436. เฉาอวีโต้ว
พื้นที่ห่างไกลทางทิศตะวันตกของแคว้นจ้าวมีพื้นที่ราบเยือกเย็นสุดขั้วแห่งหนึ่งตั้งอยู่ แม้แต่เหล่าเซียนก็ยากที่จะย่างกรายเข้ามาที่นี่
นอกจากความหนาวเย็นสุดขั้วแล้วสถานที่แห่งนี้มีรัศมีเก้าปฐพี เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดก็ไม่ต้องการสัมผัส ใครก็ตามที่มีระดับขั้นต่ำกว่าวิญญาณแรกกำเนิดเมื่อสัมผัสมันจะได้รับบาดเจ็บทันที
ที่นี่คือตำแหน่งที่สำนักซากศพตั้งอยู่ในแคว้นจ้าว
ร่างหวังหลินเคลื่อนไหวผ่านพื้นที่ราบราวกับภูติพราย เขาสามารถเห็นได้ว่าสถานที่แห่งนี้ล้อมรอบด้วยค่ายกลยักษ์แห่งหนึ่ง ดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่สามารถเข้ามาได้เลย
ทว่าค่ายกลนี้ด้วยระดับของหวังหลินในปัจจุบันจึงทำลายมันได้ง่ายๆ เขาหยุดลงที่ไหนสักแห่งบนที่ราบจากนั้นก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไป
ตอนที่เขาหายตัวไปหวังหลินได้ยินอยู่บนตาของค่ายกล เมื่อปรากฎขึ้นอีกครั้งเขามาโผล่อยู่ใต้ดินแล้ว หวังหลินมองไปรอบๆและเห็นอุโมงค์นับไม่ถ้วนไร้ที่สิ้นสุดพร้อมกับถ้ำเหมือนเขาวงกตของสำนักซากศพ
มีเซียนจำนวนมากกำลังบ่มเพาะอยู่ในถ้ำแต่ละแห่ง คนพวกนี้มีระดับบ่มเพาะหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นขั้นพื้นฐานลมปราณ มีน้อยคนที่เป็นขั้นแกนลมปราณและส่วนเซียนขั้นแปลงวิญญาณน้อยยิ่งกว่า
สัมผัสวิญญาณของหวังหลินกระจายออกไปและทั้งสำนักซากศพปรากฎขึ้นในใจ เขาให้ความสนใจถ้ำที่อยู่ตรงกลางสำนักซากศพ
หลี่ฉิงผิงบ่มเพาะอยู่เงียบๆในถ้ำขนาดใหญ่ใจกลางสำนักซากศพ มีหมอกควันสีดำเบื้องหลังเขามีหนวดนับไม่ถ้วนยื่นออกมา
หลี่ฉิงผิงเป็นจ้าวสำนักคนปัจจุบันของสำนักซากศพในแคว้นจ้าว เขาบรรลุถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายแล้ว
ภาพลักษณ์ภายนอกของเขาดูเหมือนอายุราวยี่สิบเศษ แม้จะมีเส้นผมบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วแต่เขากลับดูหน้าตาคมคายอย่างมาก เขาต้องมีชายที่สตรีหลายคนหมายปองตอนที่ยังหนุ่มแน่นอน
เขาเป็นผู้ดูแลสำนักซากศพในแคว้นจ้าวมาสองร้อยปีและระมัดระวังตัวมาเสมอ เขาปฏิสัมพันธ์กับโลกข้างนอกนานๆครั้งทำให้สำนักซากศพคงอยู่อย่างลึกลับในแคว้นจ้าว
เขาใช้เวลาทั้งหมดปิดด่านฝึกตนเพื่อหวังจะบรรลุขั้ตัดวิญญาณก่อนที่ดวงวิญญาณข้างในหุ่นเชิดจะมาแทนที่ เมื่อเขาบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ สำนักซากศพสาขาใหญ่บนดาวซูซาคุจะเตรียมร่างดีดีให้เขา ทำให้เขาจะกลายเป็นศิษย์หลักของสำนักซากศพและหากทำงานได้ดีเขาก็มีโอกาสย้ายเข้าไปสาขาใหญ่
หลี่ฉิงผิงซึ่งกำลังบ่มเพาะอยู่มิอาจตรวจจับสัมผัสวิญญาณของหวังหลินได้เลยแต่สายหมอกสีดำเบื้องหลังเขาสั่นเทาพร้อมกับดวงตาชั่วร้ายปรากฎจากข้างใน
ทว่าดวงตานั้นไม่ได้เผยความเยือกเย้นและหนาวเหน็บดังเช่นปกติ แต่กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสยองขวัญ
“ผู้อาวุโส…” ร่างนั้นสั่นเทาและกำลังจะเอ่ยขึ้น
“เจ้าน่าสนใจนักที่ตรวจจับการมาถึงของข้าได้ด้วยระดับขั้นตัดวิญญาณระดับกลางเท่านั้น!” น้ำเสียงหวังหลินดังก้องในรูหูของสายหมอกสีดำ
สายหมอกสีดำสั่นเทามากขึ้น ตอนที่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินกวาดผ่านไป มันรู้สึกถึงสายลมหนาวเย็นพัดใส่ทำให้วิญญาณดั้งเดิมไม่เสถียรจนถึงจุดที่มันแทบจะแตกสลาย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตอนที่มันเผชิญกับผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้น
ร่างสีดำรีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ผู้อาวุโสโปรดเมตตา เหตุผลที่ผู้น้อยสามารถสังเกตได้เป็นเพราะวิธีการบ่มเพาะของผู้น้อยสัมพันธ์กับสัมผัสวิญญาณ ดังนั้นจึงแทบจะรับรู้ได้เท่านั้น”
เขารู้ว่าด้วยระดับบ่มเพาะของผู้อาวุโสคนนี้ แม้เขาจะมีร่างกาย ผู้อาวุโสคงสามารถสังหารเขาโดยไม่มีปัญหาใด เขาเดาว่าคนผู้นี้เป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณแน่
“โอ้? เจ้ามาจากสำนักไหนกัน?” หวังหลินส่งข้อความออกไปด้วยสัมผัสวิญญาณ
“เรียนผู้อาวุโส ข้าไม่ใช่คนจากดาวซูซาคุแต่เป็นศิษย์ของสำนักหมีเร่อบนดาวเทียนหยุน ผู้น้อยสูญเสียร่างกายและจ่ายทรัพยากรมาเพื่อซื้อร่างจากสำนักซากศพ” หมอกสีดำรีบตอบกลับและไม่กล้าโกหกสิ่งใด
“หากเจ้ามาจากดาวเทียนหยุน ทำไมถึงมาอยู่บนดาวซูซาคุเล่า?” สัมผัสวิญญาณของหวังหลินเย็นเฉียบ
สัมผัสวิญญาณของสายหมอกสีดำมีความตื่นรู้ดีมากดังนั้นจึงตรวจจับสัมผัสวิญญาณอันหนาวเย็นของหวังหลินได้ทันที ร่างกายเขาสั่นเทาและรีบตอบกลับ “ผู้อาวุโสโปรดอย่าโกรธเกรี้ยว อย่าโกรธเกรี้ยว หากข้าฟื้นตัวที่ดาวเทียนหยุน ข้าคงเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป ผู้น้อยไม่สามารถใช้หินหยกสวรรค์จำนวนมากจ่ายไปได้ ดังนั้นจึงเลือกฟื้นตัวบนซูซาคุเท่านั้น แม้มันจะใช้เวลานานแต่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้น้อย”
หวังหลินถาม “เจ้าชื่ออะไร?”
หมอกสีดำรีบตอบกลับ “ผู้น้อยชื่อ เฉาอีโต้ว” การระมัดระวังตัวของสายหมอกสีดำทให้หวังหลินนึกถึงฉวี่ลี่กั๋ว
“เฉาอวีโต้ว…” ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นและสัมผัสวิญญาณสร้างเป็นแขนยักษ์ยื่นเข้าหาสายหมอกดำ
เฉาอวีโต้วหวาดกลัวและออกจากร่างของหลี่ฉิงผิงทันที เขาพยายามหลบหนีแขนนั้นและเอ่ยขึ้น “ทุกสิ่งที่ผู้น้อยพูดเป็นเรื่องจริง มันเป็นเรื่องจริง!”
เขามีการเชื่อมต่อกับหลี่ฉิงผิง ตอนที่เฉาอวีโต้วเคลื่อนไหวจึงทำให้หลี่ฉิงผิงตื่นไปด้วยและร้องตะโกน “ใคร?!”
ระลอกคลื่นปรากฎกลางอากาศขณะหวังหลินเดินออกมามองทางหลี่ฉิงผิงอย่างเย็นชา
เพียงชำเลืองมองคราเดียวกลับทำให้ร่างหลี่ฉิงผิงสั่นเทาและเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ เขาลอบก่นด่าในใจ สายตาที่มองมานั้นราวกับกระบี่แทงผ่านร่างเขาไป แม้กระทั่งวิญญาณดั้งเดิมของเขายังแข็งค้างและร่างกายทั้งร่างพลันหนาวเย็นราวกับเขาเปลือยเปล่า ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนไว้ด้านหน้าคนผู้นี้
หวังหลินเอ่ยขึ้น “เจ้า หุบปาก!” จากนั้นมองกลับไปที่สายหมอกดำซึ่งไปหลบในมุมถ้ำ
หลี่ฉิงผิงสูดอากาศหนาวเย็นเข้าไป เข้าไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้เพียงหนึ่งนิ้วพร้อมกับเม็ดเหงื่อเต็มหน้าผาก แม้เขาจะเคยเจอผู้อาวุโสขั้นตัดวิญญาณที่สาขาใหญ่ ไม่มีคนไหนจะมีกลิ่นอายเท่าคนผู้นี้ได้แม้เพียงหนึ่งในหมื่น
จิตใจหลี่ฉิงผิงเด้งกระดอนขณะคิดขึ้นอย่างเจ็บปวด “ขั้นแปลงวิญญาณ!!! ต้องเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณ!! เมื่อตัวประหลาดมาที่นี่…”
ฝ่ามือขวาหวังหลินยื่นออกไปและวิญญาณดั้งเดิมของเฉาอวีโต้วถูกลาออกมาจากมุมถ้ำ ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและกรีดร้อง “ผู้อาวุโส ข้าเป็นลูกค้าของสำนักซากศพ หากท่านจับข้าไปหลอมสมบัติ สำนักซากศพจะไม่ปล่อยท่านไว้แน่!”
หวังหลินเยาะเย้ย “ใครบอกว่าข้าจะเอาเจ้าไปหลอมสมบัติ? เจ้าไม่มีค่าถึงเพียงนั้น!”
เฉาอวีโต้วสั่นสะท้านและคิดได้ว่าหากเซียนขั้นแปลงวิญญาณต้องการจับวิญญาณขั้นตัดวิญญาณสักตนมันก็คงง่ายดายนัก ไม่จำเป็นต้องมาหาเขา
เฉาอวีโต้วข่มความหวาดกลัวในร่างตนเองและถามขึ้นอย่างละเอียด “ผู้อาวุโส ท่าน…หรือว่าท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งอื่น?”
หวังหลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความโอหังใดๆ “กลายเป็นทาสข้าหนึ่งร้อยปี หลังผ่านไปร้อยปีข้าจะให้ร่างขั้นแปลงวิญญาณกับเจ้า ตกลงไหม?”
เฉาอวีโต้วตื่นตะลึง ร่างขั้นแปลงวิญญาณเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับมาในชีวิต หากเขามีร่างขั้นแปลงวิญญาณเมื่อนั้นระดับบ่มเพาะของเขาจะขั้นสู่ขั้นแปลงวิญญาณได้ง่ายดายมาก แม้เขาจะไม่สามารถบรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้ มนต์คาถาทั้งหมดของเขายังทรงพลังมากอยู่ดี กล่าวได้ว่าร่างเซียนขั้นแปลงวิญญาณเป็นเสมือนร่างของเหล่าเทวดาทีเดียว
ในสำนักซากศพ ราคาของศพขั้นแปลงวิญญาณนับว่าเหนือจินตนาการ แม้จะมีอายุขัยทั้งชีวิตของเขายังต้องใช้มากกว่าพันปีเพื่อซื้อมาครึ่งส่วน
เขากัดฟันแน่น “ผู้อาวุโส ท่านต้องสัญญว่าข้าจะไม่ตายภายในช่วงหนึ่งร้อยปีนี้”
หวังหลินเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ตราบใดที่ข้าไม่ตาย เจ้าจะไม่ตาย!”
เฉาอวีโต้วรีบเอ่ยอย่างเคารพ “ตกลง เฉาอวีโต้วขอคำนับนายท่าน!” เขากำลังเสี่ยงมันทั้งหมด เซียนขั้นแปลงวิญญาณไม่มีเหตุผลที่จะหลอกเขา เขายังรู้ว่าเหตุผลที่หวังหลินโยนข้อเสนอที่ดีมาให้เช่นนี้นั่นหมายความว่าเขามีวิธีใช้คนผู้นี้อย่างดีเยี่ยม ทว่าการจะใช้ประโยชน์อย่างไร เขาจึงต้องเสี่ยงดูและการเสี่ยงนี้มีร่างขั้นแปลงวิญญาณเป็นเดิมพัน
“เยี่ยมมาก ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ขอให้เจ้าทำอะไรอันตรายหรอก ข้าเพียงต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับดาวเทียนหยุน เจ้ารู้เรื่องดาวดวงนี้มากเท่าไหร่?” เมื่อหวังหลินกล่าวเช่นนี้ เขาโบกแขนและหลี่ฉิงผิงถูกส่งออกไป
หวังหลินไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องที่เขากำลังจะไปดาวเทียนหยุน เขาต้องระมัดระวังเรื่องนี้ให้มาก
เฉาอวีโต้วรีบเอ่ย “ดาวเทียนหยุน? นายท่าน ข้าเติบโตบนดาวเทียนหยุน แม้มันจะกว้างใหญ่แต่ข้าคุ้นเคยกับมันมาก… นายท่านหรือว่าท่านต้องการไปดาวเทียนหยุนและมีข้าเป็นผู้นำทาง?”
“นั่นถือว่าถูกต้อง เมื่อถึงตอนนั้นข้อตกลงของเราจะเกิดผล!” หวังหลินตบกระเป๋าและนำธงวิญญาณออกมา ธงวิญญาณนี้บรรจุวิญญาณของหลี่หยวนเฟิงไว้ซึ่งเป็นธงที่เขาทำขึ้นมาเองเป็นการส่วนตัว
เพียงสะบัดครั้งเดียว ก่อนที่เฉาอวีโต้วจะตอบสนองทัน หวังหลินเก็บเฉาอวีโต้วเข้าไปในธงเสียแล้ว จากนั้นเขาหายตัวไปจากถ้ำ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี หวังหลินเดินทางผ่านสำนักซากศพที่เหมือนกับเขาวงกตเข้าไปหาจุดที่เขาเคยบ่มเพาะ
ระหว่างทางไม่มีศิษย์สำนักซากศพคนใดสามารถตรวจจับหวังหลินได้ แม้แต่คนที่ไม่บ่มเพาะก็ยังไม่อาจรับรู้ได้ว่าหวังหลินผ่านพวกเขาไป
ดังนั้นหวังหลินจึงมาถึงถ้ำที่เขาบ่มเพาะก่อนนี้ในไม่นานนัก มีคนผู้หนึ่งกำลังบ่มเพาะอยู่ที่นี่ด้วย
เซียนคนนี้เป็นหญิงสาว นางดูธรรมดาแต่ใบหน้ามุ่งมั่นขณะดูดซับพลังหยินที่ออกมาจากหลุมเล็กๆในผนังอย่างต่อเนื่อง
หวังหลินปรากฎตัวในถ้ำและมองดูหญิงสาวก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายหมอกเข้าไปในหนึ่งหลุมเล็กๆในผนัง
ตอนที่หวังหลินยังเป็นเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณ ร่างของเขาไม่สามารถเข้าไปในหลุมเล็กได้ เขาใช้สัมผัสวิญญาณเข้าไปได้เท่านั้นและต้องใช้พลังจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องเก็บน้ำค้างจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเอาไว้เพื่อค่อยๆยื่นสัมผัสวิญญาณจนกระทั่งถึงตำแหน่งที่ยักษ์อยู่
หลังจากเข้าไปในหลุมเล็กๆ ก่อนที่จะไปได้ไกลมีเสียงเรียกหนึ่งดังออกมาจากใต้ดิน
“ช่วยข้าด้วย…”