228. โปรดปราน
หวังหลินมองฉิวซื่อผิง เขายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เด็กสองคนนี้มาจากตำหนักวิเศษ พี่ฉิวควรระวังตัวไว้ตั้งแต่บัดนี้”
ฉิวซื่อผิงยิ้มอย่างขมขื่น หญิงสาวคนนั้นนับว่าไม่เลว ส่วนผู้ชายเป็นถึงศิษย์หลักของตำหนักวิเศษ หากปล่อยให้พวกมันหนีไปได้จริงๆนับว่าสร้างความรำคาญเล็กน้อย เขาอาจจะไม่สามารถก้าวเข้าไปเมืองใดที่ตำหนักวิเศษควบคุมอยู่ได้เลย
แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับคนทั้งสอง คนเบื้องหน้าเขาปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลังทำให้เขาต้องระมัดระวังอย่างมาก ความแข็งแกร่งของหวังหลินตอนนี้ทำให้เขาขนลุกซู่
หวังหลินพูดขึ้น “ถึงอย่างนั้นด้วยระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลายพวกเขา หากพี่ฉิวรีบไล่ล่าไป ท่านอาจจะยังตามทัน”
ฉิวซื่อผิงถอนหายใจและคำนับ “น้องหวังกล่าวสิ่งที่น้องคิดเถอะ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเราตื้นเขิน เรายังผ่านอะไรมาด้วยกัน”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น “ท่านมีแผนที่ของทะเลปิศาจไหม?”
ฉิวซื่อผิงตกตะลึง หลังขบคิดชั่วขณะเขาส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีแผนที่ทะเลปิศาจ หากน้องหวังต้องการก็ลองไปหาในหอสมบัติในเมืองหลักสิ เจ้าอาจจะโชคดีที่นั่น”
แสงเยือกเย็นแล่นผ่านดวงตาหวังหลิน เหตุผลที่หวังหลินไม่สังหารฉิวซื่อผิงเพราะเขาเป็นจอมแผนการ เขาสังหารได้ง่ายๆแต่ก็ยากที่จะให้บอกความจริง
หากหวังหลินคุกคามด้วยความตาย โอกาสที่จะเล่าความจริงนับว่าต่ำมาก
ดังนั้นเมื่อหวังหลินเห็นฉิวซื่อผิงเขาจึงตัดสินใจหยุดการสังหารทั้งสองเพื่อสร้างความรู้สึกเร่งรีบให้
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง “โอ้ จริงหรือ? เช่นนั้นพี่ฉิวควรจะไปเมืองนั้นกับข้า สำหรับท่านมันจะไม่สายไปหรอกหลังจากข้าได้รับแผนที่มา”
ฉิวซื่อผิงขบคิดชั่วขณะและถอนหายใจ แผนการของหวังหลินลึกซึ้งมาก ทั้งหมดมันเร่ิมตั้งแต่ตอนที่เขาปรากฎตัวอย่าสบายๆและชี้ระดับฝึกฝนของฉิวซื่อผิงให้สองคนนั้นเห็นและหนีไปได้
ทั้งหมดนี้อยู่ในการคาดคำนวณของหวังหลินและฉิวซื่อผิงก้าวเข้าไปในแผนของหวังหลินโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าความต้องการของหวังหลินคือบังคับฉิวซื่อผิงให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาต้องสังหารเด็กสองคนจากนั้นช่วยพวกมันไว้เพื่อบังคับให้ฉิวซื่อผิงเล่าความจริง อีกทั้งมีกลิ่นอายที่หวังหลินปลดปล่อยออกมา หากเขาตัดสินใจปากแข็งจนถึงที่สุดเมื่อนั้นหวังหลินจะสังหารเขาโดยไม่คิดมากทันที
ด้วยวิธีนี้จึงเป็นเรื่องง่ายในการทำเรื่องตรงข้ามกับการขมขู่ ฉิวซื่อผิงมองหวังหลินด้วยแววตาซับซ้อน เขานำหยกเปล่าออกมาวางไว้บนหน้าผากและเริ่มประทับแผนที่จากความทรงจำ
หลังไปผ่านช่วงเวลาสั้นๆ เขายื่นหินหยกให้หวังหลิน “หยกนี้บรรจุแผนที่ทั้งหมดของทะเลปิศาจที่ข้าเรียนรู้ตลอดหลายปีที่เดินทางผ่านแคว้นแห่งนี้ มีข้อผิดพลาดบางส่วนแต่ไม่มากนัก หากน้องหวังไม่มีสิ่งใดอื่น ข้าขอตัวก่อน”
หวังหลินรับหินหยก เขาไม่ได้ตรวจสอบแต่คำนับและยิ้มขึ้น “ขอบคุณมาก!”
ฉิวซื่อผิงตกตะลึง เขามองหวังหลินและถาม “เจ้าไม่ตรวจสอบก่อนหรือ?”
หวังหลินยิ้มบางและตอบกลับ “จำเป็นด้วยหรือ?”
ฉิวซื่อผิงหัวเราะ “น้องหวังลาก่อน” เขาคำนับด้วยสองมือและถอยกลับ หลังจากไปไกลเขาตะโกนขึ้น “น้องหวัง ข้าไม่ได้ให้ข้อมูลผิดๆเพื่อหลอกเจ้า สบายใจได้!” เช่นนั้นเขาเคลื่อนที่พริบตาจากไป
หวังหลินถือหยกไว้และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ หินหยกบรรจุแผนที่ของทะเลชั้นในอย่างละเอียดยิบแต่มีพื้นที่ชั้นนอกไม่มากนัก ข้อมูลส่วนพื้นที่ชั้นในมีกระทั่งตำแหน่งของค่ายกลเคลื่อนย้าย
หวังหลินไม่เชื่อว่าจะไม่มีข้อมูลหลอกบนแผนที่นี้แต่เขาไม่ได้พึ่งพาแผนที่นี้เพื่อเดินทางในทะลปิศาจเพียงอย่างเดียว ความตั้งใจของหวังหลินคือค้นหาแผนที่ที่สมบูรณ์หากเป็นไปไม่ได้ แต่หากทำไม่ได้เขาจะค้นหาแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์มาหลายส่วน เมื่อเปรียบกันก็ง่ายที่จะบอกว่าจุดไหนผิดพลาด
จากความเข้าใจของหวังหลินเรื่องทะเลปิศาจ เมืองน้ำหมึกทวนซ้ำอยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือจากตำแหน่งปัจจุบันของเขาไปสิบวัน เมืองน้ำหมึกทวนซ้ำเป็นหนึ่งในหัวเมืองหลักของทะเลปิศาจซึ่งเป็นสิ่งที่เมืองเล็กๆในทะเลส่วนนอกไม่อาจเทียบได้
อีกเหตุผลหนึ่งที่หวังหลินตัดสินใจออกไปเมืองนี้ก็คือจากแผนที่ที่ได้รับมาจากฉิวซื่อผิง มีค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งห่างไปสามแสนลี้จากเมืองนั้น
ระหว่างการเดินทางเข้าเมือง หวังหลินเก็บแกนพลังสัตว์ทุกตัวที่เขาผ่านไป หากเจออสูรระดับสูงเขาเพียงแค่อ้อมมันไป
เจ็ดวันผ่านไปหวังหลินตื่นตัวมากขึ้นและมากขึ้นขณะที่เขาเห็นเหตุการณ์ในทะเลปิศาจด้วยสายตาตัวเอง เขาไม่คิดว่าเพียงแค่ผ่านมาไม่กี่ปีจะมีอสูรป่าเกิดการอาละวาดขึ้น เพียงแค่เส้นทางที่เขาผ่านมาได้เจออสูรระดับสูงมาสองตัวแล้วซึ่งเปรียบได้กับเซียนขั้นตัดวิญญาณได้เลย
น่าเสียดายที่อสูรทั้งสองตัวกำลังฝึกฝนอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง พวกมันจะไม่ไล่ล่าเขาเว้นแต่หวังหลินจะไปรุกรานพวกมัน
การเก็บเกี่ยวของหวังหลินเป็นไปได้ด้วยดีตามเส้นทางเข้าสู่เมือง เขาได้รับแกนพลังมาหลายแกนมาก ทั้งหมดนั้นถูกกลืนไปทันทีโดยใช้กลยุทธ์เทพโบราณและดูดซับด้วยวิญญาณเซียนของเขา
หวังหลินมาถึงตำแหน่งที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ดวงตาเขาสว่างขึ้นขณะที่เหาะขึ้นไปบนอากาศและจดจ้องหุบเขาเบื้องล่าง
สถานที่แห่งนี้เงียบเชียบมาก ไม่มีกระทั่งร่องรอยกลิ่นอสูรตัวใด หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาขณะที่มีใบหน้าเคร่งเครียด เขาไม่พบเจอสิ่งใดผิดปกติแต่กลับมีความรู้สึกแปลกๆกวนใจ
หลังขบคิดชั่วขณะหนึ่งเขาชี้นิ้วตำแหน่งระหว่างคิ้วและอสูรรูปร่างวานรตัวหนึ่งโผล่ออกมา มันเป็นอสูรตัวที่สามที่เขาสร้างมาจากวิญญาณวานร
ตอนที่อยู่ในสำนักเมฆาฟ้าไม่กี่วัน หวังหลินจึงควบคุมเจ้าปิศาจตัวนี้ได้อย่างสมบูรณ์
วานรเป็นอสูรวิญญาณระดับต่ำ ตอนนี้มันกลายเป็นปิศาจตนหนึ่งแล้วมันจึงแข็งแกร่งขึ้น แม้มันยังไม่สามารถกลืนกินวิญญาณเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ ทว่ามันสามารถกลืนกินวิญญาณของเซียนขั้นแกนลมปราณได้ง่ายๆ
ขณะที่เจ้าปิศาจตัวนี้ปรากฎออกมา มันร้องคำราม ร่างกายพร่ามัวพุ่งเข้าไปในหุบเขา มันกวาดผ่านหุบเขาและพบว่าไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด แต่ขณะที่มันกำลังจะกลับไป ปากยักษ์ข้างหนึ่งอ้าออกมาด้านข้างหน้าผาก ในเวลาเดียวกันนั้นแรงดึงดูดขนาดใหญ่ดึงเจ้าปิศาจเข้าไปข้างในแต่มันไม่มีร่างกายเป็นตัวเป็นตนดังนั้นจึงหนีออกมาอย่างง่ายดาย
ปากบนหน้าผากค่อยๆปิดลง
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาสะบัดแขนและนำกระบี่พิษที่ได้รับจากเมิ่งหลังค่อมออกมา เขาพุ่งเข้าหาปากที่กำลังปิดอย่างรวดเร็วและเฉือนลงไป
เสียงก้อนหินร่วนลงสะท้อนผ่านทั่วพื้นที่ หวังหลินขมวดคิ้ว เขารีบใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อควบคุมกระบี่ให้ลอยรอบๆขณะที่มันส่งเสียงหึ่ง
หวังหลินจดจ้องข้างหน้าผาที่ปิดไปแล้ว หลังขบคิดชั่วขณะเขาสร้างผนึกและเอ่ยขึ้น “เปลวไฟน้ำแข็ง ปรากฎ!”
เปลวไฟสีฟ้าปรากฎขึ้น เปลวไฟนี้ถูกสร้างขึ้นมาตอนที่หวังหลินสำเร็จการฝึกวิถีนรก เมื่อเขาบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเปลวไฟนี้รวมเข้ากับพลังวิญญาณของเขาและแข็งแกร่งขึ้น
ขณะที่เปลวไฟปรากฎ อุณหภูมิในพื้นที่ลดต่ำลง ในเวลาเดียวกันเปลวไฟน้ำแข็งเคลื่อนไหวลอยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เปลวไฟสัมผัสกับหน้าผามันเริ่มขยับอย่างประหลาดสร้างเป็นรูปร่างใบหน้าคนและพยายามกลืนกินเปลวไฟ
แต่เมื่อมันสัมผัสกับเปลวไฟน้ำแข็ง ชั้นน้ำแข็งบางๆเริ่มกระจายไปบนหน้าผาก ไม่กี่ลมหายใจทั้งหน้าผาปกคลุมในน้ำแข็งและใบหน้านั้นถูกแช่แข็งทันที
หวังหลินมองมันเล็กน้อยและประหลาดใจมาก นี่ต้องเป็นอสูรตัวหนึ่งที่สามารถอาศัยอยู่ในหน้าผาได้และกระทั่งเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ได้
หลังครุ่นคิดหวังหลินจึงเคลื่อนไหวทันทีและเข้าไปในหุบเขา มีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอยู่ในหุบเขาจริงๆแต่มันเสียหายหนักเกินจะใช้งานได้ เขานำหินหยกออกมาและบันทึกค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไว้
หลังจากนั้นร่างกายจึงหายไปและปรากฎตัวด้านหน้าหน้าผา เขาสะบัดแขนขวาและน้ำแข็งควบแน่นกลับเป็นเปลวไฟน้ำแข็งและเข้าสู่ฝ่ามือ
หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าบนหน้าผาเริ่มขยับอีกครั้ง ดวงตาจ้องไปที่หวังหลินขณะที่มันคำรามอย่างไม่เป็นมิตร
ยิ่งหวังหลินมองมันก็ยิ่งสนใจ อสูรตัวนี้เป็นเพียงอสูรวิญญาณระดับต่ำที่ไม่แข็งแกร่งมากนัก ดังนั้นมันจึงเปรียบได้กับขั้นแกนลมปราณระดับปลาย แต่ความสามารถในการซ่อนตัวเองนับว่าน่าทึ่ง หวังหลินปิดด่านฝึกตนมานักต่อนัก หากเขาได้อสูรเช่นนี้มาปกป้องนับว่าดีทีเดียว น่าเศร้าที่ระดับฝึกฝนของอสูรตัวนี้มีขีดจำกัด
แต่หวังหลินมีแกนพลังเก็บไว้ในกระเป๋าจำนวนมาก ด้วยเรื่องนี้เขาสามารถนำมาเพิ่มให้กับอสูรตัวนี้ได้สักเล็กน้อย เขาสร้างผนึกในฝ่ามือและเริ่มร่ายมนต์
จากนั้นตะโกน “ทำลาย!”
เมื่อวิชาเซียนร่อนลงบนหน้าผา หน้าผาส่งเสียงดังก้องขณะที่รอยร้าวปรากฎทั่วบริเวณ รอยร้าวขยายใหญ่ขึ้นจนหน้าผาพังทะลาย ร่างสีดำพุ่งออกมาไปทางทิศใต้
หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและล๊อคไปบนร่างอสูร เขาเห็นอสูรตัวหนึ่งที่มีจะงอยปากยาวมาก
อสูรตัวนี้ให้ความรู้สึกน่าขนลุกโดยเฉพาะปากของมันซึ่งมีความยาวอย่างน้อยเท่าคนหนึ่งคนและดูน่ากลัวมาก
หวังหลินลูบคางตนเองจากนั้นตามหลังมันอย่างระมัดระวัง เขาชี้นิ้วไปที่คิ้วตนเองและเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิศาจหมายเลขสามออกมาไล่ล่า
ฉวี่ลี่กั๋วร้องคำราม เมื่อมันโผล่ออกมาพลันมีสีหน้าตื่นเต้นมาก แต่ในไม่ช้าที่มันเห็นอสูรประหลาด มันหยุดลงและลอบคิด ‘เข้าใจอะไรผิดหรือไม่? นี่มันอะไร? มันน่าเกลียดกว่าเจ้าหมายเลขสองได้ยังไง? ข้าควรจะปล่อยให้เจ้าโง่หมายเลขสามเข้าไป หากมันอ่อนแอข้าค่อยเข้าไปและขโมยเครดิต’