Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 386

Cover Renegade Immortal 1

386. เผชิญหน้ากับหลิวเหมยครั้งที่สอง

ในสามเดือนที่ปิดด่านฝึกตน ด้วยการช่วยเหลือของสายแร่วิญญาณ หวังหลินจึงสามารถทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมาได้ ทั้งหมดที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการสร้างวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมาใหม่และจากนั้นระดับฝึกฝนของเขาจะกลับสู่ขั้นตัดวิญญาณดั้งเดิม

เหลือรอยแผลเขตแดนแห่งชาบนใบหน้าอยู่สามร้อยและผนึกของซุนไท่ใกล้จะแตกสลายแล้ว

เปรียบเทียบกับเรื่องทั้งหมดนี้ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการพบว่าทั้งสำนักหลอมวิญญาณมีสิ่งที่มองไม่เห็นปกคลุมอยู่

สิ่งที่มองไม่เห็นที่ปกคลุมสำนักนี้ในบางครั้งมันจะปลดปล่อยเสี้ยววิญญาณออกมาและพลังวิญญาณที่แตกต่างกันหลายร้อยดวงจะออกมาต่อสู้เพื่อดวงวิญญาณพวกนี้

เหล่าดวงวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ปรากฎในสถานที่เดียวกันตลอด พวกมันต่างกระจายไปทุกหนแห่งของภูเขาหลอมวิญญาณ

หลังจากรับรู้เรื่องนี้ได้ ความคิดหวังหลินเคลื่อนไหว เขารีบนำคู่มือธงวิญญาณออกมา หลังตรวจสอบมันสักพักเขาจึงสามารถมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ข้างในได้

การสร้างธงวิญญาณถูกแบ่งออกเป็นสามวิธีนั่นก็คือหลอมวิญญาณ แยกวิญญาณและผนึกวิญญาณ

หลอมวิญญาณคือวิธีการใช้เสี้ยววิญญาณใดก็ได้ในโลกและผนึกมันไว้ในธงเพื่อให้มันเติบโตแทนที่จะแตกสลายไป

แยกวิญญาณนับว่าต่างกัน มันไม่สามารถสร้างเสี้ยววิญญาณขึ้นมาได้ มันเพียงแค่แยกวิญญาณออกมาจากคนที่มีชีวิตและผนึกเข้าไปไว้ในธงวิญญาณเพื่อควบคุมมัน

ส่วนสุดท้ายคือผนึกวิญญาณ หวังหลินไม่มีสิ่งใดเพื่อเปรียบเทียบมันและสับสนเล็กน้อย

ตามที่ภูเขาหลอมวิญญาณบอกมา ธงวิญญาณมีระดับของมันก็คือสิบดวง ร้อยดวง พันดวง หมื่นดวงและไปเรื่อยๆ ยิ่งมีวิญญาณในธงผืนนั้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น

ธงวิญญาณสิบดวงและร้อยดวงถือว่าธรรมดาแต่เมื่อธงวิญญาณได้รับถึงหนึ่งพันดวง มันจะสามารถใช้มนต์คาถาและพลังของมันขึ้นอยู่กับดวงวิญญาณหลัก

การสร้างธงวิญญาณหนึ่งพันดวงนั้นต้องมีดวงวิญญาณหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การสร้างธงวิญญาณค่อนข้างยาก ธงวิญญาณหลักร้อยดวงมักจะมีขีดจำกัดที่ 999 ดวงซึ่งการที่ไม่มีดวงวิญญาณหลักทำให้มันไม่สามารถกลายเป็นธงวิญญาณพันดวงได้

ความต้องการเดียวในการสร้างดวงวิญญาณหลักก็คือมันต้องแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณตัวอื่นทั้งหมดในธงผืนนั้น

ขณะที่หวังหลินศึกษาธงวิญญาณ​เขาคิดเรื่องกิเลนที่อยู่ลึกลงไปใต้สำนึกอสูรตัวนั้นต้องเป็นดวงวิญญาณหลักของธงวิญญาณทองผืนนั้นเป็นแน่

หวังหลินได้เก็บรวบรวมเสี้ยววิญญาณจำนวนมากตลอดสามเดือนแห่งการบ่มเพาะ ซึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกดวงวิญญาณเหล่านี้กลับรวบรวมข้างในสายแร่วิญญาณ เมื่อหวังหลินตรวจสอบสายแร่วิญญาณในครั้งแรกดันไม่มีพวกมันอยู่ตรงนี้ซึ่งแน่ชัดแล้วว่ามีใครสักคนพึ่งเก็บพวกมันไปก่อนที่เขาจะตรวจสอบ

ขณะที่เขาเก็บรวบรวมดวงวิญญาณ หวังหลินเข้าใจแล้วว่าดวงวิญญาณทั้งหมดต่างเข้ามาในสายแร่วิญญาณ ซึ่งทั้งหมดต่างถูกธงวิญญาณที่อยู่ใต้สำนักดูดซับไป

หนึ่งคนและหนึ่งธงวิญญาณได้เริ่มขโมยดวงวิญญาณกันและกัน ทว่าธงวิญญาณถูกขังไว้ในสถานที่แห่งเดียวและไม่ได้ว่องไวเหมือนหวังหลิน ในสามเดือนที่ผ่านมา วิญญาณทั้งหมดเกือบเก้าในสิบส่วนต่างถูกหวังหลินเก็บไป

มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอในเหล่าดวงวิญญาณพวกนี้ ตลอดทั้งสามเดือนนี้หวังหลินจึงพบวิญญาณขั้นแรกกำเนิดตัวหนึ่งและต่อมาจึงใช้มันเป็นดวงวิญญาณหลักในผืนธง

มีดวงวิญญาณขั้นแรกกำเนิดไม่มากนักที่ปรากฎขึ้น หนึ่งปีมีเพียงสองหรือสามดวงเท่านั้น ทุกครั้งที่มันปรากฎ ศิษย์ชั้นยอดของสำนักหลอมวิญญาณจะต่อสู้ห้ำหั่นกัน

คำพูดของกัวตงเจียนเข้าสู่ในหัวหวังหลิน ขณะที่พึ่งจะคิดได้ว่า เหล่าศิษย์ของภูเขาแยกวิญญาณซึ่งแยกวิญญาณจากร่างกายให้ผนึกในธงของตัวเอง หวังหลินตัดสินใจว่าต้องหาเวลาเอาวิธีสร้างธงวิญญาณของภูเขาแยกวิญญาณมาให้ได้และศึกษามัน

ส่วนเรื่องวังวนวิญญาณนั้นมันเป็นหนึ่งในสามวิชาที่อยู่ในคู่มือธงวิญญาณ สามวิชาประกอบไปด้วย กลั่นวิญญาณ วังวนวิญญาณ และสังเวยโลหิต

ควบแน่นวิญญาณค่อนข้างง่าย แม้ว่าจะมีหินหยกเพียงสิบชิ้นในภูเขาหลอมวิญญาณแต่ทว่ามีฉบับคัดลอกหลายชิ้นสำหรับวิชานี้ที่ออกมาขาย

วิชานี้มีพื้นฐานมาจากการหลอมวิญญาณ ด้วยวิชานี้จึงสามารถสร้างเสี้ยววิญญาณอันว่างเปล่าและใส่เข้าไปในธงวิญญาณได้

วังวนวิญญาณค่อนข้างหายาก อย่างน้อยวิชานี้ก็ยังอยู่ในภูเขาหลอมวิญญาณซึ่งจำเป็นต้องใช้ระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพื่อเรียนรู้มัน แต่ไม่ใช่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดจะสามารถเรียนรู้ได้ยกตัวอย่างก็เช่นกัวตงเจียนที่ยังไม่สามารถเรียนรู้ได้

เมื่อวิชานี้ถูกใช้งาน มันจะดูดซับดวงวิญญาณจำนวนมาก มันถูกใช้กันหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือขโมยวิญญาณซึ่งแข็งแกร่งทรงพลังมาก

วิชาสุดท้ายคือสังเวยโลหิต เมื่อใช้วิชานี้จะเพิ่มพลังให้กับธงวิญญาณหลายเท่า

หนึ่งในสามเหตุผลที่ว่าทำไมสำนักหลอมวิญญาณถึงแม้จะยังมีศิษย์มีศิษย์ไม่กี่คนแต่ยังแข็งแกร่งได้ก็เพราะวิชานี้

อย่างไรก็ตามวิชานี้ฝึกฝนได้ยากมาก แม้กระทั่งศิษย์ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายยังไม่สามารถเรียนรู้มันได้

หวังหลินโบกสะบัดแขนและวังวนวิญญาณหายไป เขานำธงวิญญาณออกมาและวิญญาณจำนวนมากถูกดูดซับไป

สีหน้ากัวตงเจียนไม่ชอบนัก เขาใช้เวลาหลายปีรวบรวมดวงวิญญาณทั้งหมดนั้นด้วยความยากลำบากและกลับมาถูกขโมยไปเช่นนี้ หลังจากถอนหายใจเขาก็ทำได้แต่เพียงยิ้มอย่างเจ็บปวด

นี่คือกฎของสำนักหลอมวิญญาณ​เขามาที่นี่เพื่อขโมยธงวิญญาณของหวังหลินแต่กลับมาถูกเอาไปแทน เขาถอนหายใจอีกครั้ง คำนับฝ่ามือให้กับหวังหลินและจากไปด้วยความรู้สึกหดหู่

หวังหลินนำวิญญาณแรกกำเนิดที่เขาจับได้เข้าใส่ในธงวิญญาณ ในไม่ช้ามันก็เริ่มต่อสู้กันกับวิญญาณแรกกำเนิดที่มีอยู่แล้วข้างใน

หวังหลินไม่ได้มองดูข้างในธง เขารู้อยู่แล้วว่าผู้ชนะจะกลายเป็นวิญญาณหลักดวงใหม่และผู้แพ้จะกลายเป็นลูกน้องของผู้ชนะ

จิตใจซื่อหยุนและหลิวเว่ยกำลังเต้นรัวขณะยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน แม้ซื่อหยุนจะดูมั่นใจมากก่อนหน้านี้ นางไม่เคยคิดว่าศิษย์พี่ฉิงมู่จะสามารถบรรลุวังวนวิญญาณถึงขั้นเชี่ยวชาญ

หวังหลินมองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้งดงามมากและดึงดูดความสนใจ

หวังหลินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบ “ข้าจะทิ้งเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของถ้ำข้า จงจากไปให้เร็วที่สุด”

ซื่อหยุนเผยใบหน้าอ้อนวอน “ศิษย์พี่ฉิงมู่ พวกเราทั้งสองจะไม่รบกวนท่าน หากเราจากไปตอนนี้ดวงวิญญาณที่เราหามาได้อย่างยากลำบากจะถูกขโมยไป พวกเราแค่ต้องการหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อฝึกฝน เราจะไม่สร้างปัญหาใดให้กับท่านอย่างแน่นอน”

หวังหลินไม่พูดแต่สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

จิตใจซื่อหยุนสั่นเทาเมื่อสายตาเขาตกลงบนนาง

หลิวเว่ยเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วและถึงจุดนี้นางไม่สามารถประคับประคองตนเองได้อีกต่อไปจึงเริ่มร้องไห้ หลิวเว่ยมีพรสวรรค์มาก นางบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับกลางได้อย่างรวดเร็วจากนั้นในระหว่างการประลองศิษย์สายนอก นางใช้ความพยายามทั้งหมดจนกลายเป็นศิษย์สายในได้

แต่หลังจากเข้ามาเป็นศิษย์สายใน มันไม่ใช่สิ่งที่นางคาดคิดไว้เลย ข้างในสำนักเป็นสถานที่ของผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ มันแตกต่างจากสำนักเซียนที่นางคิดไว้มากนัก

หวังหลินขมวดคิ้ว เขาโบกแขนเสื้อและกำลังจะโยนทั้งสองออกไปทว่าเขาเชิดศีรษะขึ้นและจ้องไปบนท้องฟ้า

ร่างสีเขียวที่ดูราวกับเทพธิดาได้คล้อยลงมาจากฟากฟ้าและร่อนลงเบื้องหน้าหวังหลินหนึ่งร้อยฟุต

“หลิวเหมย!” หลังเห็นนางผู้นี้ หวังหลินขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

หลิวเหมยยิ้มบางและเอ่ยขึ้น “พี่ฉิงมู่ได้ฟื้นฟูระดับฝึกตนส่วนใหญ่ได้แล้ว ข้าขอยินดีด้วย”

จัวหวะที่ลิ่วเหมยพูดขึ้น หวังหลินชี้กลางอากาศทำให้ซื่อหยุนและหลิวเว่ยสลบไป

“หลิวเหมยเข้าเรื่องเลย ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำ เจ้าแค่กำลังจะทำลายภาพที่ข้ามีต่อเจ้า” หวังหลินจ้องหลิวเหมยพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลิวเหมยมองหวังหลิน นางถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “หวังหลิน หายนะยิ่งใหญ่กำลังเกิดขึ้นบนตัวท่าน จงไป…ออกจากดาวเคราะห์ซูซาคุเถอะ…”

หวังหลินสงบเยือกเย็น เขาไม่ได้พูดสิ่งใดเพียงแต่รอให้หลิวเหมยพูดให้จบ

หลิวเหมยกระซิบ “ข้าจะไม่หลอกลวงท่าน ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้ามาจากแคว้นซูซาคุแต่ข้าไม่ใช่ศิษย์ทั่วไป อาจารย์ของข้าเป็นเซียนอันดับหนึ่งในซูซาคุ จูเซว่จื่อ(朱雀子 Zhūquè zi)!”

ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ ทุกสิ่งทุกอย่างในใจเขาพลันชัดแจ้งและเอ่ยถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นกับผีเสื้อสีชาดหลังนางต่อสู้กับข้า?” หลังจากได้ยินหลิวเหมย เขาเชื่อมต่อทุกอย่างได้ทันทีและได้ข้อสรุปที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

หลิวเหมยเผยแววตาชื่นชม “ผีเสื้อสีชาด..ถูกศิษย์พี่ของข้าสังหาร”

หวังหลินสูดอากาศเย็นๆเข้าปอด หลังยืนยันการคาดเดาของตัวเองจึงเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าการต่อสู้ของข้ากับผีเสื้อสีชาดเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าของคนบางคน”

หลิวเหมยกัดริมฝีปากและกระซิบ “พี่หวัง ท่านควรจะออกไปยิ่งเร็วยิ่งดี” นางมองหวังหลินอย่างสื่อความหมายพลางถอนหายใจและจากไป

ขณะที่หลิวเหมยจากไปนางได้ถอนหายใจและคิดขึ้นว่า ‘หวังหลิน หลิวเหมยถูกอาจารย์สั่งมาให้ทิ้งรอยของข้าไว้บนจิตใจแห่งเต๋าของท่าน นี่คือโชคชะตาที่ข้าไม่อาจต่อต้านได้…ข้าไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของอาจารย์…ไม่มีทางที่ข้าจะพ่ายแพ้ในการประลองระหว่างจิตใจแห่งเต๋าของเรา เว้นแต่ว่าเงาของท่านปรากฎในเต๋าของข้า…มีเพียงข้าหลิวเหมยที่รู้แจ้งเขตแดนพันจินตภาพไร้ปราณีและแสดงอารมณ์บนใบหน้าขณะที่ยังไร้อารมณ์อยู่เท่านั้น ท่านจะเอาชนะข้าได้อย่างไร…’ ในสายตานางแฝงความเหี้ยมโหดไว้ข้างในแต่มันถูกซ่อนไว้ด้วยท่าทีของนางเอง

หวังหลินยังคงขมวดคิ้วขณะมองแผ่นหลังของหลิวเหมย แม้ว่าหลิวเหมยดูเหมือนจะชี้ปัญหาออกมา แต่มันยังทิ้งความคลุมเครือนับไม่ถ้วน

หวังหลินขมวดคิ้วอีกครั้งและพึมพำกับตัวเอง “เรื่องทั้งหมดนี้ประหลาดนัก ข้ายังมีความรู้สึกแปลกหน้ากับหลิวเหมย น่าแปลก…”

หลังจากนั้นไม่นานเขามองซื่อหยุนและหลิวเว่ย พลันโบกแขนและย้ายสตรีสองคนห่างจากถ้ำของเขาไปหนึ่งพันฟุต ขณะที่เคลื่อนย้ายทั้งสองคน หัวใจหวังหลินเริ่มสั่นสะท้านราวกับนึกบางสิ่งบางอย่างออก

ฝ่ามือขวายื่นออกไปและดึงสตรีสองคนกลับมา ใบหน้าแต่ละคนขณะที่ส่งออกไปแตกต่างกันมาก

ใบหน้าซื่อหยุนก่อนหน้านี้แข็งแกร่งและมุ่งมั่น นางพูดคุยกับสตรีอีกคน แต่ทว่าตอนนี้นางหลับไหลและใบหน้าแสดงความอ่อนแอและไร้กำลัง

ความประทับใจกับสตรีอีกคนของหวังหลินก่อนหน้านี้คือนางอ่อนแอมาก ทว่าตอนนี้ใบหน้านางมุ่งมั่นและไร้ปราณี นางได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ปรากฎอ่อนแอแต่ความจริงมีความแข็งแรงซ่อนอยู่ข้างใน

หวังหลินรู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดตรงกลางหัวและดวงตาเป็นประกาย เขามองขึ้นไปยังตำแหน่งที่หลิวเหมยจากไปและเยาะเย้ย

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมข้าถึงรู้สึกประหลาดทุกครั้งที่ข้าเห็นหลิวเหมย แม้ว่านางจะแสดงอารมณ์ทั้งหมดนี้คล้ายกับนางห่วงใย ความจริงแล้วนางใช้มันเพื่อซ่อนความดุร้ายเอาไว้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!