546. ทหารปิศาจ
การเป็นมนุษย์ธรรมดาหลายทศวรรษคือช่วงชีวิตที่สงบสุขและยังเป็นช่วงเวลาที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แม้ว่ามันจะผ่านมานานหลายปีแล้วหวังหลินก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น เมื่อคิดถึงต้าหนิวเขาก็ถอนหายใจขณะดื่มสุราในถ้วยจนหมดในคราเดียว
ตอนที่ดื่มเข้าไปกลิ่นสุราหอมรุนแรง แต่จากนั้นหลังจากลิ้มรสทำให้หวนรำลึกขึ้นมาจริงๆ มันช่างคล้ายกับสุราที่ต้าหนิวนำมาให้เขาอย่างมาก
ฉือซานยังคงนิ่งเงียบ ดูเหมือนเขาจะเห็นว่าหวังหลินกำลังคิดบางอย่างในใจ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรินสุราให้หวังหลินตอนที่ถ้วยว่างเปล่า
ฮัวเป่าอดทนเป็นเวลานานและหลังจากกลืนน้ำลายไปหลายคำในที่สุดก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขามองหวังหลินจากนั้นหยิบไหขึ้นมาอย่างเงียบๆ ทำลายฝาปิดและรินสุราให้ตัวเองหนึ่งถ้วย พลันหยิบขึ้นมาดื่มไปหนึ่งอึกและตกตะลึงทันที
ขณะที่เขากำลังจะรินอีกถ้วย ฉือซานมองเขาอย่างเย็นชาจึงพลันคิดทุกข์ทน ‘ข้าเพียงแค่ดื่มสุรา ท่านบรรพชนก็ไม่ได้กล่าวว่าอะไร ทำไมเจ้าทำตัวน่ารำคาญเสียจริง?’
แม้จะคิดเช่นนี้ในใจก็ไม่ได้เผยออกมาบนใบหน้า
หวังหลินดื่มแก้วต่อไปเรื่อยๆและใบหวนรำลึกอย่างลึกซึ้งขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนดาวซูซาคุ
ทันใดนั้นเขาเกิดแรงกระตุ้นให้ออกจากดินแดนวิญญาณปิศาจแห่งนี้ ออกจากดาวเทียนหยุนและกลับไปที่ดาวบ้านเกิดของตัวเองและยกระดับพวกเขา
แรงกระตุ้นนี้แก่กล้ายิ่งขึ้นและจนกระทั่งครอบครองทั้งความคิด ถ้วยสุราแตกกระจายจากแรงบิดและเศษแก้วแตกละเอียดในฝ่ามือ ทว่าหวังหลินไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เพราะเขาจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
หากมีเซียนสักคนมาเห็นหวังหลินพวกเขาคงตกตะลึง นอกจากเซียนที่มุ่งมั่นฝึกฝนจิตใจแห่งเต่าที่แข็งแกร่งแล้วจะมีใครที่ทำให้ตัวเองเกิดแรงกระตุ้นและจมลึกอยู่ในความคิดเช่นนี้ด้วยหรือ?
ฉือซานสังเกตสิ่งผิดปกติได้ทันที ทันใดนั้นเขาหันหน้ามองหวังหลินและเผยใบหน้ากังวล
ฮัวเป่ารับรู้สิ่งผิดปกติได้เช่นกัน ความกังวลบนใบหน้าไม่ได้น้อยไปกว่าฉือซานเลย
ขณะนั้นเองเสียงชุดเกราะดังกระทบกันอยู่นอกเหลาพร้อมกับส่งเสียงดังอื้อซ่า หลังจากนั้นไม่นานทหารปิศาจจำนวนเจ็ดถึงแปดคนสวมชุดเกราะสีดำเข้ามาในเหลาอาหาร
ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง ในไม่ช้าเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งเดินออกไปแต่พวกเขาผลักไปด้านข้างและเอ่ยขึ้น “นำสุราและอาหารที่ดีที่สุดมา เดี๋ยวนี้!”
เสี้ยวเอ้อถูกผลักตกลงบนพื้น หลังจากลุกขึ้นเขายิ้มและพยักหน้าก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
ลูกค้าหลายคนในเหลาอาหารรีบจ่ายเงินและจากไปโดยไม่กล้าพักอยู่ต่อ
พวกเขาเจ็ดถึงแปดคนในชุดเกราะพลันดึงโต๊ะออกมาต่อกันนั่งลงและเริ่มพูดคุยเสียงดัง
ท่ามกลางคนเหล่านี้มีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ตำแหน่งหัวหน้า เขาอายุราวสามสิบปี ใบหน้ามืดมนและเผยกลิ่นอายดุดันอึดอัด
หลังสุราและอาหารมาถึง เขาหยิบขวดสุราขึ้นมาทำลายฝาปิดและดื่มไปทั้งไหในทีเดียว จากนั้นโยนออกไปด้านข้าง ไหสุราแตกกระจายข้างๆโต๊ะของหวังหลินโดยจงใจหรือไม่ทราบดี
สายตาฉือซานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมกันหันหน้าไปมองพวกเขา จากนั้นสูดหายใจลึกและค่อยๆหันศีรษะกลับมาหลงเหลือแต่เพียงความเงียบ
ฮัวเป่าขมวดคิ้วแต่เขารู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับท่านบรรพชน ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะสร้างปัญหาตอนนี้ดังนั้นเขาจึงระงับความโกรธของตนเอง
หนึ่งในบุรุษเกราะดำร่างกำยำเอ่ยเสียงดัง “ท่านผู้บรรชาการไม่ต้องกังวล เมื่อคนผู้นั้นมาถึงวันพรุ่งนี้ เราจะรวมหน่วยทั้งหมดเข้าด้วยกันและแสดงให้คนผู้นั้นเห็นว่าใครเป็นผู้บัญชาการที่แท้จริง!”
ชายใบหน้ามืดมนปาดสุราออกจากปากและเอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าสืบเบื้องหลังอะไรได้บ้าง?”
ทหารเกราะดำอีกคนกล่าวเสียงเบา “มันเป็นคนต่างถิ่น ข้าได้ยินว่าเขาถูกท่านแม่ทัพทดสอบแต่ไม่ถึงระดับความต้องการและได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการเป็นข้อยกเว้น!”
“ฮึ่ม!” บุรุษใบหน้ามืดมนหยิบขวดสุราขึ้นมาอีกไหและดื่มไปอีกอึกใหญ่
“ท่านผู้บัญชาการ เรื่องแรกเมื่อเขามาถึงข้าจะท้าประลองกับเขาและดูกันว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน ตามกฎของกองทัพแล้วหากเขาไม่แข็งแกร่งเพียงพอ แม้ท่านแม่ทัพจะแต่งตั้งมาเขาก็ไม่มีสิทธิ์สั่งการทหาร”
“นั่นก็ถูก ทำไมท่านแม่ทัพถึงเอาคนใหม่เป็นผู้บัญชาการแต่กลับถอนคนเก่าให้กลายเป็นรองผู้บัญชาการเล่า!? นี่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ไม่มีใครสามารถมานั่งตำแหน่งนี้และยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้!”
“พอแล้ว!” ชายใบหน้ามืดมนดื่มไปอีกอึกใหญ่และเอ่ยขึ้น “ข้าอยากเห็นว่าคนคนนั้นมีทักษะแบบไหน! พวกคนต่างถิ่น…มีคนต่างถิ่นทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง! หากคนคนนี้แข็งแกร่งเราจะใช้ค่ายกลสังหารเซียน!”
หลังกล่าวเช่นนั้นทหารเกราะดำกรอบด้านหุบปากกันทั้งหมด
“เอ๊ะ?” ชายใบหน้ามืดมนขมวดคิ้ว “พวกเจ้ากลัวหรือ?”
ผู้คนยังคงจ่ายเงินและกำลังจากไป ในไม่ช้าเหลือโต๊ะเพียงสองกลุ่มเท่านั้น นอกจากโต๊ะพวกทหารปิศาจแล้วก็คือโต๊ะของหวังหลินที่มีสามคน
ถ้วยในมือหวังหลินถูกบดละเอียดไปเรียบร้อยแล้วแต่ใบหน้าหวนรำลึกของเขายิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก พลังปราณสวรรค์ค่อยๆกระจายออกมาจากร่างและตัวตนมารร้ายที่ถูกระงับไว้ข้างในค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นและกระจายออกมา
ฉือซานเรียกเบาๆ “ท่านบรรพชน!”
กลับไปที่โต๊ะกลุ่มทหารปิศาจ ชายใบหน้ามืดมนกล่าวอีก “หากพวกเจ้ากลัวก็ไปซะตอนนี้!”
ทหารปิศาจหนึ่งในนั้นรีบพูดขึ้น “ท่านผู้บัญชาการ หากเราใช้ค่ายกลสังหารเซียนกับคนของเรา ท่านแม่ทัพอาจจะลงโทษ…”
“คนผู้นั้นจะตายอยู่แล้วและข้าจะได้ตำแหน่งกลับคืนมา แม้จะมีการลงโทษข้าจะยอมรับมันเอง ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ได้รับผลกระทบ” ชายใบหน้ามืดมนกล่าวจบก็ดื่มสุราไหนั้นและโยนอีกครั้ง
สุราไหนี้ลอยตรงไปที่โต๊ะหวังหลินด้วยความเร็วสูง สายตาฉือซานเปลี่ยนเป็นเย็นชาและคว้าไหเอาไว้ ขณะเดียวกันใบหน้าก็เปลี่ยน เขาถูกผลักไปด้านข้างและเก้าอี้ที่เขานั่งแตกสลายหลังจากนั้นทันที
ร่างฉือซานถูกผลักออกไปหลายก้าว เขาฝืนกลืนโลหิตในปากตัวเองลงไปและตั้งร่างกายให้มั่น
ชายใบหน้ามืดมนตะโกนทันที “ไปซะ! วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี! พวกเจ้าสามคนไม่มีตาหรือ! ”
ดวงตาฮัวเป่าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นพลันจ้องไปที่โต๊ะเหล่าทหารปิศาจ เขาสามารถสัมผัสพลังปราณปิศาจที่ออกมาจากแต่ละคนได้ เขารู้ว่าสามารถเอาชนะเพียงหนึ่งในพวกนั้นได้แต่หากสู้สองคนก็ยากจะต้านไหว โดยเฉพาะคนที่โยนไหสุรามาซึ่งมีปราณปิศาจรั่วไหลออกมาไม่หยุด ตอนที่สายตาฮัวเป่าประสานกับชายคนนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในใจตนเองและรีบถอนสายตาออกมา
ฉือซานสูดหายใจลึก จากนั้นวางไหสุราลงเดินไปที่หวังหลินและกล่าวเบาๆ “ท่านบรรพชน!”
ดูเหมือนหวังหลินไม่รับรู้อะไรเลยขณะนั่งนิ่งไร้การเคลื่อนไหว
ตอนที่ชายใบหน้ามืดมนเข้ามาในเหลาอาหารครั้งแรก เขาสังเกตหวังหลินได้และพบว่าหวังหลินประหลาดนัก ราวกับมีพลังสองรูปแบบกำลังต่อสู้เป็นตายข้างในร่างกายคนผู้นี้
จุดประสงค์ของสุราไหแรกเพื่อสอดแนมหวังหลิน ส่วนไหที่สองแสดงได้ชัดเจน!
เมื่อทหารปิศาจเห็นกลุ่มของหวังหลินยังไม่ไปไหน พวกเขารู้สึกไม่มีความสุข หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น “เจ้ารนหาที่ตาย!”
สิ้นคำเขาก็เดินไปหาหวังหลิน
ฝั่งด้านข้าง สายตาฉือซานเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นสุดขั้วและโยนกำปั้นออกไปตรงๆ ปฏิกิริยาตอบสนองของทหารปิศาจไม่ได้ช้าแต่เขาตกใจเล็กน้อย ในการตอบสนองนั้นฝ่ามือเขาเปลี่ยนเป็นหมัดและหมุนวนพลังปราณปิศาจในร่างกาย แสงชั่วร้ายพลันปรากฎรอบหมัดของเขาเปลี่ยนเป็นพยัคฆ์ดุดันเข้าสู่หมัดและปะทะกับกำปั้นของฉือซาน
ปัง!
เกิดเสียงดังอู้อี้ออกมาขณะทหารปิศาจกระอักโลหิตและลอยกลับไปราวกับถูกพลังแข็งแกร่งกระแทกใส่ เขาร่อนลงบนโต๊ะและกระแทกใส่จนโลหิตบ้วนออกมาจากปาก
ฉือซานถูกดันถอยหลังไปหลายก้าวและโลหิตซึมออกมาจากมุมปากเช่นกัน เขาได้รับบาดเจ็บตอนที่รับไหสุราไปแล้วและตอนนี้กำลังฝืนใช้พลังของตนเองทำให้อาการบาดเจ็บยิ่งแย่ขึ้นอีก แขนขวาของเขาชาหนึบไปเรียบร้อย
วิชาปรับแต่งร่างกายของเขาเดิมทีก็ยังไม่สมบูรณ์ดังนั้นเมื่อฝึกฝนมัน ความแข็งแกร่งของเขาจึงขาดไปโดยธรรมดา
ตอนที่ฮัวเป่าเห็นการกระทำของฉือซาน เขายื่นมือเข้าไปในเสื้อและนำธงเล็กมากกว่าสิบผืนออกมา ขณะที่สะบัดมันพลันเกิดสายลมเย็นเห่าหอนออกมาทันที
หลังจากทหารปิศาจเห็นว่าหนึ่งในพวกของตนได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดยืนขึ้นพร้อมกับจิตสังหารเต็มเปี่ยม พวกคนเหล่านี้อยู่บนสนามรบเป็นเวลานานและเมื่อปลดปล่อยจิตสังหารของตน พลังแต่ละคนเพิ่มขึ้นหลายเท่า
มีเพียงคนใบหน้ามืดมนเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว สายตายังจดจ้องบนหวังหลิน
“คนเถื่อนเช่นพวกเจ้ากล้าสร้างปัญหาในเมืองปิศาจโบราณเชียวหรือ?!” ทหารปิศาจเยาะเย้ยและพุ่งตัวออกมาราวกับพยัคฆ์ร้าย
ทหารปิศาจทั้งหมดหกคนโจมตีในครั้งเดียวทำให้ฮัวเป่าด่าทอ เขาปลดปล่อยดวงวิญญาณในผืนธงทันทีและพวกมันอยู่ในเหลาอาหารเต็มไปหมด
ร่างของฉือซานผสมเข้ากับดวงวิญญาณและเริ่มการต่อสู้
ทหารปิศาจคนหนึ่งรีบตะโกนขึ้น “วิชาปิศาจ! ท่านพี่รีบใช้ปราณปิศาจเพื่อทะลวงมัน!”
ทหารปิศาจทั้งหกคนมีวิชาแกร่งกล้าดังนั้นแต่ละคนจึงกระจายปราณปิศาจออกมาทันที ปราณปิศาจรุนแรงหกสายพุ่งออกมาราวกับมังกรกำลังเดือดดาล ปราณปิศาจแต่ละสายนี้มีระดับอย่างน้อยสามสิบระดับ พวกมันเคลื่อนผ่านเหลาอาหารเพื่อบังคับให้ดวงวิญญาณกลับไป
ใบหน้าฉือซานซีดเผือดอย่างมากและฮัวเป่าลอบสาปแช่ง พวกเขามองหน้ากันเองและทั้งคู่มองสายตาคนอื่นด้วยท่าทีมุ่งมั่น
แม้พวกเขาจะตายก็ต้องให้ท่านบรรพชนปลอดภัย!
ขณะนั้นเองฮัวเป่ารู้สึกว่าฉือซานไม่ได้เป็นคนน่ารำคาญ!
ชายใบหน้ามืดมนเปลี่ยนสีหน้าทันทีและตะโกน “ถอนปราณปิศาจพวกเจ้าซะ! เร็ว!”
ขณะที่ตะโกนเช่นนั้น ปราณปิศาจหกสายก็หลุดจากการควบคุมภายใต้สายตางุนงงของทหารปิศาจทั้งหก ปราณปิศาจหกสายพุ่งเข้าหาหวังหลินและเข้าสู่คิ้วของเขา
ขณะนั้นสายตาหวนรำลึกของหวังหลินพลันเลือนหายไป จากนั้นเขาถอนหายใจยาวและดวงตากลับมาชัดเจนดังเดิม
“ตัวตนปิศาจอะไรกัน!” สายตาหวังหลินที่เผยออกมาแฝงความประหลาดใจ