582. หวังหลินก้าวออกไป
หลังสิ้นเสียงกลองครั้งที่สาม จิตใจทุกคนเต็มไปด้วยเสียงดังกังวาล ที่นั่งตรงนั้นยังว่างเปล่าและร่างที่กำลังรอคอยยังไม่ปรากฏตัว
ขณะนั้นร่างชายสวมเกราะสีทองเดินออกมาจากพระราชวังด้านหลังสนามสี่เหลี่ยม เขากวาดสายตาไปทั่วพื้นที่ก่อนจะวางสายตาบนสนามและตะโกน “แม่ทัพปิศาจ จงออกมา!”
น้ำเสียงดุจสายฟ้าคำรามดังกึกก้องไปทั่วสนาม ประตูทั้งหมดเปิดขึ้นและแม่ทัพปิศาจหลากหลายตนเดินเข้ามา
แม่ทัพปิศาจทั้งหมดนี้มีเซียนติดตามไปด้วย สายตาทุกคนเลื่อนออกมาจากที่นั่งว่างเดิมมามองเหล่าแม่ทัพแทน
รองผู้บัญชาการสูงสุดซวนลืมตาขึ้นมองคนผู้หนึ่งท่ามกลางแม่ทัพปิศาจด้วยสายตาขุ่นเคืองและพ่นลมหายใจเบา
เขาให้ความสนใจต่อหวังหลินที่กำลังเดินมาด้านหลังโม่ลี่ไฮ่ หวังหลินยกศีรษะขึ้นมองรองผู้บัญชาการสูงสุดซวน ก่อนจะถอนสายตาออกมา
โม่ลี่ไฮ่ขมวดคิ้วมองที่นั่งว่างในระยะไกลและพึมพำกับตัวเอง “น่าแปลก ทำไมท่านจักรพรรดิปิศาจยังไม่อยู่ที่นี่…”
แม่ทัพปิศาจหลายร้อยคนเดินผ่านประตูปิศาจฟ้ากลายเป็นสองแถว เจตนาต่อสู้รุนแรงกระจายออกมาจากพวกเขาและพุ่งพล่านอยู่เต็มไปทั่วบริเวณ
ชายเกราะทองเอ่ยเสียงต่ำ “ตามคำสั่งท่านจักรพรรดิ กฏเหมือนเดิมคือการดำเนินการท้าประลองกับอีกคน!”
จากนั้นกล่าวต่อ “คนที่แพ้สามารถให้ผู้ช่วยออกมาได้และในเวลาเดียวกันคนชนะสามารถถอนตัวไปก่อนและปล่อยให้ผู้ช่วยขึ้นมาสลับตัวได้ ผู้ที่ชนะทั้งสองรอบจะได้ไปต่อ หากชนะและแพ้อย่างละหนึ่ง ทั้งสองฝั่งถือว่าหมดสิทธิ์! รวมถึงใครก็ตามที่ชนะหนึ่งครั้งในรอบนี้จะไม่สามารถท้าประลองคนอื่นได้!”
น้ำเสียงเขาไม่ได้ดังแต่เข้าสู่หูของทุกคน เมื่อได้ยินกฏนี้ดวงตาหวังหลินจึงหรี่แคบ
แม้ว่ากฏนี้จะดูธรรมดาแต่กลับซ่อนการนองเลือดไว้ภายใน! การนองเลือดนี้คือหากท่านชนะและพ่ายแพ้อย่างละหนึ่ง ทั้งสองฝั่งถือว่าหมดสิทธิ์!
ซึ่งเป็นผลให้ทุกคนจะต้องเอาชนะการประลองนี้ให้ได้ดีที่สุด เมื่อท่านพ่ายแพ้ในรอบแรกนั่นหมายความว่าคนที่แพ้ถือว่าหมดสิทธิ์ไปแล้ว สิ่งเดียวที่จะล้างแค้นได้คือทำให้ผู้ชนะรอบแรกไปแพ้ในรอบสองจึงจะหมดสิทธิ์กันทั้งคู่!
“นี่มันไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการต่อสู้ถึงตาย!” หวังหลินขบคิด
ชายเกราะทองเอ่ยอีกครั้ง “ในการประลองสามารถทำให้ตายได้ แต่ไม่ใช่สำหรับแม่ทัพปิศาจ เมื่อแม่ทัพปิศาจตาย คนที่ฆ่าแม่ทัพปิศาจจะถูกสังหาร!”
หวังหลินขมวดคิ้วและมองชายเกราะทองด้วยสายตาเย็นชา
“ใช้การประลองระหว่างแม่ทัพปิศาจและเข่นฆ่าระหว่างเซียนด้วยกันเพื่อให้ได้ตำแหน่ง…หากต้องการได้รับตำแหน่งในดินแดนวิญญาณปิศาจจะต้องเดินผ่านฝนโลหิต!” หวังหลินถอนสายตาออกมาและครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
“ข้าจะเป็นคนเลือกคนเริ่มต้น!” ชายเกราะทองชี้ไปที่ใครสักคนด้วยมือขวา คนที่เขาชี้ไปเป้นชายร่างผอมคนหนึ่ง
“แม่ทัพปิศาจมู่หยุน ออกมา!”
คนที่ถูกชี้ไปก้าวเดินออกมาบนลานประลอง เขาสวมชุดเกราะและร่างกายบอบบางมาก ดวงตาจมลึกข้างในและใบหน้าอ่อนแอจนเป็นสีเหลือง
เขายืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหวราวกับต้นสนโบราณ
“มู่หยุน! คนผู้นี้ถือได้ว่าติดอยู่ในยอดแม่ทัพสามสิบอันดับแรก ลือกันว่าเขาฝึกฝนวิถีเก้าตายเก้าชีวิตและสามร้อยปีก่อนเขาบรรลุห้าตายห้าชีวิตไปแล้ว!”
“คนแรกคนนี้แข็งแกร่งมาก การประลองของแม่ทัพปิศาจครั้งนี้น่าสนใจ!”
“ข้าสงสัยว่าใครจะท้าประลองเขา ต้องกล่าวว่าผู้ชนะการประลองแรกจะเข้าตาท่านจักรพรรดิปิศาจ แม้ว่าท่านจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้อมูลจะส่งไปถึงแน่นอน!”
“หากไม่มีคนท้าประลองเขาในสิบลมหายใจ ข้าจะเป็นคนเลือกขึ้นมาเอง!” หลังจากชายเกราะทองเอ่ยขึ้น เขาหลับตาและไม่เอ่ยอะไรอีก
แม่ทัพปิศาจร่างผอมยืนนิ่งอย่างเงียบๆ เวลาผ่านไปห้าลมหายใจ แม่ทัพปิศาจผู้หนึ่งเดินออกมา!
ขณะที่ฉีเจี้ยนเดินออกมา ดวงตาแม่ทัพปิศาจมู่หยุนส่องสว่างขึ้น
ขณะที่เขาปรากฏตัว ผู้คนในฝูงชนอุทานออกมา!
“ฉีเจี้ยน!”
“แม่ทัพปิศาจฉีเจี้ยน! ระดับบ่มเพาะถือได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรก ข้าสงสัยว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ถ้าเขาออกมาแบบนี้”
“เดิมทีข้าคิดว่าคู่ต่อสู้ของฉีเจี้ยนควรจะเป็นโม่ลี่ไฮ่ สามร้อยปีก่อนโม่ลี่ไฮ่ได้ฝากรอยแผลแรกไว้บนใบหน้าฉีเจี้ยน นั่นการดูถูกอันใหญ่หลวงที่สุดที่ฉีเจี้ยนได้รับ!”
ภาพลักษณ์ของฉีเจี้ยนถือได้ว่าเป็นปิศาจโดยแท้ เขาเดินเข้ามาที่ลานประลองและหยุดลงเบื้องหน้ามู่หยุนสามร้อยฟุต จากนั้นเอยท่าทีสงบนิ่ง “มู่หยุน เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ลงไปซะ!”
แม่ทัพมู่หยุนเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มรวมเข้ากับสภาพของเขาจนดูเหมือนรอยยิ้มจากซากศพและให้กลิ่นอายมืดมน
“ฉีเจี้ยน!” มือขวามู่หยุนยื่นออกไปพร้อมกับควันสีเขียวออกมาจากนิ้วมือ มีเสียงดังซี่ๆออกมาขณะที่ควันสีเขียวห้าเส้นเคลื่อนไหวรอบนิ้วราวกับอสรพิษห้าตัว
“ปราณปิศาจห้าความตายห้าชีวิต…ดูเหมือนว่าเจ้าได้ทะลวงผ่านขอบเขตเจ็ดตายเจ็ดชีวิตแล้ว!” ฉีเจี้ยนมองมู่หยุนจากนั้นส่ายศีรษะ “แต่มันยังไม่พอ!”
มู่หยุนเยาะเย้ยและยื่นมืออกไป อสรพิษเขียวห้าตัวบิดเบี้ยวและยื่นเข้าหาฉีเจี้ยนอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่ควันสีเขียวห้าสายลอยผ่านอากาศ พวกมันสร้างสายลมกรรโชกรุนแรง ในเวลาเดียวกันก็เกิดกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว
แม่ทัพปิศาจที่อยู่รอบๆหลายคนหรี่ตาจดจ้องไปที่ควันสีเขียวนั้นและดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ฉีเจี้ยนส่ายศีรษะแต่ร่างกายไม่ได้ขยับ เขาขยับมือขวาพร้อมกับชี้ด้วยนิ้วชี้จากนั้นนิ้วกลางและจากนั้นนิ้วก้อย ท้ายที่สุดกดฝ่ามือไปด้านหน้า!
แสงรูปทรงเพชรลอยออกมาจากฝ่ามือฉีเจี้ยนทันทีและรวมเข้ากับควันสีเขียวห้าเส้นของมู่หยุน
เสียงระเบิดดังเป็นชุดและพลังรุนแรงพัดดินทรายให้ลอยไปทุกที่ ควันสีเขียวห้าเส้นถูกแสงทรงเพชรทำลายทันที
ขณะเดียวกันแสงทรงเพชรพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง มันหยุดลงเพียงแค่ด้านหน้าร่างมู่หยุนและระเบิดออก
พลังระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้ใบหน้ามู่หยุนซีดเผือดทันที เขาบังคับให้ถอยกลับไปหลายก้าวและดวงตาเต็มไปด้วยอาการประหลาดใจ
ฉีเจี้ยนถอนมือกลับมาและเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าสู้ไม่ได้! เอาผู้ช่วยของเจ้าออกมา!”
ขณะที่เขาเอ่ยจบ พื้นดินเริ่มสั่นเทาและคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนของแม่ทัพปิศาจ ร่างกายเขาตัวใหญ่ยักษ์และหนักอย่างน้อยหนึ่งร้อยกิโล ร่างท่อนบนเปลือยเปล่าและการก้าวแต่ละครั้งทำให้พื้นดินสั่นไหว
เขาเข้ามาถึงด้านหน้าฉีเจี้ยนในสามก้าวและยิ้มเยาะ “ตุ๊กตาน้อย ข้าเทียนหลุยแห่งสำนักวิญญาณยักษ์ เป็นผู้ช่วยของแม่ทัพมู่หยุน!”
หวังหลินมองชายร่างอ้วนคนนั้น สำนักวิญญาณยักษ์เป็นสำนักใหญ่บนดาวเทียนหยุน คล้ายกับสำนักมารยักษ์ที่มุ่งเน้นด้านพลังดิบเถื่อน!
ชายร่างยักษ์ร้องคำรามและก้าวมาข้างหน้า จากนั้นพลังปราณสวรรค์ออกมาจากรูขุมขนบนร่างกายและเปลี่ยนเป็นสายหมอก ขณะนั้นเขาซ่อนตัวในสายหมอกและกระแทกเข้าหาฉีเจี้ยน!
พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับมีม้าศึกหลายหมื่นตัวกำลังวิ่งมา ร่างกายในหมอกสวรรค์เคลื่อนไหวรวดเร็วและเกิดคลื่นเสียงร่ายวิชาขึ้นได้ยิน จากนั้นพลังลึกลับพลันล้อมรอบพื้นที่รัศมีหนึ่งพันฟุตเพื่อสร้างพันธนาการ!
ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพปิศาจมีคนตัวใหญ่อีกคนหนึ่งด้วย เขาสวมชุดสีเขียวและมีกระบี่ยักษ์แนบไว้ด้านหลัง เขามองดูคนผู้นั้นและพึมพำกับตนเอง “ภาพลักษณ์ของเขาคล้ายกับวิญญาณกระบี่ของข้ายิ่งนัก…”
ฉีเจี้ยนพ่นลมหายใจเย็น เขากระทั่งไม่ได้ขยับออกไปไหนราวกับตั้งมั่นอยู่บนพื้น จากนั้นยื่นมือขวาตรงออกไปและชี้เข้าใส่อากาศเปล่าอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือก่อเป็นรูปกรวยและแทงทะลุเข้าไป
ในจังหวะที่เขาชี้ไปที่ความว่างเปล่านั้น ปราณปิศาจหลายเส้นลอยออกมาจากร่างและรวมเข้ากับดัชนีที่เขาสร้างเป็นรูปกรวย
จังหวะที่ชายร่างใหญ่คนนั้นมาถึง ฝ่ามือขวาของฉีเจี้ยนก็แทงออกไปแล้ว ดัชนีรูปกรวยแทงทะลุผ่านหมอกสวรรค์ที่ชายคนนั้นสร้างขึ้นราวกับมังกรอันโกรธเกรี้ยวและร่อนลงเข้าตรงระหว่างคิ้ว!
ฉีเจี้ยนเร็วเกินไป!
เทียนหลุยร้องคำรามออกมาพร้อมกับเกิดผลกระทบรุนแรงจากการที่ร่างกายพังทลายภายใต้พลังรูปกรวย ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปและถอยหลังกลับทันที
ปัง! ปัง! ปัง! พื้นดินข้างใต้เขาแตกกระจาย จากนั้นเทียนหลุยถอยไปสามก้าวห่างออกไปหลายสิบฟุต ทุกก้าวจะทำให้เลือดเนื้อระเบิดออกจากร่าง หลังก้าวที่สามทั้งร่างกายระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแตกกระจายทั่วสนาม
เส้นด้ายบางๆห้าเส้นออกมาจากเศษเลือดเนื้อและรวมเข้ากับร่างฉีเจี้ยน
“ไม่มีการประลองถึงชีวิตระหว่างแม่ทัพปิศาจ แต่สำหรับเจ้าคนต่างถิ่นที่พึ่งมาที่นี่จะถูกสังหาร!” ฉีเจี้ยนถอนฝ่ามือ เขากระทั่งไม่ได้มองเลือดเนื้อบนพื้น สายตามองออกไปที่โม่ลี่ไฮ่อย่างเยือกเย็น
“โม่ลี่ไฮ่ เจ้ากล้าสู้กับข้าไหม?!”
หลังกล่าวเช่นนั้น เสียงสนทนาดังขึ้นมาจากผู้คนที่กำลังชม ฉากนองเลือดได้ปลุกผู้คนทั้งหมดให้ตื่นจากภวังค์
โม่ลี่ไฮ่มองไปที่ฉีเจี้ยนและเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าแพ้ต่อโม่เฟยดังนั้นข้าจะไม่เข้าร่วมการประลองแม่ทัพปิศาจนี้!”
ดวงตาฉีเจี้ยนเต็มไปด้วยจิตสังหารพร้อมกับจ้องโม่ลี่ไฮ่เป็นเวลานาน ท้ายที่สุดดวงตาเลื่อนจากโม่ลี่ไฮ่มาหาหวังหลินและยิ้มเยาะเย้ย “เจ้ามานี่ มาเล่นกับข้า!”
หวังหลินกระทั่งไม่มองไปที่ฉีเจี้ยนและเอ่ยอย่างสงบ “ข้าไม่สนใจการต่อสู้ที่ข้าไม่สามารถฆ่าได้!”
ฉีเจี้ยนพ่นลมหายใจเย้น ชายเกราะทองมองหวังหลินก่อนจะตะโกนขึ้นมา “แม่ทัพปิศาจฉีเจี้ยน เจ้าชนะการต่อสู้ครั้งนี้! ตามกฏแล้วเจ้าไม่สามารถท้าประลองคนอื่นๆในรอบนี้ได้!”
ฉีเจี้ยนมองหวังหลินและเดินเข้าหาเขา เมื่อผ่านหวังหลินไปพลันกระซิบขึ้น “เมื่อโม่ลี่ไฮ่ไม่กล้าสู้ ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อระบายความโกรธของข้าเมื่อก่อน!”
หวังหลินไม่ได้มองเขาและใบหน้ายังคงสงบนิ่ง
ชายเกราะทองชี้หวังหลินและเอ่ยออกมา “เจ้าออกมา!”
หวังหลินเดินออกไปยืนบนลานประลองด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“หาดไม่มีใครท้าประลองภายในเวลาสิบลมหายใจ ข้าจะเป็นคนเลือกให้เอง!” หลังชายเกราะทองกล่าวจบ เขาหลับตาลง