477. มาถึงดาวเทียนหยุน
ในวันนี้ลำแสงสีเงินเส้นหนึ่งล่องลอยข้ามผ่านอวกาศ ลำแสงดูคล้ายมังกรเคลื่อนผ่านมิติว่างโดยไร้ซึ่งสิ่งขัดขวางอันใด
คนผู้หนึ่งยืนอยู่บนลำแสงสีเงินแห่งนี้ เขามีเส้นผมยาวพริ้วไสว สายตาหนึ่งคู่ดูหยิ่งผยอง ใบหน้าแหลมคม เสื้อผ้าพริ้วสบัดเสียงดังราวกับมีลมรุนแรงพัดเข้าใส่
คนผู้นี้มีผิวกายดำคล้ำให้ผู้คนสัมผัสจิตวิญญาณและเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันล้ำลึก
เขาคือหวังหลิน!
การเดินทางข้ามผ่านดวงดาวเพื่อหาดาวเทียนหยุนได้ผ่านไปมากกว่าครึ่งปี ช่วงครึ่งปีนี้หวังหลินเปลี่ยนไปมาก!
ผิวกายเขาไม่ขาวสว่างอีกต่อไปเหมือนอยู่บนดาวซูวาคุแต่กลับดำขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากพลังลึกลับท่ามกลางดวงดาว
ส่วนเรื่องมังกรเงินนั้นมันคือเข็มทิศดวงดาวหลังจากถูกปรับแต่งไปแล้ว
ด้วยความทรงจำของเทพโบราณตู่ซือ เขาจึงใช้วิชาพิเศษพร้อมด้วยหินไม้มิติว่างเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างของมันและรวมเข้ากับน้ำหมึกหิมะได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกลับ
เรื่องรูปทรงมังกรเงิน จากความทรงจำของเทพโบราณมันคือสิ่งมีชีวิตโบราณที่เรียกกันว่าฉิวเฮ ความเร็วของมันถือว่าเร็วมาก ดังนั้นเข็มทิศจึงใช้รูปร่างของมันเพื่อได้รับความเร็วขึ้นมาบ้าง แม้มันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับของจริงได้แต่ความเร็วก็นับว่าเหนือจินตนาการ
จากความทรงจำของเทพโบราณตู่ซือ เข็มทิศดวงดาวของจริงคงต้องใช้โลหิตของฉิวเฮเป็นตัวกระตุ้นเพื่อดึงศักยภาพทั้งหมดของเข็มทิศออกมา
สำหรับตอนนี้ มังกรเงินใต้เท้าหวังหลินก็ไม่ได้ช้าไปกว่าเซียนขั้นเทวะเลย
แสงสีเงินเปล่งประกายในอวกาศพร้อมกับหายตัวออกไปไกล
วันเวลาเคลื่อนผ่านไปและอีกครึ่งปีก็ผ่านไป
หวังหลินเดินทางผ่านอวกาศด้วยตัวเองมาเกินหนึ่งปี หวังหลินเห็นอะไรมาเยอะมาก ตอนเริ่มต้นเขามุ่งความสนใจไปเสียทุกอย่างแต่ตอนนี้เขาเพียงชำเลืองมองสิ่งเหล่านั้นและผ่านไป
เขากำลังเข้าใกล้ดาวเทียนหยุนขึ้นเรื่อยๆ
หวังหลินคำนวณระยะทางจากแผนที่ในสมองของเขา ตอนนี้มาได้ครึ่งทางแล้ว
ระหว่างทางหวังหลินเห็นดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน บางดาวก็มีพวกเซียน บางแห่งก็ถูกปล่อยปละละเลยและบางที่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นกายแข็งแกร่งและดุร้าย
นอกจากนี้หวังหลินยังเห็นการจี้ปล้นอีกด้วย มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกเซียนทุกคนปฏิเสธ พวกเขาถูกเรียกกันว่าพวกเซียนโจร
เซียนเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในอวกาศและไม่มีคนใดอ่อนแอ พวกเขาทั้งขโมยทั้งจี้ปล้นจากเซียนที่ผ่านทาง
ระหว่างทางหวังหลินพบเจออยู่สองสามครั้งแต่คนกลุ่มนี้ทั้งหมดมีประสบการณ์ในการตรวจจับระดับการฝคกตน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาหยุดหวังหลิน
แต่ยังมีเซียนโจรไร้ความสามารถอีกทั้งยังเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นเข้ามาโจมตีหวังหลิน มันหลบหนีรอดไปได้ไกลหลังถูกหวังหลินทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส
คนอ่อนแอไม่อาจรอดชีวิตในอวกาศได้ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ปิดซ่อนกลิ่นอายของตัวเอง เขาปลดปล่อยมันทั้งหมดด้วยพลังเต็มที่โดยเฉพาะจิตสังหารจากร่างหลัก
จิตสังหารนี้ได้สร้างกลิ่นอายขนาดใหญ่และเคลื่อนไหวราวกับสายลมหนาวเย็นรุนแรงจนทำให้จิตใจผู้คนสั่นสะท้าน
ซึ่งทำให้เมื่อพวกเซียนโจรเห็นหวังหลิน พวกเขาจะเคลื่อนที่ออกห่างและไม่เข้ามายุ่งย่ามกับเขา
เพียงเช่นนั้นหวังหลินจึงเหาะเหินต่อไป เขาเป็นเสมือนอสูรดั้งเดิมที่จุติมาจากสรวงสวรรค์
วันเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า พริบตาเดียวอีกหนึ่งปีก็ผ่านไป
ในวันนี้หวังหลินยืนอยู่บนมังกรเงิน เบื้องหน้าเขาคือระบบวงโคจรของกลุ่มดาวหนึ่งล้อมรอบด้วยแสงสีเขียว
มีดาวเคราะห์สีม่วงเข้มขนาดยักษ์ในวงโคจรนี้ มีแสงหลายเส้นออกมาจากดาวนั้นทำให้มันดูคล้ายผลึกยักษ์และยังสวยงดงาม
โดยรอบดาวยักษ์นี้มีดาวขนาดเล็กอีกห้าดาวที่โคจรเป็นวงกับดาวหลัก ด้านนอกนั้นมีดาวเล็กๆอยู่บางส่วนที่กระจัดกระจาย ทั้งหมดปลดปล่อยคลื่นพลังปราณผันผวน เห็นได้ชัดว่ามีกฎเกณฑ์วางไว้ในดาวพวกนั้น
หวังหลินตื่นเต้นอยู่ในใจเมื่อจ้องมองไปบนดาวสีม่วง นี่คือตำแหน่งที่เทียนหยุนทิ้งไว้ให้เขา ดาวเคราะห์เทียนหยุน
ในตอนนี้ในสายตาหวังหลิน ดาวเทียนหยุนนับว่าขนาดใหญ่เกินไป เปรียบเทียบกับดาวซูซาคุแล้วถือว่าเล็กไปถนัดตา
และถึงแม้เขาจะอยู่ที่นี่ก็สามารถสัมผัสถึงพลังปราณหนาแน่นออกมาจากดาวเคราะห์ได้ หากเขาก้าวเข้าไปบนดาว ความหนาแน่นของพลังปราณคงเหนือจินตนาการ
ดาวซูซาคุห่างชั้นจากดาวเทียนหยุนจนเทียบไม่ได้ เทียนหยุนกล่าวเมื่อตอนนั้นว่าดาวซูซาคุครึ่งดีครึ่งเสียไปแล้ว เมื่อมองดาวเทียนหยุนตอนนี้หวังหลินเชื่อถือคำพูดนั้นโดยไร้ข้อสงสัย
หลังเห็นดาวเทียนหยุน จิตใจหวังหลินสั่นรุนแรงราวกับเคลื่นยักษ์ปะทุขึ้นข้างใน ราวกับเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าไปในเมืองใหญ่ก่อนที่จะเริ่มต้นฝึกฝนเซียน
แรงกระตุ้นลึกๆปรากฎในใจขณะที่มองดาวเทียนหยุนที่อยู่ห่างไปอย่างเงียบๆ “ดาวเทียนหยุน…หวังหลินกำลังไปหา!” เขาพึมพำกับตัวเอง
หวังหลินสูดหายใจลึกแต่ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า เขาก้าวถอยหลัง ร่างกายทั้งร่างพร้อมกับมังกรเงินพลันถอยห่างทันที
สามวันถัดมาเขามาถึงดาวเคราะห์ร้างเล็กๆใกล้เคียง ร่างหวังหลินสั่นเทาและร่างหลักแยกออกมา
ร่างหลักเหาะเหินออกห่างไปทันทีที่ออกมา มันจมลึกเข้าไปในแกนลึกของดวงดาวและเริ่มบ่มเพาะ
มีเซียนแข็งแกร่งหลายคนบนดาวเทียนหยุนและอาจจะบมีบางคนรู้ว่าร่างหลักเขาคือเทพโบราณ เช่นนั้นหวังหลินจึงทิ้งร่างหลักไว้ที่นี่และเหาะเหินเข้าหาดาวเทียนหยุน
ดาวเทียนหยุนล้อมรอบไปด้วยควันสีเขียวหนึ่งชั้น มันไม่หนาแน่นแต่ปกคลุมไปทั้งดวงดาว มองไกลๆมันดูเหมือนเป็นม่านสีเขียวบางๆ
ข้างในหมอกสีเขียวยังมีจุดที่เปล่งประกายคล้ายดวงดาว
จากดาวเคราะห์สีม่วงขนาดใหญ่ตรงกลาง พลังปราณจำนวนมากมายพุ่งพล่านขึ้นสู่ควันสีเขียวทำให้มันหมุนปุ่นและเผยฉากที่น่าประหลาดใจ
หวังหลินหยุดอยู่ด้านนอกควันสีเขียว ตอนที่เขามองมาที่ควันเขาสัมผัสถึงอันตรายได้
“ควันสีเขียวนี้มีพลังทำลายล้าง หากข้าบุ่มบ่ามเข้าไปมันจะโจมตีอย่างต่อเนื่อง! สงสัยเหลือเกินว่าดาวระดับอะไรถึงมีค่ายกลแข็งแกร่งเช่นนี้”
“และดาวที่เล็กกว่าทั้งห้าดวงรอบมันทั้งหมดต่างก็มีค่ายกลของตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ต้องกล่าวถึงดวงดาวเล็กกว่าที่อยู่ห่างออกไปเลย”
ขณะที่หวังหลินครุ่นคิด ดวงตาพลันส่องสว่างขึ้นและถอยกลับไปพันฟุตและมองไปที่ควันสีเขียวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ควันสีเขียวเคลื่อนไหวราวกับมีแขนยักษ์หนึ่งคู่ขยับเขยื้อน ม่านถูกแบ่งออกด้วยการบังคับขณะเดียวกันก็มีชายหนุ่มเสื้อคลุมยาวโผล่ออกมา ใบหน้าดูมาตรฐานและดวงตาสงบนิ่งมองมาหวังหลิน “เจ้ามีสารทางการฑูตไหม?”
แม้ว่าน้ำเสียงรวมถึงดวงตาสงบนิ่งและทั้งร่างให้สัมผัสแห่งการถ่อมตัว ทว่ารวมกันแล้วเขาให้ความรู้สึกถึงความหยิ่งผยองรุนแรงมากกว่าที่แสดงออกมาด้านนอก
ความโอหังนี้ไม่จำเป็นต้องแสดงออกเพราะมันสลักลึกถึงกระดูก
หวังหลินมองเขาและส่ายศีรษะ “ข้าไม่มี”
ชายหนุ่มใบหน้าเช่นเดิมขณะเอ่ยถามขึ้นอย่างเยือกเย็น “เจ้ามีคำเชิญไหม?”
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและส่ายศีรษะอีกครั้ง
ชายหนุ่มมองหวังหลินและเอ่ยขึ้นมา “เมื่อเจ้าไม่มีทั้งสารทางการฑูตหรือคำเชิญก็จงจากไปซะ!” เช่นนั้นเขาหันตัวกลับและเดินกลับเข้าไปในควันสีเขียว ขณะที่เข้าไปควันสีเขียวค่อยๆปิดลง
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบขึ้นและเอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้ามาหาผู้อาวุโสเทียนหยุน!”
ชายหนุ่มหยุดชะงักจากนั้นหันกลับมาและมองไปที่หวังหลิน สายตาเปลี่ยนเป็นประหลาดใจและหลังจากนั้นไม่นานก็เอ่ยถาม “เจ้ามาจากดาวซูซาคุ?”
หวังหลินตกตะลึง เขามองชายหนุ่มและพยักหน้า
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มประหลาดใจ จากนั้นสะบัดแขนและควันสีเขียวล้อมรอบเริ่มหมุนปั่นรุนแรง มันก่อเกิดเป็นหนวดยาวคล้ายมังกรซึ่งพันแต่ละเส้นเข้าด้วยกันและพุ่งเข้าหาหวังหลิน
สายตาหวังหลินสงบนิ่ง เขาเก็บเข็มทิศดวงดาวและก้าวไปข้างหน้า หนวดคล้ายมังกรรวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อร่างเป็นกระบี่เหินสีเขียว
หวังหลินก้าวเดินขึ้นไปบนด้ามกระบี่
“ขอบคุณมาก!“ หวังหลินคำนับฝ่ามือด้วยใบหน้าเช่นเดิม
แสงลึกลับในดวงตาชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรง เขามองหวังหลินและหันมองด้ามกระบี่ก่อนจะโค้งตัวและกล่าวออกมา “เข้าไปด้านใน ผู้อาวุโสเทียนหยุนรอเจ้ามานานแล้ว”
หลังคนผู้นี้กล่าวจบ ควันสีเขียวแบ่งตัวออกมาเกิดเป็นอุโมงค์ลึกนำทางเข้าสู่ดาวเคราะห์
ร่างหวังหลินไม่ได้เคลื่อนไหวแต่กระบี่สีเขียวใต้ฝ่าเท้าเขาเคลื่อนไปเองและลอยเข้าหาดาวเทียนหยุน
ขณะที่เหาะเหินหวังหลินเริ่มครุ่นคิด
‘เขารู้ว่าข้ามาจากดาวซูซาคุและพูดว่าผู้อาวุโสเทียนหยุนรอข้ามานานแล้ว เป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสเทียนหยุนมีวิชาที่สามารถมองเห็นฟ้าดินและคาดคำนวณว่าข้าจะมา…หากเป็นเช่นนั้นวิชาของผู้อาวุโสล้ำเลิศยิ่งนัก’ หวังหลินขบคิด กระบี่เหินใต้ฝ่าเท้าลอยเข้าหาดาวอย่างรวดเร็วยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นานนักดาวเทียนหยุนก็ใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นในสายตาเขา กระบี่เหินลอยเข้าไปในดวงดาว
ลมแรงจากชั้นบรรยากาศพัดเข้าใบหน้าเขาราวกับมีดแหลมคม แต่กระบี่ใต้ฝ่าเท้าปลดปล่อยแสงอ่อนโยนเพื่อกดแรงดันนั้นลงให้สู่ระดับปกติ
หวังหลินถูกล้อมรอบไปด้วยแสงสีเขียวขณะที่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศและในพริบตาเขาก็เข้าสู่ดาวเทียนหยุน
จากกลางอากาศ หวังหลินเห็นพื้นผิวดวงดาวปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีม่วง ใบของต้นไม้เคลื่อนไหวไปตามแรงลมจนเกิดคลื่นเสียงน่าหวาดหวั่น
ความรู้สึกอันแปลกใหม่ปรากฎในใจเขา หวังหลินถอนหายใจและถูกพาเหาะเหินออกไปไกล
กระบี่ที่สร้างจากควันสีม่วงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหลิน มันเหาะเหินด้วยตัวเองพาหวังหลินไปสู่สำนักชะตาสวรรค์ ทางเข้าอยู่ไม่ไกลจากสำนักมากนักดังนั้นหลังจากเวลาผ่านไปสามก้านธูป สำนักชะตาสวรรค์ก็ปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน
สายตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นจากนั้นกระโดดออกจากกระบีเขียวและร่อนลงบนพื้น กระบี่เขียวเลือนหายไปในพริบตา