Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 410

Cover Renegade Immortal 1

410. แปลงวิญญาณ (1)

การเดินทางของโจวลี่ในการค้นหาท่านลุงได้ดำเนินต่อไป นางไม่มีความคิดว่าทำไมลุงถึงได้ทิ้งไปดังนั้นอยากจะค้นหาหวังหลินและถามเหตุผลกับเขา

ตอนนี้หวังหลินอยู่บนยอดภูเขาพร้อมกับหินหยกสวรรค์ที่เขาเป็นเจ้าของทั้งหมดรอบๆพื้น

ขณะนั่งลงตรงกลางวงกลม เขาทิ้งความคิดทั้งหมดออกไปและเพ่งสมาธิไปที่การบ่มเพาะ

ระดับบ่มเพาะของหวังหลินในปัจจุบันได้บรระลุมาถึงขั้นตัดวิญญาณระดับสูงสุดและเขตแดนก็บรรลุมาสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงต้องการทะลวงผ่านขั้นแปลงวิญญาณ

ขั้นแปลงวิญญาณเป็นเป้าหมายของเซียนทุกคน

เมื่อพวกเขาบรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้ เขตแดนจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นสู่ระดับที่ไม่อาจจินตนาการถึง นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถดูดซับพลังปราณสวรรค์ได้นั่นหมายความว่าวิชาเซียนและมนต์คาถาทั้งหมดที่บรรจุพลังปราณสวรรค์เข้าไปจะทำให้มีพลังอำนาจมากขึ้นไร้ที่สิ้นสุด

ในยุคโบราณกาลก่อนที่ดินแดนสวรรค์จะล่มสลาย เซียนขั้นแปลงวิญญาณไม่ใด้หายากเลย ทว่าตอนนี้ดินแดนสวรรค์ล่มสลายไปแล้ว เซียนขั้นแปลงวิญญาณสักคนนึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

กุญแจสำคัญในการทะลวงผ่านจากขั้นตัดวิญญาณไปสู่ขั้นแปลงวิญญาณก็คือจำนวนหินหยกสวรรค์ ยิ่งมีหินหยกสวรรค์มากก็ยิ่งมีพลังปราณสวรรค์หนานแ่นและมีโอกาสสูงขึ้นในการทะลวงผ่านไปสู่ขั้นแปลงวิญญาณได้

แน่นอนว่าเขตแดนที่ใช้ก็เป็นหน้าหลักในการบรรลุขั้นแปลงวิญญาณเช่นกัน หากเขตแดนของคนผู้นั้นไม่ได้บรรลุระดับสมบูรณ์ก็ไม่มีความหวังว่าจะบรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้เลย

การรู้แจ้งกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์คือสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับเซียนขั้นแปลงวิญญาณ

การรู้แจ้งกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ของหวังหลินนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ หลังจากได้เห็นว่าผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์คือเทพโบราณตนหนึ่งแล้ว เขาจึงสงสัย

กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์คือสิ่งใด…

ก่อนหน้านี้หวังหลินเข้าใจว่ากฎเกณฑ์แห่งสวรรค์คือกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่มีตัวตนมาเสมอเหมือนกับกฎเกณฑ์แห่งการทำลาย

ไม่มีใครสามารถแทนที่กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ เหล่าเซียนแค่ฝืนกฎสวรรค์และท้าท้ายโชคชะตา ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะสามารถแทนที่หรือควบคุมกฎสวรรค์ไปได้

ทว่าหลังจากที่หวังหลินเห็นเทพโบราณ ความเข้าใจเรื่องกฎสวรรค์ของเขาจึงผ่านการเปลี่ยนแปลง

มีเรื่องลึกลับอยู่ตรงหน้าเขา แต่ด้วยความเข้าใจในปัจจุบันหวังหลินจึงไม่อาจรู้แจ้งได้ทั้งหมด

“กฎสวรรค์…น่าสนใจ!” ดวงตาหวังหลินเป็นประกาย

เขาสูดหายใจลึกและเปิดรูขุมขนทั้งหมดในร่างกายเพื่อดูดซับพลังปราณสวรรค์จากหินหยกรอบๆ

ตอนที่หวังหลินเข้าไปในดินแดนสวรรค์ เขาได้หินหยกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หินหยกเหล่านี้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้หวังหลินบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ ในตอนนี้พลังปราณสวรรค์พรั่งพรูอย่างรุนแรงเข้าไปในร่างหวังหลิน

เปรียบกับครั้งล่าสุดที่เขาดูดซับพลังปราณสวรรค์ มันเจ็บปวดน้อยกว่าครั้งนี้มากนัก พลังปราณสวรรค์พุ่งพล่านเข้าสู่ร่างเขาและข่มพลังปราณในร่างเอาไว้

พลังที่แตกต่างสองสายราวกับน้ำกับไฟ เริ่มการต่อสู้เอาเป็นเอาตายในร่างกายเขา

ร่างของหวังหลินมีพลังปราณจำนวนมาก ดังนั้นในตอนแรกที่พลังปราณสวรรค์เข้ามาในร่างเขาเพียงเล็กน้อยมันจึงเอาชนะกลับได้ทันที อย่างไรก็ตามขณะที่เวลาผ่านไปและยิ่งมีพลังปราณสวรรค์เข้าสู่ร่างเขามากขึ้น พลังปราณจึงไม่สามารถทนต่อต้านพลังปราณสวรรค์กลับไปได้อีก

แม้ว่าจะยังมีพลังปราณมากกว่าพลังปราณสวรรค์ ความแตกต่างทางด้านคุณภาพกลับห่างชั้นกันมาก พลังปราณสวรรค์หนึ่งเส้นเทียบเท่ากับพลังปราณทั้งหมดของเซียนขั้นแกนลมปราณหนึ่งคน

ซึ่งทำให้พลังปราณถูกผลักถอยกลับไปโดยธรรมชาติ

เมื่อเซียนขั้นตัดวิญญาณกลายเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณ สามารถเลือกได้สองแบบ อันดับแรกคือพลังปราณทั้งหมดถูกผลักออกจากร่างกายและจากนั้นเมื่อเหลือเพียงพลังปราณสวรรค์ ร่างกายที่เปลี่ยนเปลงนั้นจะทะลวงไปสู่ขั้นแปลงวิญญาณ

วิธีนี้ค่อนข้างง่ายและเป็นสิ่งที่เซียนส่วนใหญ่เลือกทำ ทว่าพลังปราณทั้งหมดจะสูญสิ้นและจะต้องบ่มเพาะกลับคืนมา รวมไปถึงเมื่อผ่านไปได้พลังปราณที่มีอยู่นั้นจะไม่เสถียรอีก

วิธีเช่นนี้จำเป็นต้องปิดด่านฝึกตนเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเพื่อปรับสภาพร่างกาย

วิธีที่สองคือการหลอมพลังปราณในร่างกายจนมีระดับคุณภาพเทียบเท่ากับพลังปราณสวรรค์ วิธีนี้ยากมากเนื่องจากต้องใช้พลังปราณหลอมรวมอย่างไม่หยุดหย่อน

แต่เมื่อมันสำเร็จจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลระหว่างขั้นแปลงวิญญาณระดับต้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องปิดด่านฝึกตนหนึ่งร้อยปีและยังได้ผลลัพธ์เหมือนกัน

ผลประโยชน์ของวิธีที่สองคือการประหยัดเวลาหนึ่งร้อยปีและโดยธรรมชาติแล้วความเร็วการฝึกฝนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

หวังหลินเลือกวิธีที่สอง นอกจากนั้นเขายังไม่มีเวลาปิดด่านฝึกคนหนึ่งร้อยปีอีก

พลังปราณในร่างกายกำลังควบแน่นด้วยพลังปราณสวรรค์ บีบอัดพลังปราณจากนั้นรวบรวมไปที่จุดตันเถียนอย่างช้าๆ ถัดไปพลังปราณสวรรค์จะทะลวงผ่านชีพจรรอบๆตันเถียน นี่คือกระบวนการเปลี่ยนแปลง พลังปราณสวรรค์เป็นเหมือนกับโรงงานที่ปรับเปลี่ยนพลังปราณในร่างหวังหลินให้ถึงจุดที่สามารถรวมเข้ากับพลังปราณสวรรค์ได้

กระบวนการนี้เชื่องช้าอย่างมาก ในพริบตาเดียวสามเดือนก็ผ่านไปแล้ว

หวังหลินยังไม่ได้เขยับเขยื้อนเลย หินหยกสวรรค์รอบๆตัวเขาจำนวนสองในสามส่วนเปลี่ยนไปเป็นสีเทาและบางส่วนแตกกระจายไปแล้ว

“ไม่เพียงพอ…” หวังหลินลืมตาขึ้นทันที ในสายตาดูเหมือนจะเป็นพลังปราณสวรรค์เคลื่อนไหวอยู่ข้างใน ตอนนี้เขาดูราวกับเป็นเทวดาแห่งสวรรค์

แม้ว่าจำนวนหินหยกสวรรค์ที่หวังหลินมีไม่อาจะเปรียบเทียบกับสำนักใหญ่ได้ แต่ที่เขามียังมีมากนัก ทว่าเมื่อมองดูตอนนี้มันยังไม่พอให้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณ

เขาผ่านการเปลี่ยนแปลงไปเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนแล้วและพลังปราณในร่างกายเขาแค่บีบอัดเท่านั้นและยังไม่ได้หลอมรวมกันเลย

หวังหลินพึมพำกับตนเอง “ไม่สงสัยเลยว่ามีเซียนขั้นแปลงวิญญาณอยู่น้อยนิด จำนวนหินหยกสวรรค์ที่จำเป็นในการบรรลุขั้นแปลงวิญญาณเป็นสิ่งที่แม้แต่สำนักใหญ่ๆก็ยังไม่สามารถครอบครองได้ มิน่าเล่า…”

บรรพชนเผ่ามารยักษ์ใช้ทรัพยากรจากทั้งเผ่าและหินหยกสวรรค์ทั้งหมดที่ฉีฮู่นำกลับมาด้วยจนในที่สุดก็บรรลุขั้นแปลงวิญญาณ ความสำเร็จครั้งนี้เป็นเพราะบรรพชนเผ่ามารยักษ์มีหินหยกสวรรค์เก็บไว้จำนวนมากจากตอนที่เผ่าพวกเขาเคลื่อนย้ายมาดาวเคราะห์ซูซาคุ

ความจริงบรรพชนเผ่ามารยักษ์ควรจะบรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้เมื่อนานมาแล้วแต่พวกเขาไม่มีหินหยกสวรรค์เพียงพอดังนั้นจึงล่าช้าจนถึงที่ผ่านมา

ยังกล่าวได้ว่าหินหยกสวรรค์ไม่ใช่เพียงแค่ใช้เพื่อบรรลุจากขั้นตัดวิญญาณไปขั้นแปลงวิญญาณเท่านั้น เมื่อเป็นเซียนตั้งแต่ขั้นแปลงวิญญาณขึ้นไป พวกเขาจำเป็นต้องใช้หินหยกสวรรค์เพื่อต่อสู้ เพื่อรักษษและกระทั่งหลอมสมบัติ

มีข่าวลือว่าจำนวนหินหยกสวรรค์ที่จำเป็นในการบรรลุขั้นเทวะมีจำนวนมากกว่าหมื่นเท่า และระดับสูงเหนือขึ้นไปนั้นนำนวนเกินจินตนาการ

สถานที่เพียงแห่งเดียวในการได้หินหยกสวรรค์ก็คือดินแดนสวรรค์

หลังจากดินแดนสวรรค์ล่มสลาย สายแร่สวรรค์ก็หายไปทำให้หินหยกสวรรค์มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นให้ลองจินตนาการง่ายๆว่ามูลค่าหินหยกสวรรค์หนึ่งชิ้นมีค่าแค่ไหน

ในโลกแห่งเซียนปัจจุบัน ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีเซียนระดับสูงขึ้นน้อยลงเนื่องจากการหาทรัพยากรการบ่มเพาะที่ยากยิ่งขึ้น

หนึ่งเดือนถัดไป หินหยกสวรรค์ทั้งหมดของหวังหลินแตกสลายจนหมดสิ้นและไม่มีหลงเหลืออยู่เลย เขาต้องหยุดการดูดซับเพียงเท่านี้

“เจดีย์มีพลังปราณสวรรค์จำนวนมากแต่เมื่อข้าสัญญากับโจวยี่ว่าจะปกป้องร่างศพสวรรค์ ข้าไม่มีอาจมีความคิดใดเรื่องเจดีย์…” หวังหลินยืนขึ้นและมองออกไปไกล

สัมผัสวิญญาณกระจายออกและปกคลุมเกือบทั้งดวงจันทร์​หลังแปลงพลังไปได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วนสัมผัสวิญญาณของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“สำนักหลอมวิญญาณต้องมีหินหยกสวรรค์เก็บไว้…สำนักอื่นๆก็ต้องมีเก็บไว้เช่นเดียวกัน…ข้าไม่สามารถขอมาได้ดังนั้นข้าต้องขโมยมา ข้าต้องบรรลุขั้นแปลงวิญญาณให้ได้!” ดวงตาหวังหลินสว่างวาบและร่างกายหายวับไป

โจวลี่ไม่มีกำลังใจแล้ว ขณะที่กำลังขี่บนหลังเจ้าขาวน้อย นางมองไปยังที่ราบกว้างใหญ่เบื้องหน้า

“ทิ้งข้าไว้ให้อยู่คนเดียวที่นี่ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าท่านทำอะไร มันน่าโกรธจริงๆ!” โจวลี่ถือผลไม้ในมือและกัดไปคำใหญ่

“ลี่เอ๋อน้อย…”

เสียงอันคุ้นเคยเข้าสู่โสตประสาทโจวลี่ นางตกใจและหันกลับมาทันที เบื้องหลังนางเป็นร่างหวังหลินค่อยๆปรากฎอย่างช้าๆ

“ท่านลุง!” ใบหน้าโจวลี่เต็มไปด้วยความสุข นางกระโดดลงเจ้าขาวน้อย เพียงไม่กี่ก้าวนางก็มาถึงเบื้องหน้าหวังหลินและกระโจนเข้าสู่อ้อมแขน

โจวลี่ไม่เป็นสาวน้อยอีกแล้ว ตอนนี้นางอายุยี่สิบปี

“ท่านลุงไปไหนมา? ท่านทิ้งข้าไว้ให้อยู่คนเดียว” ดวงตาโจวลี่เปลี่ยนเป็นสีแดง

ในสายตาหวังหลินนางยังเป็นเด็กน้อย เขาลูบศีรษะนางเบาๆและดวงตาแฝงความรู้สึกอันซับซ้อนขณะยิ้มออกมา “ลุงออกไปทำธุระสำคัญบางอย่างและตอนนี้เสร็จแล้ว ลี่เอ๋อน้อยคิดถึงครอบครัวเจ้าไหม? ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน…”

โจวลี่ปาดน้ำตาและพูดด้วยความสุข “เราจะไปจากที่นี่หรือ? ตกลง ตกลง!”

หวังหลินมองโจวลี่ เขาเฝ้าดูเด็กคนนี้เติบโตขึ้นเหมือนกับต้าหนิว

หวังหลินตบกระเป๋าและเจดีย์ลอยออกมาวางบนด้านข้าง หลังจากโจวลี่เห็นเจดีย์ นางบุ้ยหน้าและเอ่ยขึ้น “ท่านลุง ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเด็กข้าเกือบจะหิวตายในเจดีย์ไปแล้ว…”

หวังหลินโบกแขนและผลไม้จำนวนมากจากดวงจันทร์มีอยู่เต็มเจดีย์

หลังโจวลี่และเจ้าขาวน้อยเข้าไปในเจดีย์ หวังหลินมองไปทางท้องฟ้า จุดสีดำค่อยๆใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นจนกระทั่งเผยออกมาเป็นเจ้าอสูรยุง

มันส่งเสียงร้องขณะร่อนลงเบื้องหน้าหวังหลินด้วยแววตามีความสุข ปากใหญ่ๆของมันเลียหวังหลินไปทั้งตัว เห็นได้ชัดว่ามันคิดถึงหวังหลินขนาดไหน

“ไปกันเถอะ เรากลับบ้านกัน!” หวังหลินตบอสูรยุงก่อนจะกระโดดไปบนหลังมัน

อสูรยุงร้องคำรามและพุ่งเข้าสู่ท้องฟ้า

ในอวกาศ หวังหลินนำเข็มทิศดวงดาวออกมาและเก็บอสูรยุงกลับไปพร้อมกับเหาะเหินเข้าหาดาวเคราะห์ซูซาคุ

“หินหยกสวรรค์ ข้าต้องการหินหยกสวรรค์!” สายตาหวังหลินเป็นประกายขณะที่เข็มทิศดวงดาวลอยเข้าหาดาวซูซาคุราวกับสายฟ้า

ดวงจันทร์อยู่ไม่ไกลจากดาวซูซาคุ ดังนั้นจึงใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นที่หวังหลินจะมาถึงซูซาคุ

“นี่มันอะไรกันนี่?” หวังหลินขมวดคิ้วหลังจากตรวจสอบดาวเคราะห์ซูซาคุ

เขาสัมผัสกลิ่นอายแข็งแกร่งจากดาวเคราะห์ กลิ่นอายนี้มาจากต้นไม้ยักษ์ที่สร้างจากหมอกดำ

“นี่มัน…สำนักละทิ้งอมตะ!” หวังหลินสายตาเยือกเย็นขณะพุ่งเข้าหาดาวซูซาคุราวกับอุกกาบาต

ทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ เข็มทิศดวงดาวเคลื่อนที่ลงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

หวังหลินเห็นเซียนสิบคนต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ไม่ไกลและเขารู้จักหนึ่งในนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!