506. ผู้ส่งสาส์น
สัญลักษณ์เหนือค่ายกลค่อยๆหายไป หวังหลินเดินออกมาจากค่ายกลและมองไปรอบๆก่อนที่สายตาจะตกลงบนฉวี่หยุนซาน
ฉวี่หยุนซานขมวดสายตาก่อนจะหัวเราะและถามออกมา “เจ้าคือหวังหลิน ศิษย์ของเทียนหยุนใช่ไหม?”
หวังหลินคำนับฝ่ามือและตอบด้วยท่าทีสงบ “ใช่แล้ว ผู้อาวุโสคือ?”
ฉวี่หยุนซานยิ้มและเอ่ยออกมา “ข้าเป็นจ้าวสำนักผู้เยาว์ของสำนักเสี่ยวหยวนบนดาวปฐพี ข้ามาที่นี่เพื่อทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้าน น้องหวังโปรดอย่าปฏิเสธ”
“เช่นนั้นข้ารบกวนพี่ฉวี่แล้ว!” หวังหลินยิ้มบาง ระดับบ่มเพาะของฉวี่หยุนซานคนนี้เท่าเทียมกับเขา แปลงวิญญาณระดับกลาง หวังหลินออกมาจากสำนักชะตาสวรรค์เพราะต้องการสถานที่เงียบๆเพื่อบ่มเพาะ สำนักชะตาสวรรค์มีการต่อสู้และการแข่งขันมากเกินไปมันจึงไม่เหมาะต่อการบ่มเพาะ
เขาพึ่งมาถึงดาวเคราะห์แห่งนี้และไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของเจ้าบ้านได้ง่ายๆ
ฉวี่หยุนซานหัวเราะและพูดคุยระหว่างทาง หลังจากเล่าให้หวังหลินฟังเรื่องราวเหตุการณ์บนดาวเคราะห์ เขาก็จัดการหาสถานที่สวยงามและสงบเงียบให้หวังหลินพักอาศัย
หลังนัดแนะเวลาพบกันวันพรุ่งนี้ ฉวี่หยุนซานก็จากไป
สิ่งแวดล้อมที่นี่งดงามและเงียบสงบมาก หวังหลินเข้าไปในห้อง เปิดหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก ดอกไม้นานาพรรณช่างละเอียดอ่อนและบานสะพรั่งอย่างสวยงาม
หวังหลินเปิดประตูและค่อยๆเดินผ่านสวนดอกไม้แห่งนี้ช้าๆ
“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือยกระดับบ่มเพาะของตัวเอง แม้ข้าจะอยู่ห่างไกลจากดาวซูซาคุหลายปี ต้าวเสินยังเหมือนกระบี่ทิ่มแทงเหนือศีรษะของข้า เขาสามารถออกจากดินแดนเทพโบราณเวลาไหนก็ได้และเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะมาหาข้าแน่นอน” หวังหลินขมวดคิ้ว เรื่องต้าวเสินเป็นเหมือนก้างขวางคอ คล้ายกับแส้ล่องหนที่บังคับให้เขาบ่มเพาะไปเรื่อยๆจนสามารถเอาตัวรอดได้ต่อไป
ขณะที่กำลังมองดอกไม้สวยงามในสวน หวังหลินเริ่มขบคิด
“ศาสตร์สังหารเทพ…ข้าศึกษามันได้เล็กน้อยระหว่างทางมาที่นี่ มันเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมโดยแท้ ใช้ผนึกพลังชีวิตเพื่อปกป้องร่างกายจึงจะสามารถสร้างการป้องกันที่ทรงพลังได้”
“ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ายังขาดธาตุโลหะเพื่อให้มันสมบูรณ์ เรื่องการหาธาตุโลหะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องแก้ไขให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซือถูหนานคิดว่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าจะจดจำเจ้าของหลังจากธาตุทั้งห้าเสร็จสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้นมันจะสามารถแสดงพลังที่แท้จริงได้ในที่สุดน่ะหรือ? อย่างไรก็ตามเขายังไม่รู้ว่าพลังของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเป็นแบบไหนถึงสมาพันธ์เซียนยังต้องมาแย่งชิงมัน”
“บนดาวซูซาคุเป็นอย่างไรบ้างกันนะ…” หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองออกไปในความว่างเปล่า สายตาดูคล้ายเดินทางออกไปไกลและจดจ้องลงบนดาวซูซาคุที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล
หลังพักอยู่ที่สำนักเสี่ยวหยวนสองวัน ฉวี่หยุนซานนำทางหวังหลินไปที่แคว้นอันดับห้านามว่าหลิงเยว่
ในสองวันนี้ ฉวี่หยุนซานเป็นนักพูดที่ดี หลังจากทำความรู้จักหวังหลิน พวกเขาเข้ากันได้ดี
แคว้นหลิงเยว่รู้อยู่แล้วว่าศิษย์หลักของกองกำลังสีม่วงจะถูกส่งมาเป็นผู้ส่งสาส์น ทั้งแคว้นนำเรื่องนี้เป็นความสำคัญอันดับแรกๆและเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อทักทายผู้ส่งสาส์น
ณ ชายแดนของหลิงเยว่ ฉวี่หยุนซานยิ้มเบาบางและเอ่ยขึ้น “น้องหวัง นี่คือแคว้นเซียนอันดับห้า หลิงเยว่ แคว้นแห่งนี้ไม่ได้ใหญ๋มากมันมีเพียงสี่สำนักเท่านั้นแต่กลับผลิตอุปกรณ์ปราณจำนวนมากและมีชื่อเสียงบนดาวดวงนี้”
หวังหลินพยักหน้า ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะผ่านชายแดนและเข้าสู่แคว้นหลิงเยว่
ณ ใจกลางหลิงเยว่มีหอคอยสูงเทียมสวรรค์ตั้งอยู่ ที่นี่เป็นจุดที่ผู้ส่งสาส์นทั้งหมดพักอาศัย
มีเซียนมากกว่าร้อยคนยืนอยู่นอกหอคอย รอคอยการมาถึงของผู้ส่งสาส์น
หลังจากนั้นไม่นานลำแสงสองเส้นข้ามมาจากเส้นขอบฟ้า ทะลวงกำแพงเสียงเข้ามา ขณะนั้นผู้คนที่อยู่ใต้หอคอยค่างก็เงยศีรษะขึ้นกันหมด
เมื่อลำแสงสองเส้นเข้ามาใกล้ เหล่าเซียนที่อยู่ใต้หอคอยกล่าวขึ้นอย่างเคารพ “เหล่าเซียนของหลิงเยว่ขอคำนับท่านผู้ส่งสาส์นของสำนักชะตาสวรรค์และจ้าวสำนักน้อยแห่งสำนักเสี่ยวหยวน!”
ฉวี่หยุนซานหัวเราะ “ข้าจะต้องขอกล่าวอำลาก่อน หากข้ามีเรื่องอันใดในอนาคต เราค่อยดื่มและสนทนากันอีกครั้ง!” เช่นนั้นฉวี่หยุนซานเหาะเหินออกไปไกล
หลังจากฉวี่หยุนซานจากไป หวังหลินเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่กลางท้องฟ้า
เขาลอยตัวกลางอากาศและมองผู้คนเบื้องล่างอย่างสงบนิ่ง ท่ามกลางเซียนมากกว่าร้อยคนที่นี่ มีอยู่สิบคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดซึ่งก็คือขั้นแปลงวิญญาณระดับปลาย ส่วนคนอื่นๆต่ำกว่าเล็กน้อย
ท่ามกลางคนเหล่านี้ หนึ่งในนั้นหวังหลินให้ความสนใจ เขาเป็นคนที่มีศีรษะขาวโพลนและดูแก่ชราอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดที่นี่ ซึ่งพื้นฐานแล้วอีกครั้งก้าวจะเข้าสู่ขั้นเทวะ
หวังหลินลดตัวลงอย่างช้าๆและร่อนลงบนฐานของหอคอย เขาไม่ปล่อยให้เหล่าเซียนพูดและชิงพูดก่อน “แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ส่งสาส์น ข้าจะไม่รบกวนพวกท่านอันใด ทำเหมือนที่ท่านทำก่อนหน้านี้ ข้ามาเพื่อปิดด่านฝึกตนดังนั้นจะไม่อนุญาตให้ใครอยู่ที่นี่ภายในระยะห้าพันลี้!”
เหล่าเซียนรอบๆต่างตกตะลึงกันทั้งหมดแต่พวกเขาอาศัยอยู่มานานแล้วและต่างก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กันทั้งนั้น หลังจากตกตะลึงในคราแรก พวกเขาตอบสนองโดยทันทีและกระจายตัว
ชายชราผู้อีกเพียงครึ่งก้าวสู่ขั้นเทวะพลันมองหวังหลินอย่างละเอียดก่อนจะจากไป
เหล่าเซียนด้านข้างชายชราติดตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ใต้หอคอยไม่มีใครนอกจากหวังหลินในพริบตา
หวังหลินมีใบหน้าปกติขณะโบกแขนเสื้อและเดินเข้าสู่หอคอย เมื่ออยู่ข้างในเขานั่งสมาธิลงและตบกระเป๋านำธงกฎเกณฑ์ออกมา ด้วยการสะบัดธงหนึ่งครั้งเหล่าควันหลายเส้นนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากหอคอยและปกคลุมพื้นที่รอบๆในระยะห้าพันลี้
พื้นที่รัศมีห้าพันลี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกสีดำทันทีและปล่อยรัศมีมืดมน
หลังเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมดนี้หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะใช้ฝ่ามือตีเข้าหน้าผาก พ่นธงยาวสามสิบฟุตออกมา แม้ว่าธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงแทบสูญส้นเสี้ยววิญญาณไปเกือบหมด มันยังหลงเหลือวิญญษณหลักอยู่หลายดวง หวังหลินสะบัดธงทำให้วิญญาณหลักถูกปลดปล่อยเข้าสู่หมอกดำเพื่อเพิ่มการป้องกันอีกชั้น เขาปลดปล่อยวิญญาณหลักทุกดวงยกเว้นวิญญาณกิเลนเพราะเขายังไม่มั่นใจที่จะปลดปล่อยมัน
หลังทำเรื่องพวกนี้ หวังหลินสูดหายใจลึกจากนั้นโบกแขนและหินหยกปรากฎขึ้น!
หินหยกชิ้นนี้เป็นสีเทาล้วน มันคือหินที่เทียนหยุนชุดเทาให้เขา ศาสตร์สังหารเทพ!
“ศาสตร์สังหารเทพ…” ดวงตาหวังหลินสว่างวาบจากนั้นส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยก
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ หนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีสำนักใดในหลิงเยว่จะนึกผู้ส่งสาส์นคนใหม่ออก ปกติแล้วเมื่อมีผู้ส่งสาส์นเข้ามา พวกเขาจะร้องขอหินวิญญาณและหยกสวรสรค์เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหา ผู้ส่งสาส์นมักจะยกให้บางส่วนเสมอ
นี่เป็นธรรมเนียมโดยพื้นฐาน
แต่บัดนี้คนที่มาคือคนจากดาวเทียนหยุนและกระทั่งเป็นศิษย์ของเทียนหยุนที่ไม่ออกจากหอคอยมาหนึ่งเดือนเต็ม พื้นที่โดยรอบถูกปกคลุมในสายหมอกสีดำทำให้คนปกติไม่กล้าย่างกรายเข้ามาแม้เพียงหนึ่งก้าว
มีเซียนขั้นแปลงวิญญาณบางคนที่อยากจะเข้ามาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากเข้าไปในสายหมอกลึกได้เพียงหนึ่งพันฟุตพวกเขาก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ผู้ส่งสาส์นคนใหม่ค่อยๆกลายเป็นสิ่งลึกลับมากขึ้นในสายตาของเหล่าเซียนแห่งหลิงเยว่
ตอนนี้ในหอคอย หวังหลินยังคงนั่งสมาธิอยู่ในท่านั่งดอกบบัว เขาเหมือนเดิมเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หวังหลินใช้เวลาตลอดทั้งเดือนในการศึกษาเนื้อหาของหินหยก
ศาสตร์สังหารเทพนั้นความจริงแล้วเป็นผนึกพลังชีวิต นั่นหมายความว่าไม่ใช่สิ่งที่สามารถเข้าได้ง่ายๆ
พรสวรรค์ของหวังหลินไม่ได้ดีเยี่ยมอยู่แล้วและศาสตร์สังหารเทพนั้นซับซ้อนอย่างมาก เขาสามารถทำได้แค่คิดเนื้อหาอย่างช้าๆและค่อยๆทดลองจนเชี่ยวชาญขึ้น
หวังหลินรู้ว่าเขาไม่สามารถเร่งมันได้
เวลาดำเนินต่อไปและอีกครึ่งเดือนผ่านไป ไม่เพียงแต่เหล่าเซียนของหลิงเยว่ไม่สูญเสียความสนใจในตัวผู้ส่งสาส์นคนนี้ พวกเขายิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก
นี่เป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงในสายหมอกดำที่ล้อมรอบหอคอย ในเดือนแรกมันเงียบสนิทแต่ครึ่งเดือนต่อมากลับมีเสียงหวีดหวิวดังลั่นราวกับมีกระบี่เหินหลายเล่มบินผ่านไปมาทั่วบริเวณ อีกทั้งยังมีเสียงคำรามดังสนั่นที่สามารถสั่นสะเทือนสวรรค์ออกมาจากสายหมอกนั้นอีกด้วย
จึงทำให้เซียนของหลิงเยว่ทั้งหมดอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นไปอีก ท้ายที่สุดชายชราผู้ที่อีกเพียงครึ่งก้าวสู่ขั้นเทวะก็ยืนขึ้นและก้าวเข้าสู่หอคอย
สามวันหลังจากนั้นชายชราก็กลับมา ใบหน้าบูดบึ้งและดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง หลังจากเขากลับมา สำนักทั้งหมดได้ส่งข้อความบอกไปว่าห้ามศิษย์คนใดเข้าสู่ภายในระยะห้าพันลี้จากหอคอย ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษว่าเป็นคนทรยศ
จึงเป็นผลให้พื้นที่รัศมีห้าพันลี้รอบหอคอยกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามในหลิงเยว่
หวังหลินใช้เวลาตลอดหนึ่งเดือนครึ่งเพื่อศึกษาศาสตร์สังหารเทพ วิชานี้ขึ้นอยู่กับผู้สังหาร ยิ่งฆ่ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผนึกทับซ้อนกันมากเท่านั้น เมื่อผนึกซ้อนได้ถึงจุดหนึ่งมันจะกลายเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตามวิชานี้ฝึกฝนยากมาก
หลังจากใช้เวลาไปหนึ่งเดือนครึ่งหวังหลินยังไม่สามารถเข้าถึงแก่นของมันได้และท้ายที่สุดก็ตัดสินใจยกเลิกมันตอนนี้ไปก่อน เขาตัดสินใจทำความเข้าใจฟ้าดินเพื่อที่สามารถทำการปรับแต่งวิชาของตัวเองได้ต่อไป
ระหว่างเวลานั้นหวังหลินเผชิญกับการสะท้อนกลับจากราชรถสังหารเทพ!
นี่เป็นการสะท้อนกลับครั้งแรกหลังจากเขาปลดปล่อยผนึกชิ้นแรก หวังหลินเตรียมความพร้อมเรื่องนี้แล้วและหลังจากต่อสู้กับเจ้าอสูรมาหลายวันหลายคืนเขาจึงใช้วิชาลับเพื่อระงับมันไว้ การสะท้อนกลับของอสูรวิญญาณจึงล้มเหลว
ชายชราจากหลิงเยว่เข้าสู่พื้นที่มาในช่วงเวลานั้นและเห็นอสูรวิญญาณที่ไม่ยอมใครกับตาตัวเอง
หลังจากห้ามปรามราชรถสังหารเทพ หวังหลินก็ฝึกฝนเงียบๆอยู่หลายวัน วันนี้เขาลืมตาขึ้นทันทีและดวงตาเผยอาการแห่งการรู้แจ้ง
“ศาสตร์สังหารเทพควรเข้าใจระหว่างการเข่นฆ่า พยายามเข้าใจมันด้วยการนั่งอยู่ที่นี่มันไม่เพียงพอ หากข้าต้องการฝึกฝนวิชานี้จริงๆเช่นนั้นทุกสิ่งต้องเริ่มด้วยการสังหาร!” แววตาหวังหลินสว่างวาบ จากนั้นยืนขึ้นก้าวตรงออกไปจากหอคอย