265. หิมะกำลังเปลี่ยน
สิบปีผ่านไปตั้งแต่ที่เขาสัมผัสถึงเขตแดนของตนเองได้ หวังหลินอาศัยบนถนนสายนี้มามากกว่าสามสิบปีแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเป็นคนแก่ เส้นผมทั้งหมดสีขาวและมีรอยเหี่ยวย่นลึกบนหน้าผาก
แม่ของต้าหนิวจากไปด้วยความเศร้าโศกเมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนนี้ต้าหนิวบริหารร้านเหล็กด้วยตัวเองเหมือนเพื่อของเขาเมื่อก่อน เขาสนับสนุนครอบครัว รักภรรยาและสอนลูกชายที่กำลังเติบโตเพื่อวันหนึ่งอาจจะบริหารร้านต่อไป
ฉากเหตุการณ์นี้แทบเหมือนกับตอนที่หวังหลินมาถึงครั้งแรก มีเพียงผู้คนเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
แต่ฉากเหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ยาวนาน สามปีก่อนลูกชายของต้าหนิวชื่อว่าเสี่ยวหนิว ถูกต้องตากับเซียนแปลกหน้าจากสำนักเมฆาขาวและถูกรับไปเป็นศิษย์คนหนึ่ง
ในปีนั้นเซียนแปลกหน้าได้ตั้งชื่อเขาให้ใหม่ว่า เหวินโจว
ต้าหนิวภูมิใจมากที่ลูกชายกำลังจะกลายเป็นเซียน เขาเที่ยวบอกทุกคนที่รู้จักและในไม่นานทุกคนสองข้างถนนต่างรู้เรื่องนี้
หวังหลินไม่ได้แปลกใจเรื่องเหวินโจวที่ถูกเซียนแปลกหน้าของสำนักเมฆาขาวรับเขาไป หวังหลินรับรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวหนิวมีร่างกายเหมาะกับการฝึกฝนตอนที่เขายังเล็กและพรสวรรค์ของเขาดีกว่าหวังหลินมากกว่าหลายเท่าตอนที่หวังหลินเริ่มต้น
หวังหลินทำสิ่งนี้เพราะความสัมพันธ์เดียวที่เขามีในทั้งเมืองหลวงก็คือครอบครัวของต้าหนิว ดังนั้นหวังหลินจึงให้เม็ดยาเสี่ยวหนิวหลายเม็ดเพื่อปรับเปลี่ยนร่างของเขา
ซึ่งทำให้พรสวรรค์ของเสี่ยวหนิวดียิ่งไปอีกดังนั้นจึงไม่แปลกในที่เขาจะต้องตาเซียนสำนักเมฆาขาว แม้ว่าเซียนคนนั้นจะมีระดับเพียงขั้นแกนลมปราณ หลังจากหวังหลินสังเกตการณ์จึงพบได้ว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากซุนต้าซื่อที่เคยเป็นอาจารย์ของหวังหลิน
ดังนั้นหวังหลินจึงไม่แทรกแซงและเพียงแค่ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ เขาช่วยทั้งหมดเท่าที่ช่วยได้ไปแล้ว เรื่องที่เหวินโจวจะเป็นอย่างไรในอนาคต เขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีก
หลังเสี่ยวหนิวจากไป ต้าหนิวจ้างคนงานเพิ่มอีกเล็กน้อย ความจริงเรื่องนี้ได้ฝืนกฎของพ่อเขาไว้ จากคำของพ่อต้าหนิว สิ่งที่พวกเขาขายก็คือฝีมือของเขา หากคนอื่นเรียนทักษะนี้จะไม่เป็นการยกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองหรอกหรือ?
แต่ดูเหมือนว่าต้าหนิวจะไม่ฟังคำพูดของพ่อ หลังจากจ้างคนงาน เขาก็หยุดสนใจงานในร้านและกลับมางานอดิเรกเดิมคือการมองดูหวังหลินแกะสลักทุกวันแทน
การที่มีต้าหนิวรับใช้รอบๆหวังหลินเสมอแบบนี้ ทำให้หวังหลินนึกถึงความทรงจำเมื่อก่อน
บางทีเป็นเพราะหวังหลินมองดูต้าหนิวเติบโตขึ้น นับตั้งแต่ที่แม่ของเขาตาย เขามักจะเข้ามาหาหวังหลินทุกปีใหม่พร้อมกับภรรยาและอาหาร ต้าหนิวนับถือหวังหลินเหมือนครอบครัวของเขาเองแล้วในตอนนี้
ภรรยาของต้าหนิวเป็นลูกสาวเจ้าของร้านเสื้อผ้า นางเป็นสตรีฉลาดมาก เมื่อเห็นว่าสามีของนางมองหวังหลินอย่างไร นางจึงค่อยๆปฏิบัติกับหวังหลินเสมือนเป็นผู้อาวุโสของครอบครัวตัวเอง
เป็นผลให้ในปีสุดท้ายของชีวิตหวังหลินกับการเป็นคนธรรมดาในเมืองหลวง หวังหลินสามารถรับรู้ความรู้สึกอบอุ่นของครอบครัวได้ ความอบอุ่นนี้แปลกประหลาดต่อหวังหลินยิ่งนักแต่เขาก็ไม่ปฏิเสธมัน
ซิ่วเต๋าเปลี่ยนจากชายวัยกลางคนไปเป็นชายชราพร้อมกับผมสีขาวบางส่วนเช่นกัน ตำแหน่งปัจจุบันของเขาตอนนี้ได้พุ่งทะยานขึ้นจากเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้เขาเป็นอัครมหาเสนาบดีให้กับราชา ราชาไม่ใช่คนเดิมแต่เป็นองค์ชายของเขาเมื่อก่อนนั่นเอง
หลังองค์ชายกลายเป็นราชา เครื่องบรรณาการขอวเขาไม่ได้ลดลงแต่กลับมีแต่เพิ่มขึ้น ทุกปีเขาจะเข้ามาหาหวังหลินเป็นการส่วนตัวและโขกคำนับโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งของตัวเองเลย
หลายปีมานี้หวังหลินเริ่มชื่นชมองค์ชายจริงๆ นอกจากนั้นเขายังเป็นราชาในโลกคนธรรมดา การที่จะก้มหัวลงต่ำเช่นนั้นต้องให้ความมุ่งมั่นสูงมาก
บางทีเป็นเพราะเขาได้รับประสบการณ์มามากและตระหนักได้ว่ามีคนที่สามารถสังหารเขาด้วยเพียงแค่นิ้วเดียวและไม่มีใครจะสนใจ
หนึ่งในเหตุผลที่เขาเคารพต่อหวังหลินก็คือดึงหวังหลินเข้ามาข้างเขาเพื่อที่จะได้มีชีวิตที่เงียบสงบ
ในฤดูหนาวนี้ หิมะตกอย่างนัก สามสิบกว่าปีที่หวังหลินอยู่ที่นี่เขาไม่เคยเห็นหิมะตกหนักขนาดนี้มาก่อน มันปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง หิมะบนชั้นดาดฟ้าและต้นไม้สูงเท่าเด็กสี่ถึงห้าขวบทีเดียว
ดาดฟ้าจำนวนมากพังลงภายใต้แรงกดดันของหิมะทั้งหมดนี้ คนที่อ่อนแอกระทั่งแข็งตายก็ยังมี เกือบทุกเช้าจะมีหนึ่งถึงสองคนที่ร่างแข็งตายอยู่ที่มุมถนน
หิมะนี้ประหลาดยิ่งนัก คนบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่นี่หลากหลายช่วงอายุได้รวมตัวกันในร้านอาหารและเริ่มพูดคุยถึงว่าหิมะไม่ได้ตกหนักแบบนี้มาหลายร้อยปี
หิมะตกลงอย่างต่อเนื่องและค่อยๆปกคลุมรอยเท้าคนที่เดินอยู่รอบๆ ไม่นานนักรอยเท้าก็ถูกปกคลุมจนมืดและสังเกตไม่ออก
เหตุการณ์นี้บังคับให้ร้านจำนวนมากในเมืองหลวงปิกตัวลง ถนนที่หวังหลินอยู่ค่อนข้างห่างไกล ดังนั้นหลังจากหิมะตกไปหนึ่งวันก็ไม่อาจเห็นใครอยู่ข้างนอกอีก ผู้คนทั้งหมดกำลังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน นั่งลงหน้าเตาผิงเพื่อรักษาความอบอุ่นและรอให้หิมะผ่านไป
หิมะครั้งนี้แปลกประหลาดมากจริงๆ ขณะที่หิมะเริ่มตก หวังหลินรับรู้ได้ทันทีว่าในหิมะมีร่องรอยเจตนาฆ่าฟัน เจตนานี้เบาบางมากแต่เมื่อพูดว่าหิมะนี้ปกคลุมทั้งพันมิตรสี่สำนักมันจะเป็นจิตสังหารที่มหึมาที่สุด
เหตุผลที่อุณหภูมิลดลงเร็วก็เนื่องมาจากเจตนาฆ่าฟันนี้
หิมะนี้ไม่ได้มาจากก้อนเมฆแต่ปรากฎออกมาจากชั้นบรรยากาศบางๆในท้องฟ้า ไม่เช่นนั้นจะมีก้อนเมฆใหญ่พอให้ปกคลุมไปทั่วทั้งพันธมิตรสี่สำนักได้อย่างไร?
เมื่อหิมะตกในวันที่สาม เสาทั้งเก้าในเมืองหลวงถูกแบ่งครึ่งออกจากกันด้วยสายฟ้าจากท้องฟ้า เหล่าเซียนข้างในไม่มีเวลาพอให้หลบหนีจึงถูกสายฟ้าสังหารทันที
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เสาทุกต้นแบบนี้ในเมืองอื่นๆของพื้นที่พันธมิตรสี่สำนักถูกทำลายด้วยสายฟ้าจากท้องฟ้าเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน เพิ่มเติมจากที่หิมะกำลังตก มีหินหยกนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตกของแคว้น แม้ว่าหินหยกพวกนี้จะเร็วมาก แต่เมื่อพวกมันพบเจอเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณ พวกมันจะตกเข้าใส่ฝ่ามือทันที
หนึ่งในหินหยกพวกนั้นลอยกลับเข้ามาหาหวังหลิน หลังจากเขาสะบัดแขนมันยังผ่านมือเขาไปเข้าใส่ฝ่ามือหวังหลินตรงๆ
หวังหลินกำหินหยกในมือและตรวจสอบมันจนได้ยินเสียงแหบพร่าพูดขึ้น “เซียนทุกคนในพื้นที่พันธมิตรสี่สำนักจงเตรียมตัวทำสงคราม สำนักทั้งสี่แห่ง สำนักหมึกวารี สำนักเมฆาขาว สำนักพฤกษาเขียวและสำนักวิญญาณดำขอเรียกให้เซียนทุกตนรวมตัวกัน จงรับความเสี่ยงด้วยตัวท่านเอง!”
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะบดขยี้หินหยกในมือ เขาหายไปจากร้านและเมื่อปรากฎตัวก็อยู่ในท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงแล้ว
หลังจากปรากฎตัว ร่างกายขยับเคลื่อนไหวและเริ่มลอยขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ในระยะที่มากกว่าหนึ่งหมื่นลี้เหนือท้องฟ้า เขาพบกับต้นตอของหิมะ
หวังหลินจ้องท้องฟ้าอยู่ชั่วขณะในที่สุดก็เห็นได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น เขาสามารถเห็นระลอกกฎเกณฑ์บางๆในบริเวณนั้นซึ่งดูเหมือนเอาไว้ซ่อนต้นตอของหิมะ
หากมันเป็นวิชาชนิดอื่นหวังหลินอาจจะมีปัญหาในการทำลายมัน แต่ตราบใดที่เป็นกฎเกณฑ์ หวังหลินไม่กลัว ฝ่ามือขวาตบเหนือดวงตาและแสงประหลาดเปล่งหลั่งออกมา หวังหลินจ้องไปที่อากาศเป็นเวลานานและจากนั้นฝ่ามือเริ่มขยับเขื้อน เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนปรากฎรอบกายเขา
วงกลมมายาวางลงในอากาศและควันสีขาวปรากฎขึ้นราวกับน้ำแข็งกำลังละลาย ท้องฟ้าอันว่างเปล่าค่อยๆเต็มไปด้วยควันสีขาว หลังจากควันสีขาวจางหายออกไป ความจริงจึงเผยออกมา
หวังหลินมองมันอย่างระมัดระวังและใบหน้าเปลี่ยนไปทันที
เขาเห็นรอยแยกกว้างมากกว่าหนึ่งพันฟุตเหนือท้องฟ้าของเมืองหลวง หิมะออกมาจากรอยแยกไม่หมดไม่สิ้น
หวังหลินตรวจสอบพื้นที่ด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่ามีกฎเกณฑ์อย่างน้อยหนึ่งร้อยแห่งภายในระยะหนึ่งหมื่นลี้ นี่เป็นเพียงแค่ภายในหนึ่งหมื่นลี้ จากการคำนวณของหวังหลินมันต้องมีรอยแยกนับไม่ถ้วนเช่นนี้เหนือท้องฟ้าของทั้งพันธมิตรสี่สำนัก
สิ่งที่ทำให้หวังหลินประหลาดใจก็คือในรอยแยกนี้ดูเหมือนจะมีพลังดึงดูดสัมผัสวิญญาณไว้ เมื่อสัมผัสวิญญาณของหวังหลินผ่านเข้าไป เขาจึงรับรู้ได้ทันที
โชคดีที่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินแข็งแกร่งมากดังนั้นเขาจึงสามารถดึงตัวเองออกห่างได้อย่างง่ายดาย
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่ เขากลับไปที่ร้านตัวเองแทนที่จะทำอะไรผลีผลาม เมื่อเขาลดต่ำลงมา ทั้งโลกได้เปลี่ยนเป็นสีขาวราวขณะที่หิมะเริ่มหนักขึ้นไปอีก
หวังหลินกลับไปที่ร้าน เขาสัมผัสได้ว่าเรื่องแย่ๆกำลังจะเกิดขึ้นและเมื่อเขาเห็นรอยแยก ความรู้สึกนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะ นี่คือเขตแดนของพันธมิตรสี่สำนักดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย มีเซียนที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเขาที่จะจัดการเรื่องนี้
ทว่ารอยแยกในท้องฟ้านั้นยังคงค้างอยู่ในใจหวังหลินราวกับเมฆสีดำ
ชั่วขณะนั้นใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่ประตู เขาได้ยินเสียงเคาะจากข้างนอก เสียงเคาะนี้ดูเหมือนเป็นจังหวะ เสียงเคาะหยุดทุกสองครั้งนั้นนับว่าเหมือนกันโดยแท้