหนึ่ง ร้านนี้มีการตกแต่งสูงห้าชั้นด้วยการสลักมังกรและฟีนิกซ์ซึ่งปลดปล่อยพลังปราณออกมา มีหินหยกขาวขนาดใหญ่สลักด้วยคำสามคำ “ศาลาหลอมสมบัติ”

มองไปที่ศาลานั้น หวังหลินเผยรอยยิ้มประหลาดใจ เขาจำได้เมื่อตอนที่อยู่เมืองหนานต้าวและเข้าไปที่ศาลาหลอมสมบัติแห่งหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนหนังมังกรกับเตาหลอมยาซึ่งทำให้คนหลายคนไล่ล่าเขาและจบลงด้วยการนองเลือด

เขาจบลงด้วยการยกเตาหลอมยาซึ่งทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้กับลี่มู่หวาน

เมื่อคิดเรื่องนี้ รูปร่างของหญิงสาวอ่อนโยนและบอบบางปรากฎในใจเขา หวังหลินถอนหายใจ เขารู้ว่าลี่มู่หวานชอบเขาแต่หวังหลินมีเรื่องอาฆาตแค้นที่ไม่สามารถลืมเลือนได้ ความโหดร้ายใจโลกแห่งเซียนทำให้เขาไม่สามารถผูกสัมพันธ์กับใครได้จริงๆ เพราะหากเขาเกิดเรื่องร้าย เธอก็จะได้รับอันตรายไปด้วย

หลังผ่านประสบการณ์มา หัวใจหวังหลินจึงกลายเป็นหนาวเย็น เขาตัดใจกับตัวเองว่าจะไม่ผูกสัมพันธ์กับใครตราบใดที่เขายังแข็งแกร่งไม่พอเพื่อปกป้องคนอื่นได้

เพียงกระพริบตา สองรอยปีผ่านไปลี่มู่หวานอาจจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

เขาบังคับให้ลืมร่างลี่มู่วานจากในใจ หัวใจหนาวเหน็บอีกครั้งขณะที่เดินเข้าศาลาหลอมสมบัติแห่งนี้

ภายในศาลาหลอมสมบัติไม่ได้แตกต่างกับร้านที่อยู่ในเมืองหนานต้าวไปซะทั้งหมดนอกจากจะมีเพิ่มมาอีกหนึ่งชั้น

หลังหวังหลินเข้าไป เขามองรอบๆอย่างลวกๆและเดินขึ้นไปชั้นบน จังหวะที่เดินขึ้นไปชั้นสองเขาหยุดกึกและสายตาจดจ้องบนกำแพงซ้าย

บนกำแพงแขวนหนังมังกรยักษ์ไว้หนึ่งผืน หนังชิ้นนี้สมบูรณ์มากจนรู้สึกราวกับมีมังกรอาศัยอยู่ในห้อง

บนชั้นที่สองของศาลาหลอมสมบัติมีเด็กสาวคนหนึ่งสวมชุดราตรีผ้าไหมสีฟ้านั่งอยู่ เธอกำลังทานเมล็ดทานตะวันขณะเห็นหวังหลินจ้องไปที่หนังมังกร เธอใช้วิชาพิเศษของศาลาหลอมสมบัติเพื่อมองหวังหลินและพบว่าเขามีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลาย

เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสและสวยงาม “หนังมังกรเกือบสมบูรณ์ชิ้นนี้ที่ศาลาเรามี ไม่ได้มีไว้เพื่อขายเว้นแต่ว่ท่านจะมีของบางสิ่งที่เทียบเท่ามาแลกเปลี่ยน”

หนังมังกรชิ้นนี้ทำให้หวังหลินรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากโดยเฉพาะเส้นผิวหนังที่เชื่อมเข้าด้วยกัน คล้ายคลึงกับหนังที่หวังหลินแลกกับเตาหลอมยาไป

หวังหลินขบคิดชั่วขณะและถามขึ้น “ข้าขอถามได้ไหมว่าได้สิ่งนี้มาจากที่ใด?”

หากหวังหลินถามตอนที่เขาขั้นแกนลมปราณระดับต้น เขาอาจจะไม่ได้รับคำตอบ แต่ตอนนี้เขาขั้นแกนลมปราณระดับปลายและใกล้กับขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ระดับฝึกฝนของเขาสูงพอให้เด็กสาวตอบคำถาม เธอหัวเราะและพูดขึ้น “ผู้อาวุโสไม่ใช่คนแรกที่ถามว่าได้มันมาจากที่ไหน นอกจานั้นแล้วการได้หนังมังกรชิ้นสมบูรณ์นั้นยากเกินไปและหนังมังกรชิ้นนี้ถูกเลาะออกจากมังกรที่พึ่งจะตายเสียด้วย”

หวังหลินพยักหน้า สายตาเคลื่อนจากหนังมังกรไปบนเด็กสาว

เด็กสาวนำเมล็ดทานตะวันในมือกลับไปและยิ้มหวาน “ด้วยความสัตย์จริง ผู้น้อยไม่รู้ว่าใครได้หนังมังกรชิ้นนี้มา มันถูกแลกเปลี่ยนในร้านสาขาเมืองหนานต้าวนอกทะเลปิศาจกับเตาหลอมยาหนึ่งเตา ลือกันว่าเซียนที่แลกหนังมังกรตายไปแล้วนอกทะเลปิศาจ”

“จากจังหวะที่เซียนผู้นั้นออกจากเมืองหนานต้าว เขาถูกเซียนขั้นแกนลมปราณหลายคนไล่ล่ารวมถึงระดับกลางและเซียนผู้นั้นเป็นเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายในตอนนั้น เดิมทีไม่มีสิ่งใดผิดปกกับเซียนคนนั้นซึ่งก็น่าจะตาย แต่เขาทะลวงผ่านขั้นแกนลมปราณระหว่างการไล่ล่าและเปลี่ยนกลับเป็นสังหารเซียนทั้งหมดที่ไล่ล่าเขา ทั้งยังบังคับให้เซียนขั้นแกนลมปราณระดับกลางให้ใช้อาญาสิทธิ์สั่งตายร้อยวันหมื่นปิศาจอีก”

ใบหน้าหวังหลินสงบเงียบเมื่อฟังเรื่องทั้งหมด หลังเด็กสาวพูดจบหวังหลินจึงพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลังเดินผ่านเข้าไปในศาลา เขาจ่ายหินวิญญาณระดับกลางสามสิบก้อนและซื้อวัตถุดิบที่ต้องการมา จากนั้นหวังหลินจ่ายหินวิญญาณเพิ่มเพื่อซื้อหยกที่ระบุตำแหน่งค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ จากนั้นเขาออกมาโดยไม่หันหลังกลับไปมอง

หนังมังกรชิ้นนั้นยังแสดงอย่าสงบเงียบบนกำแพงชั้นสองของศาลา

หวังหลินพึงพอใจอย่างมากกับวัตถุดิบ เขามีวัตถุดิบทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับธงกฎเกณฑ์ ความจริงกล่าวได้ว่านอกจากหินหมึก วัตถุดิบอื่นทั้งหมดไม่ใช่สิ่งหายากดังนั้นมันจึงซื้อได้ง่ายดาย

เมื่อวางวัตถุดิบไว้อีกด้านหนึ่ง หวังหลินไม่พึงพอใจอย่างมากับหินหยก แม้กระทั่งในศาลาหลอมสมบัติกลับไม่มีข้อมูลมากนักเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ​กระทั่งหินหยกนี้มีเพียงบันทึกที่กระจัดกระจายอยู่บางส่วน

สำหรับข้อมูลเรื่องขอบเขตจวี่ หวังหลินไม่ได้ถามตรงๆ เขาถามไปแบบอ้อมๆแต่ไม่ได้พบอะไร

หลังกลับมาที่ถ้ำ หยุนเฟยยังคงอยู่ในห้องของเธอ เมื่อตรวจสอบเธอแล้วหวังหลินจึงกลับไปที่ห้องตัวเองและเริ่มสร้างธงแห่งกฎเกณฑ์

ระดับฝึกฝนของเขาสูงมากกว่าหยุนเฟยดังนั้นเมื่อเขาเข้ามา หยุนเฟยจึงไม่ได้สังเกต

หวังหลินนำหินหยกที่ได้มาจากบททดสอบที่สองในดินแดนเทพโบราณออกมาซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างธงแห่งกฎเกณฑ์ เขามองในหินหยกอีกครั้งก่อนจะบดขยี้ในมือ

หลังนำหินหมึกออกมาและส่งพลังปราณเข้าไป เขานำวัตถุดิบชิ้นอื่นรวมเข้าด้วยกันตามคำแนะนำ

จากนั้นเมื่อทำตามการแนะนำของหินหยก หวังหลินนำพลังจิตวิญญาณโลหิตออกมาและเริ่มกระบวนการหลอม

กระบวนการนี้ถูกเรียกกันว่า “ยกระดับอุปกรณ์” ในหินหยก

กล่าวได้ว่ากระบวนการหลอมธงแห่งกฎเกณฑ์ได้แตกต่างจากกระบวนการหลอมสมบัติที่เขาเรียนรู้จากเจดีย์เทพสงคราม ทั้งสองวิธีไม่ได้แค่มีระบบที่แตกต่างกันเท่านั้นแต่ยังแบ่งเป็นดินแดนที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง

เวลาของการยกระดับอุปกรณ์จะนานหรือช้าขึ้นอยู่กับสิ่งจำเป็นของธงกฎเกณฑ์

หากสามารถวางกฎเกณฑ์ 999,999 บนธงกฎเกณฑ์ได้นั่นจะเป็นสิ่งดีที่สุด แต่ในความจริงธงกฎเกณฑ์มีอยู่สี่ระดับ

สี่ระดับนี้แบ่งออกโดยจำนวนกฎเกณฑ์บนธงซึ่งก็คือ 999 กฎเกณฑ์ 9,999 กฎเกณฑ์ 99,999 กฎเกณฑ์และระดับสุดท้ายคือ 999,999 กฎเกณฑ์

ป้าหมายแรกของหวังหลินคือ 999 กฎเกณฑ์

วันต่อมาหวังหลินนั่งในห้อง เคลื่อนไหวฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง หวังหลินเพ่งสมาธิมากขึ้น ฝ่ามือเปลี่ยนไประหว่างผนึกหลายชิ้นและทันใดนั้นชี้ไปที่ธง ภาพติดตาที่ฝ่ามือได้สร้างวงกลมมายาไว้และร่อนลงบนธงขาว

ขณะที่กฎเกณฑ์ถูกวางลงไป มันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสร้างเป็นจุดสีดำหนึ่งจุดบนธง ในตอนนี้มีจุด 12 จุดบนธง เมื่อมีครบ 999 จุด การสร้างธงกฎเกณฑ์ระดับต่ำที่สุดจะเป็นอันสำเร็จ

หวังหลินระมัดระวังอย่างมากระหว่างกระบวนการนี้ แม้ว่าเขาจะสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นหลายสิบครั้งคืนนี้ทว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่จะวางบนธงได้สำเร็จ

หลังพยายามหลายครั้ง หวังหลินพบว่าธงนั้นสามารถนำกฎเกณฑ์แบบเดียวกันได้ 9 ชิ้นในครั้งเดียว เมื่อกฎเกณฑ์ชิ้นที่สิบถูกวางลงไป ทั้งเก้าชิ้นก่อนหน้าจะหายไปทันที

หลังพักผ่อนไปชั่วขณะเมื่อหวังหลินกำลังจะวางกฎเกณฑ์ชิ้นที่สิบสามลงบนธง เขายกศีรษะขึ้นและจ้องไปที่ห้องหยุนเฟย สายตามีความเยือกเย็น

มองผ่านปิศาจน้อ หวังหลินเห็นได้ว่าหยุนเฟยนำเตาปรุงยาออกมาอีกครั้ง เตาปรุงยาชิ้นนี้มีความเก่าแก่มากและแถบกระดาษสีเหลืองมีแสงจางๆ

เธอลังเลชั่วขณะจากนั้นกัดฟันแน่น แทนที่จะเก็บเตาปรุงยาเข้ากระเป๋าแต่ถือไว้ในมือแทนและเดินออกจากห้องตัวเองเงียบๆ ภายนอกห้องเธอมองไปที่ห้องหวังหลินด้วยแววตาเกลียดชังแต่ฟื้นคืนขึ้นอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวยืนนอกห้องหวังหลินและถามขึ้น “ท่านอาวุโสยังอยู่ไหม?” หลังถามออกไปเธอไม่ได้เคลื่อนไหวและยังรอคอย

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เธอพูดอย่างเคารพอีกครั้ง “ท่านอาวุโส ผู้น้อยจำเป็นต้องออกเดินทางและอยากขออนุญาตท่าน” หลังเธอพูดจบพลันถอยกลับหลังช้าๆ กระทั่งเธอไปอยู่ที่ทางเข้าถ้ำหวังหลินยังไม่ได้ทำสิ่งใด

สายตาเธอสว่างขึ้น สัมผัสประตูถ้ำเบาๆและจากไป

ระหว่างที่หวังหลินถูกขังในถ้ำของเธอ ไม่ว่าเธอจะออกไปที่ไหนก็จะทำสิ่งนี้ หวังหลินเยาะเย้ยในห้อง หลังเธอจากไปจึงยืนขึ้นและติดตามออกไป

ตอนนี้เธอนำเตาปรุงยาไปด้วย ต้องมีบางสิ่งสำคัญที่จะออกไปและหวังหลินเป็นคนระมัดระวังเรื่องเตาปรุงยาเสียด้วย กล่าวได้ว่าครั้งแรกที่เขาเข้ามาในถ้ำได้ตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณและไม่พบสิ่งใดผิดปกติ

ชัดเจนว่าเตาปรุงยาถูกป้องกันด้วยวิชาบางอย่างจากการตรวจจับด้วยสัมผัสวิญญาณ อีกทั้งหวังหลินได้สังเกตว่าเธอไม่ได้วางมันไว้ในกระเป๋า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!