356. จากไป
ร่างหลักเผยสีหน้าท่าทางอันเยือกเย็น “เจ้าทั้งสองมาจากที่ใด?”
ร่างกายหญิงสาวสั่นเทาพลางมองทางผู้เฒ่าที่อาจจะตายได้ สายตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและไม่กล้าโกหกอีก “ผู้น้อยแค่มาจากสุสานอมตะ”
“มีพวกเจ้าเจ็ดคนเข้าไปในสุสานอมตะ ทำไมถึงมีแค่เจ้าสองคนที่ออกมา?”
ร่างกายของนางสั่นสะท้านอีกครั้ง นางตกใจบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งคุ้นเคยบุรุษผมแดงแต่นางมั่นใจว่าไม่เคยเห็นเขามาก่อน
นางเอ่ยอย่างขมขื่น “ผู้น้อยมีปัญหา….”
“ตามมา!” ร่างหลักมองไปที่นางและจากนั้นเหาะเหินไปยังป่าเบื้องล่าง
นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะติดตามไป
ส่วนผู้เฒ่า ร่างหลักของหวังหลินไม่ได้แม้แต่สนใจใยดี ผู้เฒ่าคนนั้นเป็นเพียงเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับต้นและไม่มีสมบัติคุ้มครองตัวเองใดเลย ดังนั้นเขาอาจจะเสียชีวิตได้แน่ๆ
ทว่าขณะนั้นเองร่างหลักมองไปตำแหน่งที่ผู้เฒ่ร่อนลง
เขาเห็นร่างอันรุ่งริ่งยืนขึ้นปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ต้นไม้ห้าใบปรากฎภายในสายหมอก
ร่างชายชรากระอักโลหิตภายในหมอกและต่อสู้ดิ้นรน ทว่าแววตาเขายังกระจ่างชัด
เพียงร่างหลักมองดูคราเดียวใบหน้าก็มัวลง เมื่อเขามองหญิงสาวผ้าคลุมหน้า นางซีดเผือดและหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“เป็นเช่นนี้เอง!” ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงไม่ตายและหนีออกมาได้
ร่างหลักหวังหลินชูมือและกำลังจะสังหารผู้เฒ่า
ขณะนั้นหญิงสาวผ้าคลุมหน้ารีบพาตัวเองขวางไว้ นางคุกเข่าและเอ่ยขอร้อง “ผู้อาวุโสต้องรู้จักหนึ่งในห้าคนนั้นแน่ๆ ผู้น้อยยอมรับความผิด หากท่านต้องการจะสังหารใครก็โปรดสังหารข้าเถิด อย่าทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากกับเขา…”
ผู้เฒ่ายืนขึ้นอย่างดิ้นรน เขามองร่างหลักหวังหลินและเอ่ยขึ้น “หากท่านจะสังหารข้าก็จงสังหารเสียเถอะ ข้าพยายามมีชีวิตรอดไม่เหมือนพวกหุ่นเชิด ให้ข้าตายด้วยเงื้อมมือผู้อาวุโสเสียดีกว่า แต่ว่านายหญิงของข้าต่อสู้กับเรื่องนี้มาตลอด เช่นนั้นโปรดปล่อยนางไป”
ร่างหลักหวังหลินพลันแววตาสว่างเรืองรอง เขามองทั้งสองคนเบื้องหน้าก่อนจะคว้าตัวและนำพาเข้าไปในสุสานอมตะ
ระหว่างทางบาดแผลของผู้เฒ่าค่อยๆสมานตัวและหมอกสีดำจางหายไป ถึงเช่นนั้นต้นไม้บนหน้าผากของเขายังคงเปล่งปลั่งเป็นพักๆ
หญิงสาวผ้าคลุมหน้าหลับตาลงและเริ่มครุ่นคิด
ไม่นานนักร่างหลักของหวังหลินมาถึงทางเข้าสุสานอมตะ
หลังจากมาถึงเขาชกกำปั้นกลางอากาศเข้าหาหลุมและรอยแยกอวกาศหนึ่งเปิดขึ้น เขาสะบัดหยดโลหิตสองหยดออกมา หนึ่งหยดร่อนลงบนหญิงสาวผ้าคลุมหน้าอีกหนึ่งหยดไปบนผู้เฒ่า จากนั้นโยนพวกเขาเข้าไปในรอยแยก
“เข้าไปค้นหาหวังหลิน หากเจ้าหาเขาเจอข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารอด!” น้ำเสียงดังกึกก้องในใจก่อนที่รอยแยกจะปิดตัวลง
ร่างหลักนั่งขัดสมาธิข้างนอกและเริ่มขบคิด เขาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้เพราะจะไม่มีใครชี้ทางให้หวังหลินออกมา
ถึงอย่างนั้นหากว่าเขาไม่เข้าไปข้างในมันยากนักที่จะค้นหาตัวเองเจอ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่สังหารทั้งสองแต่ทิ้งตราประทับไว้สำหรับค้นหา
ภายในมิติว่าง หวังหลินนั่งอยู่บนเข็มทิศดวงดาว เขาลืมตาขึ้นทันทีและพึมพำ “เช่นนี้เอง!”
หวังหลินยืนขึ้นด้วยสายตาเยือกเย็นและควบคุมเข็มทิศให้เคลื่อนที่ไป ในเวลาเดียวกันก็กระจายสัมผัสวิญญาณออกไปเพื่อค้นหาทั้งสองคนในมิติว่าง
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ดวงตาหวังหลินพลันสว่างขึ้นและเริ่มเหาะเหินเร็วยิ่ง ไม่นานนักเขาเห็นทั้งสองคนเหาะอยู่ห่างไปไกล
ทั้งสองคนตกอยู่ในความยุ่งเหยิงและอ่อนแอมาก
หลังจากทั้งสองเห็นหวังหลิน พวกเขาเผยใบหน้าปั้นยาก นางต้องการจะเอ่ยสักคำหนึ่งแต่ทำได้แค่อ้าปากก่อนจะหุบลงและถอนหายใจ
หวังหลินมาถึงเบื้องหน้าทั้งสองคน เขาโบกสะบัดแขนและหยดโลหิตสองหยดลอยออกจากหน้าผากพวกเขาเข้าสู่ฝ่ามือหวังหลิน
หญิงสาวผ้าคลุมหน้าลังเลเล็กน้อยและเอ่ยกระซิบ “ผู้อาวุโส…ข้า…”
หวังหลินไม่ได้สนใจทั้งสองคน หลังได้รับโลหิตมาเขาเก็บเข็มทิศดวงดาวไป
ขณะนี้เองเป็นจังหวะที่ร่างหลักลืมตาขึ้น ชกอากาศทำให้รอยแยกอวกาศหนึ่งสั่นเทา
รอยแยกปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน หวังหลินไม่ได้ตกใจกับการปรากฎของรอยแยกและเพียงเดินเข้าไป
ตั้งแต่ต้นเขาไม่ได้พูดสิ่งใดกับทั้งสองคนเลย
หลังจากหวังหลินเข้าไปในรอยแยก รอยแยกปิดลงอย่างเงียบๆทิ้งทั้งสองคนให้รักษาตัวเองในมิติว่าง
เมื่อออกจากรอยแยก สัมผัสแสงแดดกระทบเข้ากับผิวหนัง เขาสูดหายใจลึก ความรู้สึกแห่งชีวิตชควาเติมเต็มร่างกาย
เขาก้มศีรษะลงและมองหลุมเบื้องล่างและหายตัวไปพร้อมกับร่างหลัก
หวังหลินออกมาจากสุสานอมตะและมาถึงหุบเขาด้านหลัง เขานำเจดีย์ออกมาก่อนจะนั่งลงฝึกฝน ร่างหลักนั่งลงถัดจากเขาด้วยเช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งวันหลังจากนั้นหวังหลินและร่างหลักลืมตาขึ้นพร้อมกัน
หวังหลินตบกระเป๋านำผลไม้แห่งการเกิดใหม่ที่เรืองแสงสีเหลืองออกมา หลังขบคิดเล็กน้อยเขาจึงสรุปได้ว่าผลไม้นี้มีประโยชน์ต่อร่างหลักของเขามากกว่าการที่เขาจะใช้มันตอนนี้
“น่าเสียดายมันมีเพียงชิ้นเดียว!” หวังหลินโยนผลไม้เข้าหาร่างหลัก
ร่างหลักบดขยี้ผลไม้ทำให้ของเหลวสีทองหยดหนึ่งรั่วไหลออกมา มันมีไม่มากนักและของเหลวถูกผิวกายของร่างหลักดูดซับไปเพียงแค่มันสัมผัส ของเหลวเคลื่อนไหวผ่านรอยร้าวบนผิวกายอย่างช้าๆ
ร่างหลักของหวังหลินตอนนี้ราวกับปกคลุมไปด้วยตาข่ายสีทอง รอยร้าวบนผิวหนังเดิมทีไม่อาจเห็นได้ชัดแต่ตอนนี้มันกำลังเรืองแสงสีทอง
แสงสีทองยิ่งสว่างขึ้นและสว่างขึ้นจนกระทั่งมันซึมเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูกจนพร้อมกับหายไป
สีหน้าท่าทางของร่างหลักยังคงเหมือนเดิมและจากนั้นแววตามีแสงสีทองกระพริบวาบ ผลไม้แห่งการเกิดใหม่ถูกร่างหลักดูดซับอย่างสมบูรณ์ดังนั้นความเร็วในการดูดซับพลังปราณจึงเพิ่มขึ้นมากมายหลายเท่า
ในที่สุดตอนนี้ร่างหลักของหวังหลินก็ถือได้ว่าเป็นเทพโบราณของจริง!
สำหรับผลไม้แห่งการเกิดใหม่ มันหายไปแล้ว
ร่างหลักยืนขึ้นและจมลึกลงใต้ดิน
หวังหลินสูดหายใจลึก ตบกระเป๋าและต้นไม้แห่งการเกิดใหม่เป็นชิ้นๆปรากฎเบื้องหน้า
เขาหยิบมันขึ้นมาหนึ่งชิ้นและเริ่มสร้างไม้แกะสลักแห่งกาลเวลา
กาลเวลาค่อยๆผ่านไป
โจวลี่ตอนนี้มีอายุสามขวบและงดงามมาก ทว่านางยังไม่ได้พูดสักคำเลย ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของนางจึงค้นหาหมอหลายต่อหลายค้นและให้นางกินโอสถหลายขนาน แต่นางยังไม่เคยพูดออกมาเลย
โจวลี่น้อยเป็นหญิงสาวที่เงียบมาก แทนที่นางจะวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้าน นางมักจะมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆจากสวนหลังบ้าน แววตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
บิดาของโจวลี่เป็นชายกำยำฝ่ามือหยาบกร้าน มองลูกสาวของตนเองและถอนหายใจ เขานำโอสถมาให้นางกินหลายอย่างหลายชนิดแต่ลูกของเขาก็ยังไม่พูด
หรือนางจะเป็นใบ้จริงๆ? บิดาของโจวลี่ถอนหายใจ
ในวันนี้ชายชราผู้หนึ่งสวมชุดเซียนเข้ามาในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านเคารพเขาอย่างนอบน้อมและบอกให้นำเด็กต่ำกว่าหกขวบออกมาทุกคน
หลังจากนั้นไม่นานนัก เด็กต่ำกว่าหกขวบทั้งสิบเก้าคนมาถึงใจกลางหมู่บ้านพร้อมกับครอบครัวของตนเอง
ครอบครัวของโจวลี่ก็อยู่รวมในนี้ด้วย แววตาใสแจ๋วของโจวลี่มองไปรอบๆตัวนาง เห็นได้ชัดว่านางกวาดกลัวและกำชายกระโปรงผู้เป็นแม่แน่นหนา
มารดาของนางก้มลงและปลอบประโลม จากนั้นยืนขึ้นมองผู้เป็นสามีและเอ่ยว่า “ลี่เอ๋อยังเด็กเกินไป ลืมเรื่องนี้เถอะ”
บิดาของโจวลี่ส่ายศีรษะ “ให้นางลอง หากนางได้รับเลือกเมื่อนั้นอนาคตของนางจะสดใส”
มารดากัดริมฝีปากและไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมยาวลอยอยู่ในอากาศด้วยท่าทีผยอง เขาหัวร้อนเล็กน้อยเพราะไปมาหลายหมู่บ้านและไม่เจอใครที่มีรากวิญญาณหากไม่ใช่เพราะว่าสำนักของเขามีกฎหนึ่งที่ว่าศิษย์ต้องออกไปค้นหาเด็กที่มีรากวิญญาณมาหนึ่งคนทุกหกปี เขาคงไม่ต้องยุ่งวุ่นวายที่โดนหมายหัวให้ออกจากสำนัก
เขามาที่หมู่บ้านแห่งนี้ทั้งหกปีและสิบสองปีก่อนแต่ไม่พบเด็กคนใดที่มีรากวิญญาณเลย
“หกปีก่อนข้าไปเจอเด็กที่มีรากวิญญาณที่หมู่บ้านลิ่ว ข้าสงสัยว่าหากครั้งนี้ข้าเจออีกหนึ่งคนที่นี่เมื่อนั้นข้าจะได้รับหินวิญญาณระดับกลางสามก้อน” ผู้เฒ่ามองไปที่เหล่าเด็กน้อยทีละคน คิ้วขมวดเป็นปมหนักขึ้นและหนักขึ้นจนดูผิดหวังหนักกว่าเดิม
สายตาพลันเพ่งมองและตกลงบนโจวลี่ เขารีบมาเบื้องหน้าโจวลี่และชี้หน้าผากของนาง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความสุข
“นี่…เกิดมาพร้อมกับพลังปราณตามธรรมชาติ เส้นชีพจรทั้งหมดเปิดแล้วและรัศมีสีม่วง เยี่ยมมาก!” ผู้เฒ่าจ้องโจวลี่ สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่เด็กแต่เป็นหินวิญญาณระดับสูงที่กำลังส่องประกาย
สำนักของเขาขนาดเล็กมากแต่พวกเขาเป็นสาขาของสำนักเมฆาฟ้าดังนั้นจึงพอมั่งคั่งอยู่บ้าง แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะขี้เหนียวไปหน่อย รางวัลสำหรับเหล่าศิษย์ที่เจอเด็กมีพรสวรรค์นับว่าใจกว้างมาก
ผู้เฒ่าหัวเราะและเอ่ยกับหัวหน้าหมู่บ้าน “เด็กคนนี้ ข้าจะรับมัน!”
แววตาโจวลี่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกขณะนางกำชุดของมารดาแน่นหนา ใบหน้านางซีดเผือด