396. ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง
ข่าวคราวการต่อสู้ของเซิ่งหนิวกับหลี่หยวนเฟิงกระจายไปทั้งดวงดาว เซิ่งหนิวหายตัวไปอีกครั้ง
หลังจากหวังหลินออกจากแคว้นเฉว่ยี่ เขาหาสถานที่เปลี่ยวก่อนจะนำแขนสองข้างเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า
หวังหลินยืนอยู่เบื้องหน้าวิญญาณยักษ์ของซือถูหนาน ตอนที่มาถึงหวังหลินปลดปล่อยผนึกบนแขนสองข้าง
ขณะที่เขาปลดผนึก แขนทั้งสองลอยขึ้นรอบๆวิญญาณของซือถูหนานอย่างลึกลับ
หวังหลินมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาคาดเดาว่าแขนสองข้างนี่คือของซือถูหนานและตอนนี้ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม
ดวงวิญญาณซือถูหนานสั่นเทาเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี จากนั้นแสงสว่างจ้าปรากฎขึ้นและล้อมรอบแขนสองข้างในทันที
แขนค่อยๆลอยเข้าหาวิญญาณของเขาและในที่สุดก็หายเข้าไปข้างใน
หวังหลินสัมผัสได้ว่าวิญญาณของซือถูหนานเพิ่มกำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว จากครึ่งโปร่งแสงในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปเป็นร่าง
หลังจากนั้นแสงจากดวงวิญญาณได้หายวับไป วิญญาณของซือถูหนานเป็นรูปร่างมากขึ้นแต่เขายังคงไม่ตื่นอยู่ดี
“ตอนนั้นซือถูหนานได้บอกว่ามีเพียงข้าบรรลุขั้นแปลงวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยให้เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้ เขาพูดคลุมเครือมาก ข้ากลัวว่ามันเกี่ยวกับพลังปราณสวรรค์” หวังหลินครุ่นคิดขณะมองไปที่วิญญาณของซือถูหนานก่อนจะมองวิญญาณของครอบครัวตัวเอง
หวังหลินจ้องพวกเขาอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยอย่างเจ็บปวด “ท่านพ่อท่านแม่ ลูกควรจะส่งท่านทั้งสองกลับไปในวัฎจักรแห่งการเกิดใหม่ แต่ข้ามิอาจทำได้…”
หวังหลินถอนหายใจและออกมาจากลูกปัด
“แขนสองข้างนั้นเป็นส่วนร่างกายของซือถูหนานจริงๆ ข้าสงสัยว่าร่างเขายังมีอีกหลายชิ้นที่ยังหลงเหลืออยู่” หวังหลินมองออกไปไกลขณะเดินออกมาจากลูกปัด ตรงไปยังตำแหน่งที่เผ่ามารยักษ์ตั้งอยู่
“ข้าได้ตรวจสอบวิญญาณของหลี่หยวนเฟิงแล้ว เขาได้รับแขนสองข้างนี้ด้วยความบังเอิญและไม่มีรู้ว่ามันมาจากไหน” หวังหลินส่ายศีรษะจากนั้นก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไป
“ข้าต้องเอากระบี่สวรรค์คืนมาจากบรรพชนเผ่ามารยักษ์! ตอนนั้นซุนไท่ต่อสู้กับบรรพชนเผ่ามารยักษ์แต่ในท้ายที่สุด บรรพชนเอาชนะโดยการใช้พลังสายเลือด อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเขาได้ถูกหุ่นเชิดซากศพของซุนไท่ตามล่า ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ซุนไท่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“แม้ซุนไท่จะไม่ตายก็จำเป็นต้องครอบครองร่างใหม่อยู่ดี ข้าไม่ทราบว่าเวลาที่ต้องใช้เข้าสู่ร่างใหม่จะสั้นหรือนานเท่าไหร่ แต่ข้าเชื่อว่าเขาปรับตัวเข้ากับร่างใหม่อย่างสมบูรณ์เป็นแน่…” เพียงก้าวเดียวหวังหลินปรากฎตัวนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแห่งหนึ่ง
“บรรพชนเผ่ามารยักษ์แตกต่างจากหลี่หยวนเฟิง หลี่หยวนเฟิงบรรลุขั้นตัดวิญญาณด้วยกำลังบังคับ แต่บรรพชนเผ่ามารยักษ์บรรลุระดับขั้นขึ้นมาด้วยระดับฝึกฝนของตัวเอง อีกทั้งลักษณะการต่อสู้ของเผ่ามารยักษ์คล้ายคลึงกับเทพโบราณ อาจเป็นไปได้ว่าบรรพชนได้มีความสัมพันธ์กับเทพโบราณอยู่บ้าง”
“ซึ่งข้าไม่มั่นใจในการต่อสู้กับเขาเลย!”
หวังหลินขมวดคิ้วบางและหยุดลงเบื้องหน้าทางเข้าค่ายกลเคลื่อนย้าย หนึ่งในปลายทางบนค่ายกลเคลื่อนย้ายคือเผ่ามารยักษ์
หวังหลินใบหน้ายุ่งเหยิงและเริ่มคิด
“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังสายเลือดที่เขามีจนแม้แต่เซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางต้องหวาดหวาด ในท้ายสุดแม้แต่ซุนไท่ยังถูกดูดเข้าไปในวังวน ความมั่นใจในการเอาชนะยิ่งลดต่ำลงอีก”
“สู้หรือไม่สู้ดี?!” เป็นหนึ่งไม่กี่ครั้งในชีวิตหวังหลินที่เขาเริ่มลังเล
“หากข้าต่อสู้ ผลลัพธ์ช่างคลุมเครือแน่!”
“การไม่ต่อสู้หมายถึงพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการสังหารมัน หากข้ารอจนกว่ามันครอบครองกระบี่จนสำเร็จ นั่นยิ่งไม่รู้ว่าจะต้องรอนานเท่าไหร่จนกว่าจะสังหารได้ เหตุผลที่เขาอยากสังหารข้าต้องเป็นเพราะมีสมาชิกของเผ่ามารยักษ์เห็นลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเมื่อตอนนั้น”
หวังหลินมีชีวิตอยู่มาห้าร้อยปี จากกระทั่งคนที่โง่งมที่สุดกลายเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ประสบการณ์ห้าร้อยปีได้ทำให้เขาเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมามายหลายสิ่ง
หลังจากรวมเบาะแสหลายอย่างเข้าด้วยกันหวังหลินจึงมองทุกอย่างออกตอนที่เขาตื่นขึ้นเมื่อสองปีก่อน
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบและเขาก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณวางหินหยกสวรรค์เข้าไปในค่ายกลและทันใดนั้นแผนที่ที่ส่องแสงสว่างขึ้นสิบจุดปรากฎ
หวังหลินสัมผัสหนึ่งในจุดนั้น แผนที่หายวับไปและค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดออกมาทันที
ค่ายกลสว่างขึ้นและสว่างขึ้นเรื่อยๆ ร่างหวังหลินค่อยๆหายตัวไป
ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณในแคว้นพิลูกระพริบวาบและร่างหนึ่งเดินออกมา
ร่างนั้นเดินตรงไปหาสำนักหลอมวิญญาณโดยไม่หยุดพัก
ในกลางดึก ภูเขาทั้งสามของสำนักหลอมวิญญาณราวกับคมมีดสามเล่มชี้ขึ้นท้องฟ้า
ร่างหวังหลินปรากฎตัวนอกสำนักหลอมวิญญาณ เขาผ่านค่ายกลป้องกันและเหาะเหินไปทางวงแหวนสีทองทั้งเก้า
วงแหวนทั้งเก้าดวงส่องสว่างและชายวัยกลางคนปรากฎตัวออกมา ตอนที่เห็นหวังหลินเขาเผยใบหน้าอันซับซ้อนก่อนจะถอนหายใจ “ข้าโอวหยางเทียน ขอคำนับจ้าวสำนักน้อย”
“จ้าวสำนักน้อย…” สายตาหวังหลินส่องสว่าง เขาตระหนักได้ว่าตุ้นเทียนต้องบอกเหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณกับเรื่องของเขา
หวังหลินคำนับฝ่ามือ “สหายเซียนโอวหยาง ข้าต้องการพบบรรพชน”
โอวหยางเทียนส่ายศีรษะ “ท่านบรรพชนปิดด่านฝึกตนไปแล้ว เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนมากๆ ท่านจะไม่ให้ใครรบกวน แต่ว่าท่านบรรพชนได้คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าท่านจะมาดังนั้นจึงได้เตรียมของสองสิ่งไว้”
สิ้นคำใบหน้าของเขายิ่งยุ่งยากขึ้นพร้อมกับโยนกระเป๋าออกมาหนึ่งใบ
หวังหลินรับเอาไว้ หลังตรวจสอบมันจึงมีท่าทีประหลาดโดยพลัน
โอวหยางเทียนยิ้มอย่างขมขื่น “จ้าวสำนักน้อยเป็นผู้รับช่วงต่อซึ่งท่านบรรพชนตุ้นเทียนเลือกด้วยตัวเอง ข้าอยู่ในสำนักหลอมวิญญาณมาเจ็ดร้อยปีและไม่เคยเห็นท่านบรรพชนยกสิ่งนี้ให้ใครแม้จะเป็นธงหลักหรือธงมายา”
ก่อนหน้านี้เขาถูกบรรพชนตุ้นเทียนเรียกเข้าไปพบและให้ยกกระเป๋านี้กับหวังหลินเมื่อเขามาถึง เขาสอดรู้สอดเห็นและตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าซึ่งนั่นทำให้เขาตื่นตกใจ หากเขาไม่ภักดีต่อสำนักหลอมวิญญาณและเคารพต่อบรรพชนตุ้นเทียน เขาคงถูกความโลภกลืนกินไปแล้ว
มีของเพียงสองชิ้นข้างในกระเป๋า
หินหยกหนึ่งชิ้นและธงวิญญาณหนึ่งผืน
หวังหลินนำหินหยกออกมาและตรวจสอบมัน หลังจากนั้นชั่วขณะเขาสูดหายใจลึกและโค้งคำนับต่อวงแหวนโลหิต “ขอบคุณมาก!” แม้มันจะบางเขาแต่เขาจดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ
สิ้นคำ หวังหลินพยักหน้าต่อโอวหยางเทียนและหายตัวไป
สีหน้าโอวหยางเทียนยิ่งซับซ้อน เขาส่ายศีรษะและถอนหายใจพลันกลับเข้าวงแหวนสีทองของตัวเอง
“พลังสายเลือดของเผ่ามารยักษ์แข็งแกร่งมาก แต่บรรพชนเผ่ามารยักษ์พึ่งบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้มันได้เต็มที่และทำได้เพียงใช้มันเคลื่อนย้ายคนออกไปสู่มิติว่างนอกซูซาคุเท่านั้น” หวังหลินไม่ได้ออกไปจากสำนักหลอมวิญญาณแต่นั่งบนยอดภูเขาหลอมวิญญาณ สายตาเป็นประกาย
ข้างในหินหยก ตุ้นเทียนบันทึกรายละเอียดเชิงลึกของพลังสายเลือดเผ่ามารยักษ์
หวังหลินสูดหายใจลึก สัมผัสกระเป๋าที่ตุ้นเทียนทิ้งไว้ให้และแสงสีทองม่วงลอยออกมา
แสงสีทองม่วงนี้ส่องสว่างมาก มันเปลี่ยนไปเป็นธงสูงสามสิบฟุตทันทีพร้อมกับพัดพลิวไสวโดยไม่มีแรงลม
ในเวลาเดียวกันคลื่นเสียงร้องไห้ดังออกมาจากธง ท้องฟ้ามืดมนมากขึ้นกว่าเดิม แม้กระทั่งดวงจันทร์ยังถูกซ่อนไว้หลังก้อนเมฆราวกัยหวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะออกมา
แสงสีม่วงทองหลายเส้นอยู่ในผืนธง ราวกับว่าหากพวกมันออกมาจะกลืนกินฟ้าดินและสั่นสะเทือน
“ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง!” หวังหลินสูดหายใจลึกและจ้องธงผืนนี้
สิ่งนี้คือของชิ้นที่สองที่บรรพชนตุ้นเทียนทิ้งไว้ในกระเป๋าและเป็นสิ่งที่โอวหยางเทียนมีใบหน้าซับซ้อน หวังหลินกลับมาครั้งนี้เพื่อหยิบยืมสมบัติจากบรรพชนตุ้นเทียนซึ่งสามารถใช้สังหารบรรพชนเผ่ามารยักษ์ได้
อย่างไรก็ตาม ธงผืนนี้ไม่ใช่ธงของจริง ตัวจริงอยู่ข้างกายตุ้นเทียนระหว่างที่เขาปิดด่านฝึกตน
ผืนธงเบื้องหน้าเขาเป็นธงตัวแทนที่สร้างจากธงหลัก มีพลังหนึ่งในสามเท่าของธงตัวจริงและใช้ได้เพียงสองครั้งเท่านั้น หลังใช้ไปสองครั้งมันจะหายไป
แม้กระนั้นธงตัวแทนผืนนี้ถือว่าสูงค่า ดวงตาหวังหลินสว่างวาบและคว้าธงเอาไว้ ขณะที่เขาสัมผัสมัน วิญญาณดั้งเดิมพลันสั่นสะท้านและขยายจากร่างกายเข้าสู่ธงวิญญาณ จากนั้นสัมผัสการเข้าสู่นรกของเหล่าเซียนอุบัติขึ้น
เขาเห็นทะเลวิญญาณที่ทั้งพุ่งและจมดิ่งเข้าหาเขา
คลื่นเสียงกรีดร้องและความเจ็บปวดปะทะเข้าหาหวังหลินราวกับคลื่นพลังโจมตีอันรุนแรง หวังหลินสัมผัสความรู้สึกราวกับถูกวิญญาณนับล้านดวงกระแทกใส่
แม้จะมีร่างอันแข็งแกร่งทรงพลัง เขากลับรู้สึกเหมือนกับจะแตกสลายภายใต้พลังสายนี้ สิ่งที่ทำให้ตกใจมากที่สุดก็คือวิญญาณดั้งเดิมของเขาเผยอาการว่ากำลังแตกสลาย
หวังหลินไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่เพียงหนึ่งการโจมตี!
ฝ่ามือขวาที่กำลังกำผืนธงได้สั่นเทา ดวงตาเป็นประกายและรีบคืนสติตัวเองให้กระตุ้นวิชาผนึกวิญญาณที่ตุ้นเทียนให้มา
ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงเป็นสมบัติอันดับหนึ่งของสำนักหลอมวิญญาณ แม้แต่ทั้งดาวเคราะห์ สมบัติชิ้นนี้นับว่าเป็นหนึ่งในสมบัติชั้นยอด
สมบัติชิ้นนี้เป็นเสมือนราชรถสังหารเทพและกระบี่สวรรค์ การควบคุมมันจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษซึ่งสืบทอดมาจากผู้สืบทอดคนก่อน
วิธีการควบคุมธงวิญญาณผืนนี้คือกรรมวิธีการผนึกวิญญาณ ซึ่งตอนนี้มีเพียงแค่สองคนที่รู้วิชาผนึกวิญญาณนั่นรวมถึงหวังหลินด้วย
ธงวิญญาณแตกต่างจากราชรถสังหารเทพ แม้เขาจะมีวิชาที่ใช้ควบคุมราชรถ ทว่าหวังหลินอ่อนแอเกินไปที่จะใช้มันได้ ดังนั้นพลังของมันจึงไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ควรจะเป็น
ทว่าธงวิญญาณผืนนี้ไม่เหมือนกัน แม้มันจะมีความต้องการระดับบ่มเพาะแต่ไม่ได้สูงเท่าราชรถสังหารเทพ การที่ร่างหลักและร่างอวตารหลอมรวมกัน ระดับบ่มเพาะปัจจุบันของหวังหลินจึงสามารถใช้มันได้อย่างเพียงพอ
วิชาผนึกวิญญาณกระตุ้นขึ้นในร่างกายและวิญญาณดั้งเดิมของเขาที่อยู่ในธงวิญญาณพลันเริ่มเปล่งแสง เหล่าดวงวิญญาณทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้าหาเขาต่างกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
ในเหล่าดวงวิญญาณพวกนี้มีดวงวิญญาณสีม่วงและสีทองทั้งสิบสอดวงที่ลอยออกมาล้อมรอบหวังหลิน ดวงวิญญาณทั้งหมดนี้ปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลังออกมา
เหล่าดวงวิญญาณทั้งสิบสองดวงต่างโค้งคำนับต่อหวังหลิน