471. หล่อหลอมสมบัติ
ขณะที่หวังหลินเดินออกมา หวังจัวตะโกนขึ้น “สมาชิกตระกูลหวังทั้งหมด คุกเข่า!”
ลูกหลานตระกูลหวังมากกว่าร้อยคนด้านนอกอารามทั้งหมดคุกเข่า ไม่ว่าตัวตนพวกเขาเป็นอะไร ไม่สำคัญว่าสถานะท่ามกลางผู้คนคืออะไร พวกเขาต่างคุกเข่าเบื้องหน้าบรรพชนผู้ก่อตั้งในตอนนี้!
บรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลหวังจากเมื่อหกร้อยปีก่อน!
มันเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะคุกเข่าเข้าหาบรรพชน!
อีกทั้ง บรรพชนผู้นี้คือคนที่มีชื่อเสียงลือลั่นไปทั้งดาวซูซาคุ! ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในตระกูลอันน้อยนิดบนดาวซูซาคุที่ซึ่งแม้จะมีเหล่าเซียนไปพบเจอเขายังต้องเคารพ!
ทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลหวังสร้างหวังหลินขึ้นมา!
หวังจัวมองหวังหลินและเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น “หวังหลิน ข้าพาลูกหลานตระกูลหวังทั้งหมดมาส่งเจ้า!”
หวังหลินมองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยซึ่งมีสายเลือดตระกูลของเขาและเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมด ลุกขึ้น!”
ตระกูลหวังทั้งหมดลุกขึ้นยืนและมองหวังหลินด้วยสายตาเคารพยกย่อง
“หลังข้าไปแล้ว ข้าจะฝากตระกูลหวังให้เจ้า” หวังหลินกระซิบขณะมองไปที่หวังจัว
หวังจัวขบคิดเล็กน้อย หลังจากนั้นสักพักเขาก็ถอนหายใจและเอ่ยออกมา “ประเดี๋ยวเดียวหกร้อยปีก็ผ่านไปแล้ว หวังหลินเจ้าระมัดระวังตัวด้วย ส่วนเรื่องที่บ้าน ข้าจะดูแลพวกเขาเอง”
หวังหลินหันตัวกลับมองอารามอีกครั้ง เขาก้าวเดินหนึ่งก้าวและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
บ้านบรรพชนเงียบสงัดอย่างสิ้นเชิง สมาชิกตระกูลหวังทั้งหมดหมอบคำนับอีกครั้ง
“เดินทางดีดีนะท่านบรรพชน!”
คลื่นเสียงแห่งการเคารพนับถือดังออกมาจากสมาชิกตระกูลหวัง…
หลายเหตุการณ์จากอดีตผ่านมาในความคิดหวังจัวขณะที่เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาติดตามพ่อของตัวเองมาที่บ้านที่หวังหลินอาศัย เขาเห็นเด็กหนุ่มข้างๆกับลุงสองที่ทุกคนทักทายด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มคนนั้นขยายกว้างออกในใจหวังจัวจนกระทั่งมันเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่…
“หวังหลิน…” หยดน้ำตาสองสายไหลรินจากหวังจัว
ฝั่งตะวันออกของดาวซูซาคุ
หวังหลินกำลังเหาะเหินข้ามผ่านพื้นที่ว่างเปล่าอยู่บนเจ้ายุง เสียงของเจ้ายุงทำลายม่านกำแพงดังขึ้นขณะที่มันพุ่งไปข้างหน้า
หวังหลินมองไปรอบๆขณะที่ดวงตาส่องสว่างราวกับคบไฟ หลังจากนั้นไม่นานใบหน้าก็เปลี่ยนไป เจ้ายุงรีบรู้เจตนาของหวังหลินได้อย่างรวดเร็ว มันร้องคำรามและร่อนลงบนที่ราบเบื้องล่าง
หวังหลินก้าวออกไปร่อนลงบนพื้น เจ้ายุงอยู่ที่นี่และเฝ้าระวังรอบๆ
หวังหลินตบกระเป๋า แสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาเปลี่ยนเป็นคางคกสายฟ้า
หลังจากเจ้าคางคกสายฟ้าออกมา มันร้องคำรามดังสนั่นทำให้เจ้ายุงตอบสนอง จากนั้นเจ้ายุงก็เริ่มก่อกวนเจ้าคางคกและทั้งสองก็เริ่มเล่นด้วยกัน
หวังหลินเปิดกระเป๋าและสัมผัสวิญญาณของเขากระจายออกมาเข้าสู่ข้างในมัน
เขาเลือกที่นี่เพราะมันอยู่ห่างไกล เขาตัดสินใจจัดระเบียบและหล่อหลอมสมบัติที่เขามีในกระเป๋าก่อนจะจากไป
อันดับแรกคือกระบี่สวรรค์และดาบครึ่งจันทรา เขาแค่นำมันมาดูครั้งเดียวเท่านั้นและเปลี่ยนไป
ส่วนขวาน เขาไม่ได้หล่อหลอมมันเพราะจะเอาไปให้ร่างหลักใช้
ฝักกระบี่ทั้งสี่ชิ้น หวังหลินยังไม่เข้าใจพวกมันพอ เขารู้สึกเสียใจที่ยังไม่เข้าใจความลึกลับของพวกมันจนถึงตอนนี้
หวังหลินโบกแขนขวาและฝักกระบี่ทั้งสี่เริ่มลอยขึ้นเบื้องหน้า จากนั้นพ่นพลังปราณดั้งเดิมเข้าใส่และให้พวกมันล้อมรอบอย่างรวดเร็ว
เขาเริ่มหล่อหล่อมพวกมัน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สามวันต่อมาดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น การเชื่อมต่อระหว่างเขาและฝักกระบี่ทั้งสี่ตอนนี้แข็งแรงขึ้น หวังหลินโบกแขนและเก็บพวกมันกลับไป
คราวนี้นำแส้ฟาดวิญญาณออกมา
มีร่องรอยสัมผัสวิญญาณบนแส้ซึ่งหวังหลินไม่สามารถทำลายมันด้วยระดับบ่มเพาะตอนนี้ของเขาได้ แต่เขายังมีทางหนึ่งจัดการกับมัน
ด้วยความคิด เจดีย์ที่มีเขตแดนของโจวลี่ก็ลอยออกมา มันร่อนลงบนพื้นและเขตแดนระดับเทวะกระจายออกทันที
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบจากนั้นฝ่ามือสร้างผนึกชี้ไปที่แส้ฟาดวิญญาณและส่งผนึกออกไป
แส้เริ่มสั่นทันทีและรัศมีสีขาวกระจายออกมาจากมัน รัศมีสีขาวนี้เกรี้ยวกราดมาก ผนึกของหวังหลินแตกกระจายทันที
ท่าทางหวังหลินยังคงสงบนิ่งขณะที่เขาตั้งใจเอาเขตแดนของโจวยี่รวบรวมรอบแส้ฟาดวิญญาณอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้ามวลแสงสีเขียวก็ล้อมรอบแส้และรัศมีสีขาวก็ออกมาอีกครั้ง
สายตาหวังหลินเยือกเย็นขณะที่ไปที่หน้าผากและวิญญาณดั้งเดิมของเขาลอยออกมา หวังหลินลอยไปที่แส้ฟาดวิญญาณและเริ่มหล่อหลอมมัน
กระบวนการนี้กินเวลาเจ็ดวัน
เจ็ดวันต่อมา ด้วยเขตแดนของโจวยี่และวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลิน สัมผัสวิญญาณในแส้ฟาดวิญญาณในที่สุดก็ทำลายลงไป เมื่อมันหายไปหวังหลินทิ้งสัมผัสวิญญาณของตนเองไว้บนแส้ด้วยวิญญาณดั้งเดิมของเขา
เมื่อมองไปที่แส้ฟาดวิญญาณ เขาสัมผัสถึงการเชื่อมต่อที่เขามีต่อมันได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเขา มันมีกฎเกณฑ์หลากหลายชั้นข้างในแส้เหมือนโครงสร้างชั้นกฎเกณฑ์ที่หมวกฟางมี
ทว่าที่หมวกฟางมีมันน้อยกว่ามันจึงมีคุณค่าน้อยกว่าแส้ฟาดวิญญาณ นอกจากการซ่อนตัวตนแล้วหวังหลินยังสามารถศึกษามันได้เล็กน้อยจากหินหยกที่หยุนเซว่จื่อให้เขา
สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดของหมวกฟางก็คือเขาได้เรียนรู้กฎเกณฑ์เพิ่มขึ้นและนั่นทำให้พลังของธงกฎเกณฑ์เพิ่มขึ้นด้วย
เป้าหมายของหวังหลินตอนนี้คือธงกฎเกณฑ์ที่มีกฎเกณฑ์จำนวน 9,999 กลุ่ม การบรรลุเป้าหมายนี้เขาจะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์มากมาย
ส่วนเรื่องแส้ฟาดวิญญาณ หวังหลินมั่นใจว่ามันไม่ใช่สมบัติสวรรค์เทียม แม้ว่าเขาสามารถใช้พลังปราณสวรรค์กับมันได้แต่มันกลับอ่อนแอกว่าตอนที่เขาใช้พลังปราณธรรมดา
จุดนี้ทำให้หวังหลินงุนงงสงสัย หลังจากนั้นเขาก็พบว่าแม้จะไม่ต้องใช้พลังปราณ ตราบใดที่เขาใช้มัน มันจะสร้างพลังลึกลับของตัวเอง
ซึ่งทำให้ของชิ้นนี้กลายเป็นสิ่งพิศวงในสายตาหวังหลินทันที
แส้ฟาดวิญญาณเส้นนี้เป็นของชูหยุนเฟย แต่เขาถูกบังคับให้จากดาวดวงนี้อย่างรวดเร็ว แม้ชูหยุนเฟยจะรู้ว่าแส้ฟาดวิญญาณเป็นสิ่งลึกลับแต่มันกลับกลายเป็นภาระให้เขา แส้ฟาดวิญญาณตกอยู่ในมือเฉียนเฟิงและเฉียนเฟิงคือศิษย์ของจูเซว่จื่อ เขากลัวว่ามันจะสร้างความปั่นป่วนมากเกินไปดังนั้นจึงทิ้งมัน
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างแปลกประหลาดเกี่ยวกับแส้เส้นนี้ หลังขบคิดเล็กน้อยจึงเก็บมันกลับไป
เขาโบกแขนขวาและของอีกชิ้นปรากฎขึ้น ม้วนคัมภีร์!
ขณะที่จดจ้องม้วนคัมภีร์ หวังหลินครุ่นคิดและจากนั้นเก็บมันกลับไป ท่ามกลางสมบัติทั้งหมดของเขา นี่คือสมบัติที่ลึกลับที่สุดที่เหนือไปจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า แม้กระทั่งแส้ฟาดวิญญาณก็พึ่งถูกเพิ่มไปในรายชื่อของลึกลับนี้ของเขา
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองไปบนฟ้าจากนั้นสัมผัสกระเป๋าและราชรถสังหารเต็มที่เต็มไปด้วยหนามก็ออกมาร่อนลงบนพื้น
เมื่อมันปรากฎ ทรายรอบๆทั้งหมดปลิวออกไปราวกับมันกลัวสิ่งที่กำลังเข้ามาใกล้
หนามบนราชรถเปล่งประกายเย็นเฉียบทำให้ใครก็ตามที่มองมันรู้สึกหวาดกลัว
ขณะที่หวังหลินจ้องราชรถ เขาตบกระเป๋าและนำกับดักอสูรออกมา
หลังยกหนึ่งคันให้ซือถูหนาน หวังหลินยังเหลืออีกสอง เขารู้ว่าตัวเองไม่อาจควบคุมคันที่ใหญ่กว่าในสองตัวนี้ได้ไม่เช่นนั้นเขาจะได้รับบาดเจ็บจากการสะท้อนกลับแน่นอน
ทว่าหวังหลินมั่นใจในการควบคุมราชรถสังหารเทพคันที่สองด้วยกับดักอสูร
ครึ่งเดือนต่อมาหวังหลินรู้สึกทื่อๆ
ครึ่งเดือนนี้เสียงคำรามจากอสูรดังกึกก้องต่อเนื่องไปทั้งที่ราบ
เสียงคำรามของมั่นสั่นสะเทือนสวรรค์ แม้แต่ผู้คนจากเผ่าละทิ้งอมตะยังรู้สึกถึงเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวจากจิตวิญญาณการต่อสู้ที่ไม่อาจโค้งคำนับให้ใคร!
หวังหลินนั่งบนเจ้าอสูรยุงและบินอย่างรวดเร็วออกไปไกล ใบหน้าซีดเผือดและกำลังถือหินหยกสวรรค์ไว้ในมือ หลังจากนั้นหินหยกเปลี่ยนเป็นฝุ่นผงและหายไป
ขณะที่หยกสวรรค์หายไป อีกหนึ่งปรากฎในฝ่ามือและดำเนินการดูดซับพลังปราณสวรรค์ต่อไป
พลังของอสูรวิญญาณบนราชรถสังหารเทพอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของหวังหลิน อสูรตัวนี้หัวแข็งโดยธรรมชาติและทรงพลังมากกว่าตัวก่อนหน้านี้ มันทั้งโอหังและไม่เคยก้มหัวให้ต่อสิ่งใด
ท้ายที่สุดแล้วหวังหลินใช้ความพยายามทั้งหมดของเขาขังอสูรวิญญาณไว้ในกับดักอสูร ทว่าการทำเช่นนี้เกิดรอยร้าวหนึ่งขึ้นบนกับดักอสูร
หลังจากกักขังเจ้าอสูรจอมพยศนี้เอาไว้ พลังปราณในร่างหวังหลินถูกดูดในพริบตา เขาเกือบตายหากไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า
หวังหลินลืมตาขึ้นจับกับดักอสูรบนข้อมือและเผยใบหน้ากังวล
“มันเป็นสมบัติทรงพลัง! น่าเสียดายที่มีวิญญาณหลักเหลืออยู่สามดวงในธงวิญญาณ หากข้ามีมากกว่านี้ข้าจะสามารถชะลอเวลาไปได้ขณะที่กระตุ้นราชรถสังหารเทพ การเรียกใช้มันยังคงยาวนาน”
“ด้วยสมบัติในปัจจุบัน ข้าไม่มีสิ่งใดต้องกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลาง เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลาย ตราบใดที่ข้ามีเวลากระตุ้นราชรถสังหารเทพ ข้ายังมีความสามารถร่วมต่อสู้ได้ ทว่าหากเผชิญกับสมบัติสวรรค์หรือคนที่ขั้นครึ่งก้าวสู่เทวะ ข้าจะแพ้ ส่วนเซียนขั้นเทวะข้าไม่มีโอกาสชนะเลย”
“ข้ายังคงอ่อนแอมากและดาวเทียนหยุนมีทรัพยากรมากกว่าดาวซูซาคุมากมายนัก มันต้องมีเซียนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยแน่ดังนั้นขึ้นต้องระมัดระวังตัวให้ดีตอนที่ข้าอยู่ที่นั่น!”
“โชคร้ายนัก ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ายังคงขาดธาตุโลหะ ตอนที่ข้าสังหารเฉียนเฟิงข้าทำการจับเอาร่างธาตุโลหะของผีเสื้อสีชาดแต่ข้าได้มาพอให้ลูกปัดแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น…” หวังหลินถอนหายใจและลอยออกไปไกล เขามุ่งหน้าไปที่ที่ซือถูหนานกำลังดำเนินชีวิตเป็นราชา
ในแคว้นโจวซึ่งเป็นแคว้นระดับสี่ พระราชวังในเมืองหลวงแห่งหนึ่งของคนธรรมดา น้ำเสียงซือถูหนานดังขึ้นมาจากภายใน
“ฮ่าฮ่า บริการนายท่านคนนี้ให้ดี หากข้าสุขสมตัวเองแล้วข้าจะยกเม็ดยาสวาทนี้ให้ มันจะช่วยให้เจ้าผิวเรียบลื่นและขาวเนียนไปเป็นยี่สิบสามสิบปี…”
เสียงราวกับนกร้องดำเนินต่อไปจนออกมาจากในปราสาท รวมถึงมีเสียงเพลงผสมกันเข้าไปด้วย ทั้งหมดน่าหลงใหลอย่างมาก