554. สัญลักษณ์ทองหกเส้น
“มีข่าวลือว่าทั้งดินแดนวิญญาณปิศาจคือถ้ำของจักรพรรดิเทพ หรือว่าที่นี่จะถูกจักรพรรดิเทพสร้างขึ้นมาด้วย?” หวังหลินครุ่นคิดและมองไปรอบๆ เขาสงบจิตใจตนเองไม่ให้คิดเรื่องนี้อีกและเริ่มทำความเข้าใจเขตแดน
เขตแดนแห่งชีวิตและความตายได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายเขาก่อนที่จะเข้าดินแดนวิญญาณปิศาจแล้ว ตอนนี้จิตใจหวังหลินจมลึกเข้าไปในเขตแดน ฝ่ามือซ้ายคือความตาย ฝ่ามือขวาคือชีวิต ระหว่างทั้งสองนี้คือแม่น้ำนิรันดร์
แม้ว่าหวังหลินจะจมกับเขตแดน ความระมัดระวังไม่เคยย่อหย่อน หวังหลินทิ้งสัมผัสวิญญาณไว้เล็กน้อยเพื่อโคจรในร่างกาย ดังนั้นหากเหยาซีเชว่มีการเคลื่อนไหวเขาก็จะสามารถตรวจจับได้ตลอดเวลา
หวังหลินเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมมากดังนั้นจึงรู้ว่าหากเขาตื่นตัวเช่นนี้ เหยาซีเชว่ที่คิดแบบเดียวกันจะถือได้ว่าไม่ใช่โอกาสดีที่ลงมือ
ขณะที่เขากำลังฝึกฝน ภาพเขตแดนแห่งชีวิตและความตายค่อยๆปรากฎรอบๆร่าง ขณะที่ทำการเข้าใจอย่างต่อเนื่องหวังหลินก็เข้าสู่สภาวะไร้ตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขาปรากฎในจิตใจอย่างชัดเจน
เขาสามารถสัมผัสถึงพลังลึกลับที่หล่นมาจากท้องฟ้าและรวบรวมบนแท่นแห่งนี้ได้
พลังสายนี้ควบแน่นรอบตัวเหยาซีเชว่อย่างเงียบเชียบและหมุนเป็นวงกลมรอบนาง
หวังหลินเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่พลังลึกลับพร้อมด้วยจิตใจสั่นสะท้าน พลังลึกลับที่หมุนวนเป็นวงกลมรอบเหยาซีเชว่พลันเคลื่อนเข้าหาจุดระหว่างคิ้วของนางและควบแน่นอยู่ตรงนั้น
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันออกมาจากระหว่างคิ้วของเหยาซีเชว่ หลังผ่านไปเวลาสามลมหายใจ ลำแสงสีทองก็กระจายหายไปและนางลืมตาขึ้น
สัญลักษณ์สีทองกำลังเรืองแสงในดวงตาของนางทั้งสองข้าง สัญลักษณ์แต่ละชิ้นประกอบไปด้วยเส้นสามเส้น แม้ว่าพวกมันจะซับซ้อน หวังหลินยังสามารถพอเข้าใจได้
เมื่อหวังหลินมองดวงตาของนาง จิตใจเขาสั่นไหวรุนแรง มันราวกับสายฟ้าฝ่าลงกลางจิตใจและเกิดเสียงดังคำราม หวังหลินรู้สึกเหมือนกับตอนที่เจอต้าวเสินครั้งแรก หากเหยาซีเชว่ไม่ได้เป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายและกลายเป็นเซียนที่ทรงพลังกว่านั้นเขาก็ไม่อาจต่อต้านได้เลย!
ความรู้สึกนี้ทรงพลังมาก ราวกับเป็นคลื่นพลังรุนแรงปะทะเข้ากับวิญญาณของหวังหลิน แม้แต่เทียนหยุนก็ไม่สามารถทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทาได้แบบนี้
จิตใจหวังหลินสั่นรุนแรงแต่เพราะจิตใจแห่งเต๋ามั่นคงจึงรับรู้สิ่งผิดปกติได้ทันที สิ่งที่ทำให้มีอำนาจเช่นนี้ไม่ใช่เหยาซีเชว่แต่เป็นสัญลักษณ์สีทองในดวงตานาง
หวังหลินสูดหายใจลึกเพื่องระงับอาการสั่น เขาไม่ให้ความสนใจนางอีกและเพ่งสมาธิไปที่การเข้าใจเขตแดนของตนแทน หวังหลินจดจำได้ชัดเจนว่านางไม่มีสัญลักษณ์นี้มาก่อนดังนั้นมันต้องเกิดการเชื่อมต่อกับพลังลึกลับที่ปรากฎขึ้นเป็นแน่
เหยาซีเชว่ลืมตาขึ้นชั่วขณะก่อนจะปิดลงอีกและกลับมาฝึกฝนเงียบๆ
หวังหลินจมความคิดตนเองเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ของชีวิตและความตาย ฉากเหตุการณ์จากอดีตแล่นผ่านจิตใจ การเรียนรู้เรื่องชีวิตและความตายนั้นคือการเรียนรู้ว่าอะไรคือชีวิต เรียนรู้ว่าอะไรคือความตาย เขาเปิดม้วนคัมภีร์แห่งชีวิตและความตายขึ้นมาและท้ายที่สุดเขตแดนก็เข้าไปในร่าง ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของหวังหลินที่ไหลผ่านในจิตใจ
หลังผ่านไปไม่รู้เวลา พลังลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนแท่นอีกครั้ง
เหยาซีเชว่พลันลืมตาตื่น ลำแสงสีทองจากดวงตาของนางกระพริบแพรวพราว นางมองเข้าไปในความว่างเปล่าด้วยใบหน้านิ่งๆ
พลังลึกลับปรากฏอย่างรวดเร็วและเริ่มวงกลมล้อมรอบหวังหลิน
ชั่วขณะนั้นความคิดของหวังหลินก็บรรลุสภาวะลึกลับ ราวกับเขากำลังฝันเนื่องจากเกิดความรู้สึกว่าเข้าไปในโลกมายา มีร่างหลายร่างกระพริบทีละคน
หวังหลินไม่อาจเห็นสิ่งใดได้ชัดเจนแต่ก็ดูคล้ายสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้เช่นกัน
ความรู้สึกขัดแย้งกันแบบนี้ทำให้หวังหลินรู้สึกไม่สบายใจ
มีเสียงพึมพำไม่ชายก็หญิงดังต่อเนื่องในโสตประสาทราวกับพยายามบอกอะไรเขาสักอย่าง แต่เมื่อพยายามตั้งใจฟังอย่างละเอียดเขาก็ไม่พบสิ่งใด
ความรู้สึกนี้กินเวลาอยู่นานมาก นานพอที่หวังหลินจะลืมเลือนเรื่องเวลา
เสียงใกล้ๆหูของเขาค่อยๆดังขึ้นและร่างที่อยู่เบื้องหน้าเขาค่อยๆชัดเจนอย่างช้าๆ
ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังกระจ่างชัดต่อหน้าต่อตาเขา ทั้งหมดพลันเปลี่ยนเป็นภาพมายาและเริ่มแตกกระจายไปอย่างเงียบเชียบ ชั่วขณะนั้นหวังหลินคว้าโอกาสตอนที่ทุกสิ่งทุกอย่างในสภาวะนั้นกำลังชัดเจนและกำลังแตกสลาย ดวงตาพลันส่องสว่างวาบมีเพียงผนึกแห่งชีวิตจากศาสตร์สังหารเทพเท่านั้นที่ควบแน่นบนหน้าผากเขา
“ชื่อข้าคือฉิงหลิน…” น้ำเสียงแจ่มชัดปรากฎข้างหูของเขาแต่มันกินเวลาเพียงชั่วพริบตาก่อนจะอันตรธานหายไป
หวังหลินคว้าโอกาสได้ถูกจังหวะ หากเขาใช้ผนึกแห่งชีวิตเร็วเกินไปคงไม่ได้ยินเสียงนี้เลย ที่เขาสามารถได้ยินเป็นเพราะใช้ผนึกแห่งชีวิตได้ถูกจังหวะ!
แทนที่จะมองหา หวังหลินเลือกที่จะฟังเพราะเสียงสามารถสื่อข้อมูลความจริงได้มากขณะที่การมองเห็นสามารถถูกความคิดขัดขวางได้!
เมื่อทั้งหมดนี้หายไป หวังหลินลืมตาขึ้นราวกับตื่นจากฝัน ตอนนี้มีแสงทองรุนแรงส่องประกายจากดวงตาแล้ว
แสงสีทองกินเวลาอยู่หกลมหายใจก่อนจะกระจายหายไป ซึ่งเป็นจังหวะที่สัญลักษณ์สีทองปรากฎในดวงตา สัญลักษณ์นี้สร้างขึ้นจากเส้นจำนวนหกสายและดูซับซ้อนอย่างยิ่ง
ใบหน้าของเหยาซีเชว่กลับเป็นน่าเกลียด นางไม่คิดว่าหวังหลินจะได้สัญลักษณ์หกเส้นระหว่างการทำความเข้าใจ
จังหวะที่หวังหลินลืมตาขึ้น เขามองเหยาซีเชว่และพบว่าแม้นางยังมีสัญลักษณ์อยู่ แต่พลังอำนาจที่ทรงพลังจนหวังหลินไม่อาจต่อต้านได้กลับไม่อยู่เสียแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างหวังหลินจึงเกิดความรู้สึกมองจากที่สูงลงมาหานาง
สายตาจากหวังหลินทำให้เหยาซีเชว่อึดอัดมาก ดังนั้นนางจึงมองไปทางอื่นภายใต้จิตสำนึก นางเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อมีสัญลักษณ์ทอง เจ้าก็สามารถเดินไปบนเส้นทางมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ไปกันเถอะ!” สิ้นคำนางก็ก้าวเข้าไปบนทางเดินมังกรและนำหน้าอย่างรวดเร็ว
แม้แต่นางก็ไม่ได้ตระหนักว่าสัญลักษณ์สีทองในแววตาของนางได้สลัวลงตอนที่มองหวังหลิน มันราวกับหิ้งห้อยพบกับดวงจันทรา แม้ทั้งคู่จะส่องแสงเหมือนกัน แต่เมื่อเปรียบกันแล้วหิ่งห้อยกลับดูริบหรี่โดยธรรมดา
หวังหลินวางแขนลงเบื้องหน้าดวงตา ตอนที่เขามองฝ่ามือตนเอง สัญลักษณ์อันชัดเจนก็ฉายออกมา
“สัญลักษณ์ทองนี้มันคืออะไรกันแน่…” หวังหลินขบคิดขณะเดินไปบนเส้นทางมังกรศักดิ์สิทธิ์และเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ด้านล่างทางเดินมังกรเป็นห้วงอเวจีไร้ก้นบึ้ง หากตกลงไปแม้จะไม่รู้ว่ารอดหรือตาย เพียงแค่คิดถึงการตกหล่นก็เพียงพอให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว
เส้นทางมังกรขยับซ้ายและขวาอย่างช้าๆ หากมีคนธรรมดาอยู่บนทางเดินนี้พวกเขาคงกลัวตาย แต่สำหรับเหล่าเซียนแล้วเรื่องแบบนี้ไม่มีผลกระทบต่อพวกเขา
ทั้งสองคนเคลื่อนไหวตามหลังกันด้วยความเร็วสูงพร้อมกับเคลื่อนที่เข้าใกล้ระยะห่างทีละนิด
เส้นทางนี้ดูเหมือนไร้จุดจบ ทั้งสองคนไม่ได้พักมาสามวันแต่ถนนสายนี้เบื้องหน้าพวกเขาก็ยื่นออกไปอย่างต่อเนื่อง
เหยาซีเชว่ใบหน้าปกติ นางมาที่นี่หลายครั้งจึงรู้ว่าเดินทางได้มาได้หนึ่งในสามกันแล้ว
อีกหลายวันถัดมามีแท่นยักษ์อีกแห่งปรากฎเบื้องหน้าเส้นทางมังกรศักดิ์สิทธิ์และมีของชิ้นหนึ่งตั้งอยู่บนแท่นนั้น!
ของชิ้นนี้คือรูปปั้นสูงสามสิบฟุตซึ่งยื่นอยู่ใจกลางแท่น รูปปั้นนี้คือมนุษย์คนหนึ่งแต่มีใบหูและแขนใหญ่มาก
เหยาซีเชว่หยุดเดินบนเส้นทางมังกร นางมองกลับไปหาหวังหลินที่อยู่ห่างไปไม่ไกลและเอ่ยขึ้น “ที่นี่คือผนึกชิ้นแรก! เราสองคนจะทำลายผลึกคนละชั้น ข้าจะทำลายผนึกชั้นแรกและเจ้าจะทำลายผนึกชั้นที่สอง!”
หวังหลินตอบกลับด้วยใบหน้าสงบ “ตกลง!”
เหยาซีเชว่ไม่เสียคำพูดต่อ นางกระโดดขึ้นไปกลางอากาศและพุ่งเข้าไปบนแท่นราวกับสายฟ้า ขณะที่ร่างของนางร่อนลงบนแท่น ลำแสงสีทองหนึ่งเส้นปลดปล่อยออกมาจากดวงตาของนางโดยอัตโนมัติ ลำแสงสีทองบรรจุสัญลักษณ์ทองและร่อนลงบนแท่นไปพร้อมกับนาง
รูปปั้นสั่นเทาและควันสีขาวออกมาจากรูปปั้น จากนั้นมันพลันลืมตาขึ้นทันทีเผยสายตาอันโหดเหี้ยม มันยกเท้าขึ้นและก้าวเท้าออกไปจนทำให้ทั้งแท่นสั่นเทา
จิตสังหารเข้มข้นกระจายออกมาพร้อมกับการก้าวนั้นโดยทันที
เหยาซีเชว่ลอยตัวกลางอากาศ นางต่อกรกับรูปปั้นนี้มาหลายครั้งดังนั้นจึงคุ้นเคยกับมัน นางสัมผัสกระเป๋าด้วยมือขวาและนำหินหยกออกมา หินหยกเป็นสีแดงโหลิตและเห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากหยกธรรมดา
“ผนึก!”
เพียงคำพูดคำเดียว เหยาซีเชว่ก็โยนหินหยกออกไป หินหยกแตกกระจายกลางอากาศเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงโลหิตหนาแน่นปกคลุมร่างเนื้อของรูปปั้น
แสงสีแดงโลหิตล้อมรอบรูปปั้นเอาไว้ทำให้มันดูเหมือนสวมเสื้อผ้าสีแดงโลหิตพร้อมกับถูกขังไว้ข้างใน ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถทำลายผนึกโลหิตได้
ร่างงดงามของเหยาซีเชว่ค่อยๆร่อนลงพื้น นางหันกลับมามองหวังหลินก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ปลายสุดของแท่น มีเส้นทางมังกรศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกด้าน
รูม่านตาหวังหลินหดแคบ ระดับบ่มเพาะของรูปปั้นนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับต้น แม้ว่ามันจะเบาปัญญาไปบ้างแต่พลังการก้าวนั้นแข็งแกร่ง หากมันสามารถใช้วิชาเซียนหรือเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ คงไม่อาจต่อกรได้ง่ายๆแน่นอน
อย่างไรก็ตามในไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้มันกลับถูกเหยาซีเชว่ผนึกไว้โดยง่าย การกระทำเช่นนี้ทำให้หวังหลินต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับนางใหม่โดยสิ้นเชิง
หวังหลินลอบคิด ‘หยกโลหิตส่วนใหญ่ต้องถูกพ่อของนางหลอมไว้ให้จนมีมีพลังมากเป็นแน่!’ หวังหลินไม่ได้เผยความคิดใดบนใบหน้าขณะกระโจนขึ้นไปบนแท่น ขณะที่เขาเดินผ่านรูปปั้นที่ปกคลุมด้วยแสงสีแดงโลหิตไป เขาก็หันไปหามันและดูเหมือนจะเห็นแสงสีทองกระพริบหายไป
หวังหลินก้าวไปบนเส้นทางมังกรอีกด้านโดยไม่เผยอาการใด ตอนที่เขาก้าวไปบนเส้นทางนั้น หวังหลินหันกลับมามองรูปปั้นอย่างลวกๆและขณะที่เขาหันกลับมา ผนึกชีวิตบนหน้าผากก็แควบแน่นที่ดวงตา สายตาแทงทะลุผ่านแสงสีแดงโลหิตและเห็นสัญลักษณ์ที่กำลังกระพริบบนรูปปั้น!
สัญลักษณ์นี้มีเพียงหนึ่งเส้นเท่านั้นและมันเห็นได้ชัดเจนมาก!