613. ปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮว
การตอบสนองของถงหยุนเร็วมากจริงๆและเขากระทั่งทำหน้าโศกเศร้ามากตอนที่พูดออกมา เขาไม่ได้พูดเปล่าแต่สามารถกลบเลื่อนคำโกหกทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว
หากเป็นคนทั่วไปคงถูกคนคนนี้หลอกไปไม่มากไม่น้อย
หวังหลินมองถงหยุนอย่างเฉยชาก่อนจะถอนสายตาและเดินไปข้างหน้า ท่าทางถงหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถอยตัวกลับขณะจ้องหวังหลินและคิดไปด้วย ‘เกราะที่เขาสวมอยู่น่าหวาดกลัวเกินไป ข้าไม่สามารถมองเห็นระดับบ่มเพาะของเขาได้เลย ข้าไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นเซียนหรือคนที่นี่…อย่างไรก้๖ามไม่ว่าจะมีระดับบ่มเพาะแข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อเข้าใกล้ระยะร้อยฟุตจากซากศพนั่นเขาจะตายโดยไร้ข้อสงสัย! ข้าจะไม่ทำตัวเอะอะและปล่อยให้เขาถูกแสงสีทองจากสมบัติฆ่าตายไปเสียเถอะ จากนั้นข้าจะใช้วิธีของตัวเองเพื่อเอาสมบัตินั้นมา ในตอนนั้นแม้แต่เกราะก็จะกลายเป็นของข้า!’
ถงหยุนเยาะเย้ยในใจ แต่ใบหน้าด้านนอกเผยท่าทางโกรธ อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าหยุดหวังหลินอยู่แล้ว
หวังหลินก้าวไปข้างหน้าและเดินเข้าสู่ระยะร้อยฟุตของซื่อจู ในจังหวะที่เดินเข้าไปในระยะนั้นพลันเกิดแสงกระพริบสีทองจากร่างซื่อจู แสงสีทองนี้แทงเข้าหาหวังหลินราวกับเข็มทองหมื่นเล่ม
ถงหยุนเผยสีหน้าแห่งความสุขปนความหยิ่งผยอง ทว่าหลังจากนั้นเขาสูดหายใจลึกและดวงตาหยิ่งเลือนหายไปทันที
ดวงตาหวังหลินซ่อนอยู่ด้านหลังหมวกเกราะได้ปลดปล่อยสายตาเยือกเย็น เขาสะบัดแขนและกวาดผ่านแสงสีทอง หวังหลินพบเจอกับปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวมาครั้งนึงแล้ว ตอนนี้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างสบายและมาถึงด้านข้างซื่อจู
การก้าวเท้าอย่าสบายๆของเขากลับน่าหวาดกลัวในสายตาถงหยุนที่อยู่ห่างออกไปร้อยฟุต เขาตระหนักได้ว่าเรื่องกำลังแย่ลงจึงหันตัวเพื่อหนีกลับ ทว่าในชั่วขณะนั้นลมหายใจเย็นเข้าสู่โสตประสาท
ร่างถงหยุนสั่นสะท้านและหยุดชะงัก เขารู้สึกได้ว่าหากหนีไปคงตายโดยไม่รู้ตัว เงาแห่งความตายตกลงมาในใจเขาเสียแล้ว
“เจ้าไม่ต้องการศพของศิษย์น้องเจ้าหรอกหรือ?” หวังหลินนั่งย่อโดยไม่ได้หันกลับมา
ใบหน้าถงหยุนบิดเบี้ยวและรีบกล่าว “หากผู้อาวุโสชอบมันก็โปรดเอาไปเถอะ ผู้น้อยจะไม่กล่าวด่าเลยสักคำ ศิษย์น้องของผู้น้อยมีช่วงชีวิตยากลำบาก หากหลังเขาตายได้เป็นประโยชน์ให้คนอื่นเช่นผู้อาวุโส มันก็เป็นพรของเขาแล้ว ผู้น้อยเชื่อว่าแม้ศิษย์น้องยังมีชีวิตอยู่ หากเขารู้ว่าผู้อาวุโสสนใจคงฆ่าตัวตายโดยไม่ต้องสงสัย ศิษย์น้องของผู้น้อยเป็นคนมีจิตใจเมตตาน่ะ”
ตอนนี้เขาหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงและพล่ามคำโกหกยาวเป็นหางว่าว
หวังหลินมองร่างศพของซื่อจู จากนั้นสายตาจับจ้องไปที่หน้าผาก แสงสีทองกำลังออกมาจากระหว่างคิ้วของเขา
หวังหลินเพ่งสมาธิตัวเองและตัดสินใจตัดศีรษะของซื่อจูอย่างแน่วแน่ เขาคว้าศีรษะและพ่นเพลิงดั้งเดิมออกมาจากปาก
เพลิงไร้สีห่อหุ้มรอบศีรษะซื่อจู มันเริ่มเผาไหม้และหล่อหลอมศีรษะนั้น
อีกด้านหนึ่ง ถงหยุนเห็นเรื่องราวทั้งหมด จิตใจสั่นเทาอีกครั้งพลันขึ้นขึ้นอย่างเจ็บปวด “มันจบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว…เขาต้องเป็นเซียนที่มีเพลิงดั้งเดิม เขาต้องเป็นเซียนที่โหดเหี้ยมฝึกฝนเส้นทางปิศาจและไม่ปล่อยให้คนตายรอดไปได้! ข้าโชคร้ายนักที่เอาทั้งหมดมาลงที่นี่ ข้าหวังว่าเขาจะไม่ฆ่าข้าเพื่อปิดเรื่องเงียบ…”
หวังหลินมองศีรษะของซื่อจูที่กำลังปรับแต่ง ดวงตาส่องสว่างและพ่นเพลิงดั้งเดิมออกมาอีกครั้ง ศีรษะของซื่อจูหายไปในไม่ช้าเหลือเพียงแค่แสงสีทอง
หวังหลินสูดหายใจลึกคว้าแสงสีทอง จากนั้นนำมาไว้ใกล้ปากและกลืนลงทันที
จากนั้นเท้าซ้ายดึงร่างซื่อจูขึ้นมาและเตะเข้าหาถงหยุน “เอาร่างศิษย์น้องของเจ้ากลับไป! นำเขาไปฝังให้เหมาะสม”
สีหน้าถงหยุนซีดเผือด ความหวาดกลัวที่พึ่งหลบหนีจากหายนะได้รีบรับร่างศพนั้นและกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว ขอบคุณผู้อาวุโส ขอบคุณผู้อาวุโส!” เขารีบจากไปพร้อมกับร่างศพในอ้อมแขน
จนเมื่อออกห่างมาได้หลายสิบลี้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและพบว่าตัวเองชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ เขามองร่างไร้หัวในมือพลันรู้สึกเกลียดอย่างยิ่งและโยนมันไปด้านข้าง โบกแขนและก้อนเมฆดำขนาดใหญ่ปรากฏ ก้อนเมฆปกคลุมร่างศพนั้นและพริบตาเดียวศพทั้งร่างรวมถึงกระดูกข้างในได้โดนกลืนกินไปเรียบร้อย
“ทั้งหมดเป็นความผิดของศพนี่ ข้าเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น! แม้ระดับบ่มเพาะของผู้อาวุโสคนนี้จะสูงส่ง แต่ความคิดเขาช้าไปเล็กน้อย เขาคิดว่านี่คือศิษย์น้องของข้าจริงๆ!” ถงหยุนพ่นน้ำลายลงพื้นและเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นพลันเกิดความหวาดกลัว เขามองกลับหลังก่อนจะออกไปจากบริเวณนี้ทันที
เขาคงไม่รู้ชะตาชีวิตที่เกิดขึ้นหากหวังหลินคิดว่าเขาคือศิษย์พี่ของซื่อจูจริงๆ
หลังจากกลืนกินปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวเข้าไป ร่างหวังหลินค่อยๆจมลงไปในพื้นดิน เขานั่งสมาธิลงข้างใต้และเริ่มหล่อหลอมอย่างเงียบๆ
หากไร้ซึ่งช่วงเวลาการปรับแต่งมัน คงเป็นไปได้ยากมากที่จะนำปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวมาเป็นของเขาเอง
ณ ใต้ผืนดิน หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและพบว่ามีปราณกระบี่อยู่อีกหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล ดวงตาพลันส่องสว่างจากนั้นยื่นมือออกไปใต้ดิน ปราณกระบี่ที่อยู่ห่างออกไปนั้นเริ่มสั่นระริกทันที มันเปลี่ยนเป็นหนูยักษ์และคำรามใส่หวังหลิน
หวังหลินเปล่งเสียงและปลดปล่อยระดับขั้นเทวะ เจ้าหนูตัวใหญ่ร้องโอดครวญก่อนจะถูกหวังหลินจับได้
สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าหวังหลินคือกระบี่โบราณและเรียบง่าย มีหนูสีดำอยู่บนตัวประบี่จ้องหวังหลินด้วยดวงตาดำขลับ
“กระบี่ของซื่อจู!” หวังหลินเผยรอยยิ้ม ตอนที่เขาสังหารซื่อจูไป วิญญาณดั้งเดิมของเขาตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งดังนั้นจึงโยนกระบี่ของซื่อจูทิ้งไป ต่อมาเมื่อคิดขึ้นได้หวังหลินรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ทว่าในวันนี้ไม่ใช่แค่หวังหลินได้ปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮว เขายังพบกระบี่ของซื่อจูอีกด้วย
“เซียนกระบี่หลิงเทียนโฮว วันหนึ่งที่ข้าจัดการสิบสองกระบี่ทั้งหมด เจ้าจะมีสีหน้าแบบไหนกัน…” หวังหลินคว้ากระบี่ ประทับสัมผัสวิญญาณของตัวเองเข้าไปและโยนใส่กระเป๋า
กระบี่สมบัติของทั้งสิบสองกระบี่ไม่ใช่ของธรรมดาและระดับบ่มเพาะของทั้งสิบสองกระบี่ไม่ได้สูงส่งเพียงพอให้ใช้พลังสมบัติกกระบี่ได้เต็มที่ ทว่าเมื่อมันอยู่ในมือหวังหลินถือได้ว่าเป็นคนละเรื่อง
หวังหลินใช้เวลาหนึ่งเดือนอยู่ใต้พื้นดินตรงที่ซื่อจูตายเพื่อปรับแต่งปราณกระบี่ เขาปรับแต่งจนให้มันเป็นของตัวเองในที่สุด นี่แตกต่างจากปราณกระบี่ของโม่หยางที่แค่เก็บไว้เฉยๆและโยนออกมาข้างนอกเพื่อใช้มันได้ครั้งเดียว
หลังปรับแต่งปราณกระบี่ของซื่อจูสำเร็จ หวังหลินสามารถส่งมันออกไปและนำมันกลับมาได้ตามที่ต้องการ เขากระทั่งสามารถแบ่งปราณกระบี่ออกเป็นพลังกระบี่ที่แตกต่างกันสิบแบบโดยแบ่งพลังให้เท่ากันได้ด้วย แน่นอนว่าหวังหลินสามารถรวมพวกมันอีกครั้งเพื่อให้มีพลังปราณกระบี่เหนือจินตนาการจากหลิงเทียนโฮว!
ซึ่งทำให้ปราณกระบี่นี้พลิกแพลงได้หลากหลายแบบ เทียบกับก่อนหน้านี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้กระทั่งเหล่าสิบสองกระบี่ที่สามารถใช้มันได้ครั้งเดียวแล้ว พวกเขาไม่มีความสามารถในการส่งมันออกไปแล้วรับมันกลับมาตามที่ต้องการได้
หวังหลินสามารถทำเช่นนี้ได้ก็เพราะระดับบ่มเพาะบรรลุขั้นเทวะระดับต้น อีกทั้งมันสร้างเพื่อให้ศิษยืใช้ได้ง่ายๆ ตอนที่หลิงเทียนโฮวยกปราณกระบี่ให้พวกเขานั้น เขากวาดสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกไปด้วยซึ่งทำให้พวกมันเป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของ
การที่ทำแบบนี้เพื่อที่หลิงเทียนโฮวปกป้องเหล่าศิษย์ของตัวเองให้เหนือกว่าเทียนหยุน! เขายกปราณกระบี่ทรงพลังให้กับศิษย์แต่ขณะที่เทียนหยุนเพียงแค่ให้ของที่มีคุณสมบัติเพียงพอให้ปกป้องชีวิตเท่านั้น
หลิงเทียนโฮวยังจัดการให้เจ้าโลภเข้าไปในดินแดนวิญญาณปิศาจเพื่อปกป้องเหล่าศิษย์อีกทอดนึง แต่เทียนหยุนไม่ได้ทำเรื่องนี้
เต๋าของหลิงเทียนโฮวคือเต๋าแห่งทรราชย์ นั่นทำให้เขาปกป้องคนของตัวเองอย่างเต็มที่ คนภายนอกไม่ยอมให้ยุ่งเกี่ยวได้!
ไม่มีคนภายนอกคนไหนมาระรานศิษย์ของสำนักกระบี่ตัาหลัว เป็นเช่นนั้นก็เพราะแม้สำนักกระบี่ต้าหลัวจะมีชื่อเสียงเรื่องเลวๆและศิษย์ทั้งหมดยังมองเซียนกระบี่ด้วยความเคารพอย่างสูง แต่เพราะไม่ได้มีเซียนที่แข็งแกร่งในสำนักจึงทำให้ยากมากที่ศิษย์จะมีความแข็งแกร่งที่แท้จริงเมื่ออยู่ภายใต้การปกป้องนี้!
ตรงกันข้ามกับสำนักชะตาสวรรค์ เต๋าของเทียนหยุนเป็นเต๋าที่คล้อยตามความต้องการของสวรรค์ ตามแบบฉบับของเซียนที่ตามความต้องการสวรรค์นั้น ชีวิตและความตายของศิษย์ถูกสวรรค์ลิขิตและความแข็งแกร่งขึ้นอยู่กับโชคชะตา
แม้ว่าสำนักจะเป็นแบบนี้แต่กลับทำให้สำนักชะตาสวรรค์มีผู้เก่งกาจหลายคน เพียงแค่ศิษย์สายตรงทั้งหมดก็มีพลังมากมายอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในสำนักจะเจอประสบการณ์เฉียดตายมากมายแค่ไหน
มีเหตุการณ์ใหญ่แห่งหนึ่งเกิดขึ้นในดินแดนวิญญาณปิศาจระหว่างช่วงที่หวังหลินใช้เวลาอยู่ใต้ดินหนึ่งเดือน เรื่องนี้ทำให้เซียนต่างแดนที่อยู่โดดเดียวต้องทิ้งฐานของตัวเองและมุ่งหน้ามาที่แคว้นปิศาจอัคคีและแคว้นปิศาจฟ้า
แคว้นปิศาจฟ้าระดมทหารปิศาจสามสิบล้านตนและประกาศสงครามกับแคว้นปิศาจอัคคี!
แม้ว่าการต่อสู้ในดินแดนวิญญาณปิศาจจะเกิดได้ทั่วไปและมีการต่อสู้เล็กๆอยู่จำนวนมาก ทว่าสงครามระหว่างสองแคว้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
กระทั่งการปรากฏตัวของเหล่าเซียนทุกห้าพันปีจะทำให้เกิดสงครามย่อมๆระหว่างเก้าแคว้น ยากยิ่งที่จะทำให้ทั้งสองแคว้นสู้เป็นตายเช่นนี้!
นี่เป็นเพราะเมื่อสมดุลระหว่างแคว้นทั้งเก้าถูกทำลาย จะเกิดปฏิกิริยาแรงกระเพื่อมมิอาจจินตนาการได้
สำหรับเหล่าเซียน นี่คือโอกาสดีที่พระเจ้าประทานมาให้ มันคือหนทางในการได้รับผลประโยชน์ที่รวดเร็วที่สุด!
หัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดและรองหัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดของแคว้นปิศาจฟ้าได้แต่งตั้งแล้วทั้งหมด ท่ามกลางคนเหล่านี้มีรองผู้บัญชาการสองคนถูกแต่งตั้งขึ้นใหม่คือโม่ลี่ไฮ่และโม่เฟย
นอกจากเรื่องราวทั้งหมดนี้ จักรพรรดิปิศาจแห่งแคว้นปิศาจฟ้ายังเป็นคนนำกองทัพด้วยตัวเอง!
ทั้งกองทัพถูกแบ่งออกเป็นสามกอง ระหว่างทางพวกเขามุ่งสังหารไปตามแคว้นปิศาจอัคคีด้วยทิศทางที่แตกต่างกันสามทิศและจากนั้นไปเจอที่นอกเมืองหลวงแคว้นปิศาจอัคคี!
วันที่หวังหลินออกมาจากผืนดินเป็นวันที่กองกำลังของแคว้นปิศาจฟ้าเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นปิศาจอัคคี!
ขณะที่เขาพึ่งปรากฏตัวจากพื้นดิน หวังหลินสัมผัสจิตสังหารหนาแน่นในอากาศได้ จิตสังหารนี้ไม่ได้สร้างขึ้นจากคนเพียงคนเดียวแต่มาจากสิบล้านคน ภายใต้จตสังหารนี้กระทั่งทำให้ท้องฟ้ามืดสลัว
ก้อนเมฆสีขาวในท้องฟ้าถูกแทนที่ด้วยก้อนเมฆสีดำและเริ่มมีเม็ดฝนตกลงมา
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองบนท้องฟ้า ขบคิดและพึมพำ “ปิศาจโบราณเด็ดขาดอย่างยิ่ง บางทีการยื้อแย่งมานานนี้ได้ถึงขีดจำกัดแล้ว หากเป็นเช่นนั้นข้าจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น…”
“แต่ว่าการรบครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้ามากนัก สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือสังหารศิษย์ที่เหลืออีกสิบคนของเซียนกระบี่และนำปราณกระบี่มา จากนั้นข้าจำเป็นต้องหล่อหลอมพลังสังหารนับไม่ถ้วนของข้า แล้วข้าจะมีความสามารถในการหยั่งเท้าบนดินแดนวิญญาณปิศาจแห่งนี้ได้!”
“ข้ายังต้องสำรวจถ้ำนั้นต่อไปอีก บางทีมันอาจจะมีสมบัติอีกมาก!” ดวงตาหวังหลินวาววับ พลันก้าวเท้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“เมื่อตอนนั้นมีศิษย์ของเซียนกระบี่อยู่สองคนที่อยู่ข้างโม่เฟย พวกมันคือเป้าหมายของข้า แต่ว่าโม่เฟยคนนั้นเป็นคนแปลกเล็กน้อย…ชายผมดำในคุกก็ดูคล้ายกับเขามาก ข้ากลัวว่าจะมีบางอย่างประหลาดซ่อนไว้เบื้องหลังทั้งหมดนี้…” หวังหลินครุ่นคิดพร้อมกับเหาะเหินไปด้วย
“There were two disciples of the Sword Saint beside that Mo Fei back then. They are my targets. However, that Mo Fei is a bit strange… The black-haired man in the prison looked very similar to him. I’m afraid there is something strange behind all of this…” Wang Lin pondered as he flew.