344. เจ้ายังนึกถึงทรัพย์สมบัติอีกหรือ?
งวงยักษ์ของมันดูน่าคุกคามอย่างมาก เจ้าอสูรยุงระมัดระวังคางคกสายฟ้าตลอดจนส่งเสียงเล็ดรอดออกมา
คางคกสายฟ้ามองอสูรยุงด้วยสายตายั่วโทสะ
หวังหลินยิ้มบางและกระโดดลงจากคางคกสายฟ้า เขาเมินเฉยเจ้าอสูรสองตัวที่จ้องมองกันและกัน ส่วนหวังหลินเดินไปทางเจดีย์
เมื่อยืนอยู่ข้างหน้าหวังหลินคำนับฝ่ามือและสูดหายใจลึก “ท่านอาวุโส ผู้น้อยถูกผู้อาวุโสโจวยี่ขอร้องให้ดูแลท่านเป็นเวลาพันปี สุสานอมตะเป็นสถานที่อันตรายอย่างมากดังนั้นข้าจึงอยากขอยืมกระบี่สวรรค์ของผู้อาวุโสสักเล่ม”
เช่นนั้นหวังหลินโค้งคำนับและเดินเข้าไปในเจดีย์
บนชั้นบนสุด หวังหลินเห็นร่างศพสตรีชุดขาว นางนอนอยู่บนเตียงหยกสวรรค์ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย ด้านข้างนางเป็นกระบี่สวรรค์สองเล่ม พลังปราณกระบี่หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กปลดปล่อยเป็นระรอกคลื่นออกมา
เมื่อมองกระบี่สวรรค์สองเล่มนั้นหวังหลินจึงเริ่มครุ่นคิด เขาจ้องมองบนกระบี่ที่เล่มใหญ่กว่า
หวังหลินรู้สึกราวกับกระบี่ใหญ่เล่มนี้ดูคล้ายคลึงกับเล่มที่เขาเห็นครั้งแรก ทว่ามันอันตรายเกินกว่าจะคิดเรื่องเมื่อตอนนั้น หลังจากหวังหลินกลับมาเขาอยู่กับลี่มู่หวานตลอดเวลาดังนั้นจึงไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น
หลังจากทุกอย่างจบลงหวังหลินจึงนึกถึงมัน ความรู้สึกอันคุ้นเคยยิ่งรุนแรง
“ข้าต้องเคยเห็นกระบี่เล่มนี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อน…” หวังหลินขบคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะยื่นมือออกไปหากระบี่ หชเขาถือกระบี่สวรรค์เล่มใหญ่ในฝ่ามือโดยไม่ติดขัดอันใด
กระบี่เล่มนี้ไม่อาจถือได้ว่าเป็นกระบี่อีกต่อไปแต่ปรากฎสัญลักษณ์สี่เลี่ยมผืนผ้าขึ้น
“สัญลักษณ์?” หวังหลินตกตะลึงและเริ่มขบคิด หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่ดวงตาพลันส่องสว่างและร้องตะโกน “สมบัติ!”
มันคือกระบี่สมบัติ!
ตอนที่หวังหลินอยู่ในสำนักเหิงยั่ว เขาได้รับป้ายสิทธิ์จากอาจารย์ให้ไปหยิบกระบี่เหินออกมา กระบี่เล่มที่เขาหยิบเป็นกระบี่เหินที่ดูหรูหรามั่งคั่งที่สุดในสำนักเหิงยั่ว กระบี่สมบัติ!
หวังหลินเดินลงจากเจดีย์ด้วยความสับสน เขายืนอยู่ข้างนอกจ้องไปยังกระบี่เล่มใหญ่
ความทรงจำเมื่อ 400 กว่าปีก่อนแล่นผ่านในใจเขา คิดถึงตอนขณะที่เห็นกระบี่สมบัติครั้งแรก เขารู้สึกเศร้าใจอย่างมาก เขายังนึกถึงกระบี่สีทองทั้งเล่มที่ไม่ได้แวววาวเนื่องจากระดับของกระบี่แต่เป็นเพราะชั้นทองที่ฉาบบนผิวของมัน
ทองคำไม่ได้ใช้ซ่อนกระบี่ที่มีค่า เนื่องจากภายใต้นั้นส่วนใหญ่คือโลหะธรรมดาทั่วไป
เมื่อถือกระบี่ไว้ในฝ่ามือ หวังหลินนึกถึงอัญมณีสองเม็ดใหญ่บนด้ามจับ ทว่าอัญมณีสองเม็ดนั้นไม่มีพลังปราณเลย มีไว้เพื่ออวดเท่านั้น
แม้กระทั่งพู่ของกระบี่สมบัติยังสร้างจากเศษทองคำ
เจ้ากระบี่สมบัติหายไปภายในมิติว่างตอนที่กระบี่ของหวังหลินถูกทำลาย
หากไม่ใช่เพราะกระบี่สวรรค์เล่มนี้ หวังหลินคงไม่สามารถจดจำกระบี่สมบัติได้
ทว่าเมื่อมองตอนนี้นอกจากอัญมณีสองเม็ดก้อนโตและพู่สีทอง กระบี่สองเล่มนี้ช่างคล้ายคลึงกันอย่างน่าสนใจ
แววตาหวังหลินเป็นประกาย เขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นแค่ความบังเอิญ หรือเป็นไปได้ว่าผู้สร้างกระบี่สมบัติครั้งนึงเคยเห็นกระบี่สวรรค์เล่มนี้กัน? แต่สร้างมันไม่ได้
อย่างมากผู้อาวุโสจากแคว้นจ้าวต้องมีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสักคน เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไปดินแดนสวรรค์และเห็นกระบี่เล่มนั้นถูกซ่อนไว้ จนเมื่อแม่นางชุดขาวเรียกมันขึ้นมา?
หวังหลินเริ่มขบคิด เขาเริ่มนึกถึงชีวิตของผู้อาวุโสคนนั้นที่ถูกบันทึกไว้บนสัญลักษณ์บนกระบี่สมบัติ
แต่เดิมคนผู้นั้นเป็นคนไร้ค่าในสำนักเหิวยั่วแต่กลับช่วยสำนักเหิงยั่วจากภัยพิบัติได้หนึ่งครั้ง จากนั้นเขาก็สิ้นชีวิตและทิ้งกระบี่เล่มนี้ไว้เพื่อลูกศิษย์ในอนาคต
“คนไร้ค่าสามารถช่วยสำนักเหิงยั่วไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ข้าไม่ได้คิดเรื่องนั้นมากเกินไปแต่เมื่อคิดถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสคนนั้นต้องมีความลับบางอย่าง!” ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ เขามองไปที่กระบี่สวรรค์ในฝ่ามือีกครั้ง
“กระบี่สวรรค์เล่มนี้สูญเสียวิญญาณของมันไปแล้วดังนั้นมันจึงอ่อนแอมาก หากข้าต้องการใช้พลังของมันเต็มพลัง ข้าจำเป็นต้องมีวิญญาณกระบี่ให้มัน…” เมื่อคิดเรื่องนี้หวังหลินตบกระเป๋าตนเอง
“ออกมาฉวี่ลี่กั๋ว!”
เสาควันสีเทาพุ่งออกมาจากกระเป๋าและเปลี่ยนไปเป็นฉวี่ลี่กั๋ว หลังมันออกมาจึงตีหน้าอกตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ฉวี่ลี่กั๋วร้องคำรามอีกสองสามครั้ง “ในที่สุดข้าก็ออกมาได้ ฮ่าฮ่า…”
ตอนนี้เจ้าคางคกสายฟ้าและอสูรยุงที่กำลังจ้องกันเองพลันเปลี่ยนหันมามองรอบๆและมองเจ้าฉวี่ลี่กั๋ว
ฉวี่ลี่กั๋วรีบเงียบลงเมื่อเห็นอสูรทั้งสองตัว
มือขวาหวังหลินยื่นออกมาคว้าฉวี่ลี่กั๋วไว้ มันกรีดร้องออกมาขณะที่หวังหลินโยนมันเข้าไปในกระบี่สวรรค์
กระบี่พลันสันเทาและแสงสีทองบนเล่มสลัวลง
หวังหลินขมวดคิ้วและชี้ระหว่างคิ้วตนเอง วิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากออกมาทีละตัวและเข้าไปในกระบี่สวรรค์
สีสันของกระบี่มืดเข้มขึ้นอีกครั้ง ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นสีดำ
หวังหลินกดฝ่ามือขวาลงบนกระบี่ หลังขบคิดชั่วครู่ เขาพึมพำกับตัวเอง “การใช้วิญญาณเร่ร่อนเป็นวิญญาณกระบี่จึงสามารถกระตุ้นพลังอำนาจของกระบี่ได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น หากข้าใช้วิญญาณกลืนกิน เมื่อนั้นข้าควรจะสามารถใช้พลังของมันได้ยิ่งกว่านี้ น่าเศร้าที่ข้าไม่มีเวลาเพียงพอ แต่ข้าต้องไปจับวิญญาณกลืนกินสักตัวในอนาคตให้ได้!”
หวังหลินยืนขึ้นและเก็บกระบี่กลับไป จากนั้นสัมผัสเจดีย์ทำให้มันหดลงทันที หวังหลินเก็บเข้าไปในกระเป๋าเช่นกัน
หวังหลินสูดหายใจลึกเก็บเจ้าอสูรสองตัวและจากนั้นหายวับไป
ในบ้านของผู้เฒ่าโจวที่หมู่บ้านดอกท้อ หญิงสาวนางหนึ่งกำลังจ้องมองทารกหญิงด้วยแววตาอ่อนโยน
“ลั่วเอ๋อ พ่อของเจ้าออกหาโสมมาเพื่อช่วยบำรุงลูกของเจ้าแล้ว ข้าไม่รู้ว่าร่างทารกคนนี้ผิดปกติตรงไหนถึงได้อ่อนแอเช่นนี้”
นางอุ้มเด็กทารกขณะร้องเพลงกล่อมเด็กของหมู่บ้านตนเอง ลมหายใจทารกหญิงสม่ำเสมอ ดูเหมือนนางหลับไปแล้ว
หลังมั่นใจว่าทารกในอ้อมแขนหลับไป นางวางลงและจุมพิศบนหน้าผากก่อนจะเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหาร
ขณะที่นางออกไป อีกคนหนึ่งปรากฎในห้อง
หวังหลินจ้องเด็กทารกหญิงด้วยแววตาอ่อนโยน ฝ่ามือเขาสั่นเทาขณะคว้าสัมผัสทารกเบาๆและกระซิบ “หวานเอ๋อ…”
“ข้าลืมวันเดือนปีที่เราพบกันนอกทะเลปิศาจไปแล้วแต่ข้ายังจำรอยยิ้มอันเศร้าโศกของเจ้าต่อข้าได้”
ทารกหญิงลืมตาใสกระจ่างขึ้นพร้อมด้วยขนตาสั่นเทาและจ้องหวังหลินอย่างเงียบๆ
เพราะวิญญาณเซียนของนางหลับไหล ร่างกายจึงอ่อนแอเกินจะรองรับความทรงจำใดๆได้ แม้กระทั่งนางไม่อาจจดจำชื่อขเงขา น้ำเสียงของเขาหรือรูปร่างของเขา ทว่าความรู้สึกของเขาเป็นสิ่งที่สลักไว้กับนางตลอดไป
สายตาทารกหญิงจ้องมองหวังหลินโดยไม่ชัดเจนเหมือนเคยแต่เต็มไปด้วยความสับสน แม้กระทั่งนางก็ไม่สังเกตว่าหยดน้ำตาหล่นจากดวงตาของนางแล้ว
หัวใจหวังหลินเจ็บปวดรวดร้าวขณะจ้องมองทารกหญิง
เจ้าให้หยดน้ำตาแก่ข้าและข้าจึงเห็นทุกอย่างทุกอย่างในใจเจ้า…
หวังหลินมองทารกหญิงเป็นเวลานาน เวลาผ่านไปแต่นางยังประคองสายตาไว้ที่เขา
“ข้าจะมารับเจ้า…” หวังหลินกระซิบเบาๆก่อนจะจากไป
ขณะที่เขาจากไป หยดน้ำตารื้นขึ้นและนางเริ่มร้องไห้
หญิงสาวซึ่งกำลังทำอาหารในอีกห้องหนึ่งรีบเข้ามาอุ้มทารกและเริ่มปลอบประโลม
เสียงร้องไห้หยุดลงในไม่ช้าแต่นางยังคงมองออกไปนอกห้อง แววตายังเต็มไปด้วยความสับสน
เที่ยหยานนั่งขัดสมาธิในถ้ำขณะคุ้มครองทารกหญิงไปด้วย เขาเคยชินกับการปิดด่านฝึกตนครึ่งหนึ่งในปีก่อน ครึ่งปีก่อนนั้นลั่วเฟยส่งข้อความให้เขาเพื่อมาสลับกันแต่เขาปฏิเสธข้อเสนอนี้
หลังเที่ยหยานเข้ามาในโลกแห่งเซียน เขาไม่ได้ประสบพบเจอสิ่งใดเหมือนกับที่เจอในปีก่อน เขากระจายสัมผัสวิญญาณครอบคลุมทั้งหมู่บ้านทุกวัน เขารู้จักทุกหลังคาเรือนและทุกคนในหมู่บ้าน
ความรู้สึกนี้ลึกลับมาก ความจริงเมื่อไม่นานมานี้เที่ยหยานฝึกฝนและได้หลอมรวมตัวเองเข้าไปในโลกคนทั่วไป
หวังหลินเดินเข้ามาในถ้ำ เมื่อเห็นเที่ยหยานพลันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเพ่งพินิจ
เที่ยหยานรีบยืนขึ้นต้อนรับหวังหลิน
หวังหลินเอ่ยขึ้น “ไม่เลวนักเมื่อเปรียบกับลั่วเฟย ทำเช่นนี้ต่อไปและเจ้าจะสามารถบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ ทว่าให้จำไว้อย่างหนึ่งคือเจ้าต้องบรรลุระดับปลายสูงสุดก่อน”
เที่ยหยานตกตะลึง เขารีบพยักหน้า
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะนำไม้แกะสลักเขตแดนแห่งเวลาออกมา “ข้าให้สิ่งนี้กับเจ้า ศึกษามันให้ดี”
เที่ยหยานจ้องไม้แกะสลักอย่างเงียบงัน
หวังหลินนั่งบนตัวเจ้าอสูรยุงและเหาะเหินไปทางสุสานอมตะ
ณ ตอนนี้ข้างในทะเลปิศาจ มีบางกระตุ้นขึ้นภายในพื้นที่ดาราล่มสลาย
ภายในทะเลโลหิตข้างในดินแดนเทพโบราณ
พื้นที่ทะเลโลหิตดูแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก เสาส่วนใหญ่หายไปแล้วเหลือหนึ่งเสาที่ต้าเสินกำลังนั่งอยู่
มีเซียนน้อยกว่าร้อยคนข้างในทะเลโลหิต แต่ละคนมีสะเก็ดสีแดงบนหน้าผาก ทั้งหมดฝึกฝนอย่างเงียบๆ
ในหมู่คนเหล่านี้มีคนจำนวนมากที่หวังหลินคุ้นเคยยิ่งเช่นจักรพรรดิโบราณ
แต่ละคนปลดปล่อยรัศมีปิศาจซึ่งมีกลิ่นคล้ายกับโลหิต ขระที่พวกเขาฝึกฝน โลหิตในทะเลปิศาจค่อยๆเข้าไปในร่างกายแต่ละคน
บนยอดเสาที่ต้าเสินนั่งอยู่เป็นชายผมยาวสีแดง ศีรษะก้มต่ำลง
บนพื้นดินเบื้องล่างมีคำพูดนับไม่ถ้วนสลักไว้ด้วยเล็บมือของเขา
คำเดียวกันที่สลักไว้ทุกครั้งและทุกครั้ง
“หวังหลิน!”
บุรุษผมแดงผู้นี้คือต้าเสิน คนที่ได้รับมรดกแห่งพลังจากเทพโบราณ เส้นผมเขาปกคลุมใบหน้าแต่แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังฝังลึก
“หวังหลิน อายุขัยของร่างเทพโบราณกำลังถึงขีดจำกัด เมื่อเกิดเรื่องนั้นขึ้นข้าจะสามารถหนีออกจากที่นี่ได้ หวังหลินเจ้าอย่าตายเสียก่อนหล่ะ เก็บมรดกแห่งภูมิปัญญาให้ข้าไว้อย่างปลอดภัยด้วย!”