508. อสูรยุงวิวัฒนาการ
สามชั่วโมงต่อมาใต้แผ่นจารึกหิน ลำแสงสามเส้นข้ามมาจากเส้นขอบฟ้าตามมาด้วยคลื่นเสียงกระแทกดังกึกก้อง ลำแสงทั้งสามเส้นลดลงมาจากท้องฟ้าด้วยแรงกดดันของกองทัพราวนับหมื่น
พวกเขามุ่งตรงมาที่ทั้งเจ็ดคนกำลังรอคอยใต้แผ่นจารึกหิน เมื่อร่อนลงมาถึงพลันสร้างสายลมกรรโชกพัดปลิวทุกคนยกเว้นชายหนุ่มนามว่ากั๋วที่ถอยไปหลายฟุต ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลังสายลมพัดผ่าน ร่างสามคนก็เผยออกมา
ทั้งหมดสามคนเป็นชายชราผมขาวแต่ละคนสวมชุดคลุมสีดำสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ทรงพลังข้างใต้ แต่ละคนมีกระบี่สมบัติที่ปลดปล่อยคลื่นแรงกดดันประทับไว้ด้านหลัง
ท่ามกลางทั้งสามคนนี้มีเพียงคนเดียวที่เป็นขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย อีกสองคนเป็นขั้นแปลงวิญญาณระดับต้น
เมื่อบุรุษชื่อกั๋วเห็นทั้งสามคน จิตใจพลันสั่นเทา เขาโค้งคำนับทันทีและกล่าวอย่างเคารพ “ศิษย์รุ่นหก กั๋วฉิงยี่ ขอคำนับอาจารย์ลุง” คนที่เขาโค้งคำนับคือคนที่เป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณเพียงคนเดียวในสามคนนี้ ใบหน้ากั๋วฉิงยี่เคารพอย่างยิ่ง
ชายชราขั้นตัดวิญญาณพยักหน้าและยิ้มออกมา “กั๋วฉิงยี่ เข้ามาคำนับผู้อาวุโสตำหนักกระบี่ทั้งสองท่าน!” เขาขยับตัวไปด้านข้างและให้กั๋วฉิงยี่มองเข้ามา
กั๋วฉิงยี่รีบคุกเข่าลงหนึ่งข้างและเอ่ยด้วยคำพูดที่เคารพยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ “ศิษย์ขอน้อมคำนับผู้อาวุโส!”
หนึ่งในชายชราขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นสองคน คนหนึ่งตัวเตี้ยกว่าอีกคน คนที่สูงกว่าพูดขึ้น “ยืนขึ้นเถอะและพูดมา ผลทองคำพิสุทธิ์ถูกเจ้าค้นพบใช่ไหม?”
กั๋วฉิงยี่รีบลุกขึ้นจากนั้นชี้ไปที่สตรี เฉียนฉิน ซึ่งยังไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรและมองนางด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นางเป็นสหายที่ดีของผู้น้อย ผลทองคำพิสุทธิ์ถูกค้นพบโดยสำนักของนางแต่มีอสูรมารหลายตัวเฝ้าระวังไว้ และพวกเขาไม่สามารถเอามาได้ด้วยพลังของตัวเอง ผู้น้อยพึ่งผ่านมาและตอบรับจะไปกับพวกเขาด้วย”
ผู้อาวุโสขั้นแปลงวิญญาณสองคนมองหน้ากัน คนที่ตัวเตี้ยกว่าเอ่ยถาม “เด็กน้อย ผลทองคำพิสุทธิ์ที่เจ้าเห็นมีเท่าไหร่?”
เฉียนเฉินเดิมทีไม่ต้องการจะเอ่ย แต่ภายใต้สายตาเป็นประชายของชายชราจึงอดไม่ได้ที่นางจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบา “มีราวๆร้อยผล”
“หนึ่งร้อย!” ชายชราตัวเตี้ยพลันสายตาส่องสว่างขึ้น “อสูรมารที่เฝ้าระวังผลทองคำพิสุทธิ์หนึ่งร้อยผลต้องแข็งแกร่งเป็นแน่ การที่สำนักของเจ้าพบเจอมันไม่ใช่เรื่องง่าย!”
เฉียนฉินไม่ได้เอ่ยอันใดแต่ชุดขาวด้านข้างนางพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “สำนักของข้าใช้ความพยายามไปมากมายและเสียสละผู้อาวุโสหลายคนเพื่อค้นหาผลทองคำพิสุทธิ์ สำนักกระบี่ต้าหลัวของท่าน…”
เฉียนฉินขมวดคิ้วและตะโกน “หุบปาก!”
ใบหน้าบุรุษเต็มไปด้วยความโกรธ เขาสูดหายใจลึก หันศีรษะกลับมาและไม่เอ่ยอะไรอีก
กั๋วฉิงยี่ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเคารพ “ท่านผู้อาวุโส เฉียนฉินเป็นสหายที่ดีของผู้น้อย หลังจากเราได้รับผลทองคำพิสุทธิ์ ให้นางสักชิ้นจะเป็นไปได้ไหม?”
ชายชราตัวสูงหัวเราะ “หากเราเจอมันเมื่อนั้นเราจะให้นางสักชิ้น! นำทางไป!”
เฉียนฉินถอนหายใจและกุมความรู้สึกซับซ้อนไว้ในใจ นางไม่มีตัวเลือกแต่ต้องนำทางไป ไม่เช่นนั้นมันจะส่งผลต่อสำนักของนาง ด้วยความเผด็จการของสำนักกระบี่ต้าหลัว ใครที่กล้าต่อต้านจะถูกกวาดล้าง
คงไม่ต้องกล่าวถึงกลิ่นอายที่ผู้อาวุโสสองคนปลดปล่อยออกมา มันทรงพลังมากกว่าหัวหน้าผู้อาวุโสของนางหลายเท่า เปรียบเทียบกับสำนักกระบี่ต้าหลัวแล้ว สำนักของนางเป็นเสมือนหิ่งห้อย พวกเขาไม่มีโอกาสต่อต้านอันใด…
“กั๋วฉิงยี่ทำลายความเชื่อใจของข้า…” เฉียนฉินรู้สึกขมขื่นในใจ นางมองกั๋วฉิงยี่อย่างชั่วร้ายก่อนจะกัดฟันแน่นและเดินเข้าไปในดินแดนมารปฐพีทิศเหนือ
ชายชุดขาวซึ่งอยู่สำนักเดียวกันพลันติดตามนางด้วยใบหน้าหมองหม่น
ผู้คนของสำนักกระบี่ต้าหลัวเดินเข้าสไปในสายหมอกบางและหายตัวไป
หวังหลินเดินผ่านเข้าสู่ดินแดนมารปฐพีทิศเหนือด้วยตัวเอง เขาเหาะเหินผ่านพื้นที่เอามือไพล่หลังและฝ่าเท้าห่างจากพื้นสามนิ้ว หวังหลินยังคงพยายามทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในศาสตร์สังหารเทพและวิธีการเปลี่ยนพลังชีวิตให้กลายเป็นผนึกพลังชีวิต
เทือกเขารอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบสงัดที่ไร้ซึ่งสัญญาณแห่งชีวิต ขณะที่เขาเหาะเหิน แสงน่ากลัวกระพริบเล็กน้อยเบื้องหน้าจากนั้นร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากที่ซ่อนและตรงเข้าหาหวังหลิน
ความเร็วของมันว่องไวมากและในพริบตามันก็มาถึงด้านหน้าเขา มันล้อมรอบด้วยหมอกสีดำหนึ่งชั้นและกลิ่นคาวเลือดพุ่งเข้าหาหวังหลิน
ร่างหวังหลินไม่ได้หยุดชะงัก กระทั่งใบหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ร่างสีดำนั้นเข้ามาใกล้ เขาลูบนิ้วมือขวาและชี้ใส่มัน
หวังหลินแทงนิ้วเข้าใส่สายหมอกดำตรงๆ
ควันสีเทาเส้นหนึ่งออกมาจากปลายนิ้วหวังหลิน ทว่าควันสีเทานี้อ่อนแออย่างมาก ดังนั้นหลังจากที่มันปรากฎขึ้น ส่วนใหญ่เลือนหายไป
ควันสีเทาเข้าใส่ร่างสีดำไม่มากนัก
เสียงซี่ๆดังออกมาจากหมอกดำราวกับหิมะกำลังละลาย หมอกดำเดือดปุดๆจนในที่สุดก็หายไปเผยออกเป็นอสูรขนาดเท่ากำปั้น
อสูรตัวนี้ไม่มีแขนขาอันใด มีเพียงปากขนาดใหญ่ ไม่มีฟันสักซี่แต่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวออกมาจากภายในปาก น้ำลายของอสูรตัวนี้ทรงพลังอย่างชัดเจน
ขณะที่นิ้วหวังหลินแทงตรงเข้าไปในร่างอสูรตัวน้อย หวังหลินขยับนิ้วไปรอบๆทำให้ร่างอสูรแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและเลือนหายไป
หวังหินถอนนิ้วออกมาและเคลื่อนไหวต่อไป ควันสีเทาหลายเส้นออกมาจากชิ้นส่วนที่เหลือของอสูรที่แตกกระจายและหมุนเป็นวงกลมรอบนิ้วมือ
“ศาสตร์สังหารเทพเก็บเกี่ยวพลังชีวิตระหว่างการสังหาร ข้าแค่ไม่รู้ว่าระหว่างนิ้วมือของข้าคือพลังชีวิตอะไร…” หวังหลินก้มศีรษะลงเพื่อมองควันสีเทารอบนิ้วมือ หลังจากขบคิดเล็กน้อยเขาก็เหาะเหินต่อไป
เวลาค่อยๆผ่านไป หวังหลินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแต่ไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของพื้นที่ เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและจับจ้องบนผู้คนของสำนักกระบี่ต้าหลัว
การเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ในสัมผัสวิญญาณของหวังหลินอย่างชัดเจน มิอาจซ่อนอะไรได้
หวังหลินอยากเห็นว่าผลทองคำพิสุทธิ์คืออะไรกันแน่ อีกทั้งเขาต้องการใช้งานคนของสำนักกระบี่ต้าหลัวด้วย โดยเฉพาะเซียนขั้นแปลงวิญญาณสองคนเพื่อมาฝึกฝนศาสตร์สังหารเทพของเขา
แม้กระทั่งตอนนี้หวังหลินก็ไม่มีเจตนาที่ดีอะไรต่อสำนักกระบี่ต้าหลัว!
ขณะที่หวังหลินเหาะเหินผ่านเทือกเขา ควันสีเทารอบนิ้วหวังหลินหนาขึ้นมากกว่าเดิม ควันสีเทาหลายเส้นราวกับเส้นดายที่หมุนวนรอบนิ้วหวังหลินอย่างรวดเร็ว
ในดินแดนมารปฐพีทิศเหนือแห่งนี้ไม่ขาดอสูรมารเลย แต่ว่าไม่มีตัวไหนที่เป็นภัยต่อหวังหลิน หากไม่ใช่ว่าอยากเห็นผลทองคำพิสุทธิ์ หวังหลินคงเข้าไปในส่วนลึกเพื่อฝึกฝนศาสตร์สังหารเทพด้วยสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังไปแล้ว
ในวันนี้หวังหลินถอนนิ้วมือจากศีรษะวัวตัวหนึ่งที่มีพลังเท่าเทียบกับเซียนขั้นตัดวิญญาณ ขณะที่ถอนนิ้วมืออกมา ควันสีเทาหนาแน่นเส้นหนึ่งออกมาจากศีรษะวัวและหมุนเป็นวงกลมรอบนิ้วมือเขา
ร่างของวัวสั่นเทาและสายตาของมันค่อยๆจางลงจนฟุบลงไปไม่ไหวติง
ขณะนั้นสายฟ้าดำสายหนึ่งเข้ามาจากระยะไกล ตามมาด้วยเสียงคำรามดุร้าย ร่างอสูรยุงปรากฎตัวถัดจากหวังหลิน ปากขนาดใหญ่ของมันแทงเข้าไปในศีรษะเจ้าวัวและดูดในคำเดียว มันดูดทั้งโลหิต เลือดเนื้อ ชีวิตและแก่นของอสูรวัว
เหลือเพียงโครงกระดูกที่ตกไว้บนพื้น
หลังอสูรยุงดูดจนเสร็จสิ้น แสงสีขาวปรากฎรอบตัวมัน หลังจากแสงกระพริบอยู่สองสามครั้งมันก็หายไปทำให้เส้นขนน่าหวาดกลัวบนอสูรยุงดูดุร้ายมากขึ้นอีก เจ้ายุงมีความสุขมากและเริ่มบินรอบตัวหวังหลิน
ระหว่างทาง ทุกครั้งที่หวังหลินสังหารอสูรขั้นตัดวิญญาณหรือสูงกว่า เขาจะเรียกอสูรยุงออกมาเพื่อให้มันดูดซับชีวิตของอสูรและแก่นของมันเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเจ้ายุง
หากไม่ใช่ว่าเจ้าคางคกสายฟ้าไม่เหมาะกับการเติบโตแบบนี้ เขาคงปลดปล่อยเจ้าคางคกสายฟ้าออกมาด้วยเช่นกัน
ส่วนเจ้ายุงนั้นเป็นอสูรจากดวงดาว แม้มันปรากฎตัวบนดาวซูซาคุด้วยเหตุผลบางอย่าง ความดุร้ายของมันไม่ใช่สิ่งที่อสูรจากดาวเซียนจะเปรียบเทียบได้
อสูรตัวนี้มีชีวิตเพื่อกลืนกิน มันกลืนกินอสูรตัวไหนก็ได้ในโลกและยิ่งกลืนกินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากมันเริ่มติดตามหวังหลิลน มันกินเม็ดยาไปจำนวนมาก สมบัติสวรรค์ แก่นอสูรและคล้ายๆกัน แม้ความแข็งแกร่งของมันยังอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแต่อสูรขั้นตัดวิญญาณบางตัวยังรับรู้ถึงความดุร้ายของมัน
หวังหลินเดินทางไปข้างหน้าและลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นเจ้ายุงร้องคำรามและเคลื่อนไหวออกไป มันเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าและปรากฎตัวใต้ฝ่าเท้าหวังหลิน จากนั้นพาหวังหลินเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา
ขณะที่เหาะเหินหวังหลินสังเกตบางอย่างได้ อสูรยุงรับรู้ด้วยเช่นกันและมันหยุดชะงักทันที มันอยู่นิ่งๆรอคอยคำสั่งของหวังหลิน
หวังหลินมองไปทางทิศใต้จากนั้นเผยรอยยิ้มและพึมพำกับตัวเอง “พวกเขาพบผลทองคำพิสุทธิ์แล้วใช่ไหม…”
ด้วยความคิดนี้ เจ้ายุงเคลื่อนไปทางทิศใต้อย่างเงียบเชียบราวกับภูติผียามค่ำคืน
ทว่าดวงตาของมันแดงฉานและส่องสว่างราวกับเพลิงน่ากลัว
หวังหลินใช้ความสนใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนตัวอสูรยุงในหลายวันที่ผ่านมา เจ้าอสูรยุงดูเหมือนจะอยู่สภาวะวิกฤตและกำลังจะทะลวงผ่านระดับ
ทุกครั้งที่เจ้ายุงกลืนกินชีวิตและแก่นของอสูร มันจะมีแสงสีขาวกระพริบรอบตัวเหมือนกับตอนที่มันกลืนกินแสงสีขาวจากดินแดนดาราล่มสลาย
เมื่อมองแสงน่ากลัวในดวงตาเจ้ายุง ภาพหนึ่งปรากฎขึ้นในใจหวังหลินทันที
บนดาวเคราะห์ใหญ่ดวงหนึ่งมีอสูรยุงอยู่นับไม่ถ้วนปกคลุมตลอดทั้งท้องฟ้า ดวงตาพวกมันส่องสว่างราวกับเพลิงภูติพราย…