Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 633

Cover Renegade Immortal 1

633. บ้านนอก

สี่คนนั้น มีสตรีผู้หนึ่งมัดมวยผมขึ้นมาสองข้างตกลงใกล้หูท่าทางอรชร ระหว่างคิ้วมีผลึกระยิบระยับ คิ้วรูปทรงครึ่งพระจันทร์รับกับดวงตาไข่มุกของนาง ใบหน้างดงามเนียนละเอียดราวกับหยก รูปทรงใบหน้าคล้ายเมล็ดทานตะวัน แม้ว่าความงามของนางจะไม่ได้ไร้ที่ติแต่ก็เพียงพอให้พระจันทร์มัวหมอง รูปร่างของนางราวกับอายุยี่สิบปีแต่ความเฉลียวฉลาดในสายตาได้แสดงถึงวุฒิภาวะที่เหนือกว่าอายุตามรูปลักษณ์

นางสวมชุดราตรีสีขาว และแม้ว่ามันจะไม่ได้พอดีร่างแต่ยังเผยส่วนเว้าส่วนโค้งที่น่าหลงไหลอย่างยิ่ง

เหล่าเซียนต่างหยุดภาพลักษณ์หน้าตาภายนอกของตัวเองได้ดีเยี่ยม ยิ่งมีระดับบ่มเพาะสูงส่งก็ยิ่งมีอายุขัยยาวนานขึ้น เพียงแค่ตัดสินจากรูปลักษณ์ก็ยากยิ่งที่จะมองทะลุอายุจริงๆได้

เมื่อเทียบสตรีคนนี้กับสตรีอีกคนกลับดูธรรมดาไปเลย เรือนผมยาวจัดแจงปกคลุมเหนือไหล่ทำให้นางนางดูอ่อนแอมาก ร่างผอมเพรียวของนางทำให้ดูเหมือนนางสามารถถูกสายลมเบาๆพัดออกไปได้ นางสวมชุดสีชมพูตัดกับใบหน้าที่ดูซีดเซียว เทียบกับสตรีที่ส่องสว่างอีกคนแล้วนางดูตะลึงงันน้อยกว่าแต่อ่อนโยนมากกว่า

มีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีแดงคนหนึ่งอยู่ด้านข้างสตรีสองคน เอ่ยขึ้นเบาๆ “ศิษย์น้องสาวทั้งสองของข้า ที่นี่คือภูเขาทะเลเมฆของแคว้นปิศาจวารี ตอนนั้นข้าพบที่นี่โดยบังเอิญและอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่สักพัก แม้ว่าศิษย์พี่อาวุโสของเจ้าไม่ได้หายไปที่แดนสวรรค์ ข้าเชื่อว่าทะเลเมฆที่นี่เหนือกว่าแดนสวรรค์ไปหนึ่งขั้น พี่มู่หรงท่านคิดเช่นไร?”

ชายหนุ่มคนนี้ดูค่อนข้างหน้าตาดี ทั้งยังมีสัมผัสแห่งความภูมิใจราวกับเป็นลูกที่สวรรค์ชื่นชอบ

ชายอีกคนสวมชุดสีดำเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “พอใช้ได้!” เขาหลับตาด้วยใบหน้าน่ากลัวและหยุดพูด

ชาวหนุ่มชุดแดงยิ้มแย้ม เขาคุ้นเคยกับท่าทางการพูดคุยของอีกฝ่ายนานแล้ว

“ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่ตู้ไม่ได้อยู่ในทะเลเมฆ” สตรีตะลึงงันคนนั้นกัดริมฝีปากบางและเผยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มชุดแดงยิ้ม “ข้าไม่ได้โกหกเจ้า ศิษย์น้องจ้าว ตอนที่ข้าอยู่ทะเลเมฆ ข้าพบรอยแยกบนพื้น ข้ากลัวว่ามันคือทางเข้าไปสู่เหวนรกอันเลืองชื่อ”

สตรีชื่อจ้าวมีสายตาเต็มไปด้วยความต้องการ ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยขึ้นต่อไป ชายหนุ่มชุดดำพลันลืมตาออกมาและมองออกไปไกล

ดวงตาส่องสว่างขึ้นและเอ่ยออกมา “ทรงพลังยิ่ง!”

ลำแสงเส้นหนึ่งปรากฏเหนือเส้นขอบฟ้าและเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีขาว รูปร่างของเขาธรรมดามาก ไม่มีสิ่งใดพิเศษ เขาลอยตัวกลางอากาศทั้งยังไม่ได้มองไปที่คนทั้งสี่เบื้องหลังแต่กลับมองท้องฟ้าอย่างเยือกเย็นและจากนั้นก้าวเท้าออกไป

“นั่นเขา!” ชายชุดแดงตกตะลึงเมื่อเห็นคนผู้นี้และสายตาแฝงอาการหวาดกลัว เขารับรู้ได้ว่าระดับบ่มเพาะของชายคนนี้บรรลุขั้นเทวะไปแล้ว! ความคิดหนึ่งแล่นผ่านก่อนจะเอ่ยยิ้มออกมา “ศิษย์น้องหวัง โปรดรอก่อน!”

ชายหนุ่มชุดขาวคือหวังหลิน เขาหยุดตัวและหันกลับมามองคนทั้งสี่ เขาไม่ได้มองสตรีสองคนหรือชายชุดแดงเป็นสายตาแรกแต่เป็นชายชุดดำแทน

‘การที่เขาจะสามารถพบข้าในระยะห้าร้อยลี้ได้หมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาไม่ได้อ่อนด้อย ตัดสินจากพลังปราณสวรรค์ในร่างกายแล้วเขาต้องบรรลุขั้นเทวะระดับต้นแน่!’ หวังหลินสอดสายตาเยือกเย็นมองไปทีละคนก่อนจะตกลงบนชายชุดแดง เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับชายคนนี้ซึ่งเป็นศิษย์ของกองกำลังสีแดงแห่งสำนักชะตาสวรรค์

ท่ามกลางทั้งสี่คน นอกจากชายชุดดำแล้วอีกสามคนต่างเป็นขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุดกันทั้งหมด ทว่าชายจากกองกำลังสีแดงเห็นได้ชัดว่าก้าวสู่ขั้นเทวะมาได้ครึ่งก้าวแล้วและสามารถบรรลุได้ตอนไหนก็ได้ เขาอาจจะหวาดกลัวบททดสอบแห่งชีวิตและความตายตอนที่พยายามบรรลุขั้นเทวะจึงไม่เคยเข้าวไปที่ขั้นนั้นเลย!

ชายชุดแดงกล่าว “ศิษย์น้อง ข้าชื่อตู้เจี้ยน” หลังครุ่นคิดเล็กน้อยเขาตระหนักได้ว่าหวังหลินอาจจะไม่รู้จักชื่อเขา

หวังหลินคำนับฝ่ามือ “ขอคารวะศิษย์พี่ตู้”

ตู้เจี้ยนยิ้มกลางชี้ไปที่ชายชุดดำ “น้องหวัง คนผู้นี้คือมู่หรงโจวแห่งสำนักหมึก ส่วนอีกสองคนนี้เป็นสหายเซียนจากสำนักเมฆาล่อง”

มู่หรงโจวผู้ซึ่งสวมชุดสีดำกลับมองหวังหลินอย่างละเอียดก่อนคำนับฝ่ามือ “สหายเซียนหวัง ข้าเป็นศิษย์รุ่นที่สี่แห่งสำนักหมึก มู่หรงโจว!”

หลังมู่หรงโจวกล่าวจบ ทั้งตู้เจี้ยนและอีกสองสตรีต่างตกใจ สามคนนี้ไม่เคยเห็นหมู่หรงโจวพูดอะไรมากกว่าห้าคำในประโยคเดียวดังนั้นตัวตนอันโดดเดี่ยวของเขาจึงสลักลึกในจิตใจแต่ละคน

แม้แต่ตอนที่พวกเขาพบเจอสหายเซียนขั้นเทวะระดับกลาง มู่หรงโจวคนนี้ก็ไม่เคยกล่าวคำพูดอะไรมากนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของเขามุ่งเน้นไปที่การแนะนำตนเอง ทั้งสามคนฝึกเซียนมานาน คำพูดง่ายๆนี้จึงเผยความเคารพต่อกัน

สตรีงดงามนามว่าโจวมองหวังหลินด้วยดวงตาคู่สวยและยิ้มขึ้น “ศิษย์พี่หวัง น้องสาวชื่อว่าจ้าวยี่ซวน และนี่คือศิษย์น้องของข้า ฉีเฟย”

“ฉีเฟย…” ชื่อเรียบง่ายนี้ทำให้หวังหลินนึกถึงความทรงจำบางอย่าง เขาอดไม่ได้ที่จะมองสตรีท่าทางอ่อนแอคนนั้น นางโค้งคำนับให้กับหวังหลินและกล่าวเสียงเบา “ฉีเฟยคำนับศิษย์พี่หวัง”

ตู้เจี้ยนชำเลืองหวังหลินด้วยท่าทางล้ำลึกและยิ้มขึ้น

“ศิษย์น้องหวังหลินรู้จักศิษย์น้องฉีด้วยหรือ?”

หวังหลินส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้จักนาง เพียงแค่ศิษย์น้องฉีมีชื่อเดียวกันกับสหายร่วมสำนักตอนข้ายังเยาว์”

ตู้เจี้ยนยิ้มบาง เขาหลบเลี่ยงหัวข้อนี้และกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องหวังมาที่นี่เพราะเหวนรกใช่ไหม?”

เขาไม่ได้พยายามทำตัวเสแสร้งหรือถามอ้อมค้อม เขาเป็นตนตรงๆ

หวังหลินพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ “แน่นอน!”

ตู้เจี้ยนขมวดสายตาและพลางกล่าว “ศิษย์น้องหวัง เหวนรกเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง แม้เจ้าจะเป็นขั้นเทวะมันก็ยังยากลำบากมาก พวกเราสี่คนกำลังจะไปเหวนรกเช่นกัน เราไปด้วยกันไหม? อย่างน้อยเราก็สามารถชวนอีกฝ่ายออกมาได้”

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย เขารู้เรื่องความอันตรายของเหวนรก ก่อนที่จะมาที่นี่หวังหลินใช้ผลึกที่เป้ยหลัวยกให้เขาเพื่อตรวจสอบข้างในเหวนรก มีสถานที่น้อยมากที่เขาสามารถไปได้ด้วยระดับบ่มเพาะปัจจุบัน

หากมู่หรงโจวไม่ได้อยู่ในสี่คนนี้ หวังหลินคงปฏิเสธทันที ว่าเมื่อมีมู่หรงโจวอยู่ด้วยสถานการณ์ถือว่าต่างกัน แม้เขาจะเป็นขั้นเทวะระดับต้นเท่านั้น แต่การตรวจจับหวังหลินที่อยู่ห่างออกไปห้าร้อยลี้ได้นั่นหมายความว่าเขาต้องเป็นคนมีความสามารถ

หวังหลินยิ้มบางและเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีที่สุด!”

ใบหน้าตู้เจี้ยนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เขาพ่นลมหายใจเย็นในใจ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอิจฉาและสงสัยหวังหลินในการบรรลุขั้นเทวะได้ด้วยช่วงเวลาอันสั้น

เขาจำได้ชัดเจนตอนที่เห็นหวังหลินเมื่อก่อน หวังหลินเป็นเพียงเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางเท่านั้น ทว่าในช่วงเวลาไม่กี่ร้อยปีหวังหลินก็สามารถบรรลุขั้นเทวะระดับต้นได้ รวมถึงหวังหลินไม่ได้ดูเหมือนคนที่พึ่งบรรลุขั้นเทวะแต่ดูเหมือนคนที่ก้าวมาขั้นนี้สักพักแล้ว!

‘ต้องมีเหตุผลบางอย่างว่าทำไมเจ้าคนบ้านนอกจากดาวเซียนไร้ค่าถึงสามารถเพิ่มระดับบ่มเพาะมาได้เร็วเพียงนี้ เขายังสามารถผ่านบททดสอบแห่งชีวิตและความตายในการบรรลุขั้นเทวะอีกด้วย ซึ่งข้ากลัวว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายดั่งที่เห็น! หากเขาสามารถพัฒนาได้เช่นนี้ ข้ากลัวว่าตอนที่ออกไปในอีกสี่ร้อยปี ตำแหน่งของเขาจะยิ่งสูงส่งกว่าข้าอีกนั่นหมายความว่ากองกำลังสีม่วงจะพุ่งขึ้นได้สูงมาก’

ในใจคาดร้ายแต่ไม่ได้เผยอาการบนใบหน้า เขายิ้มอ่อนราวกับทำตัวเป็นศิษย์พี่ผู้ใจดี

อย่าไรก็ตามเขากำลังเผชิญหน้ากับหวังหลินผู้ซึ่งผ่านเหตุการณ์อันตรายมากมายบนดาวซูซาคุที่แต่ละคนไม่เคยเผชิญมาก่อนทั้งชีวิต ต้องขอบคุณที่หวังหลินกลายเป็นคนฉลาดมีไหวพริบอย่างยิ่ง

ภาพคนบ้านนอกตรงข้ามกับอยู่ในใจตู้เจี้ยนโดยสิ้นเชิง

ประสบการชีวิตของตู้เจี้ยนเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับหวังหลิน!

กลุ่มห้าคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกและพุ่งตรงเข้าหาภูเขาทะเลเมฆ

ก้อนเมฆเต็มไปทั่วบริเวณส่งผลให้เกิดภาพภูเขาและทะเลมากมาย ระยะสายตาดูน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งและในเวลาเดียวกันก็มีสัมผัสแห่งความงดงามเอาไว้ด้วย

ดวงตาเรียวสวยของจ้าวยี่ซวนได้มองหวังหลินเบื้องหน้าเป็นพักๆ นางไม่สามารถมองทะลุชายตรงหน้าได้ ในดินแดนวิญญาณปิศาจนางสามารถมองผ่านจิตใจได้แม้แต่แม่ทัพปิศาจ ในร้อยปีที่ผ่านมามีเพียงแค่สองคนครึ่งที่นางไม่อาจมองทะลุปรุโปร่งได้

ร่างหวังหลินเบื้องหน้านางมีม่านหมอกบดบังและเห็นไม่ชัด ดวงตาของจ้าวยี่ซวนดูเหมือนจะถูกก้อนเมฆนี้บดบังไปด้วยและนางไม่อาจเห็นได้ชัดเจน

คนแรกที่นางมองไม่ออกคือเฉินหลงแห่งสำนักกระบี่ต้าหลัว มีเมฆหมอกอยู่รอบกายเขา ตอนที่นางพยายามจะมองใกล้ๆ หมอกนั้นจะเปลี่ยนเป็นกระบี่ที่ป้องกันการรุกล้ำของนาง

ส่วนอีกคนนั้นนางเพียงแค่มองทะลุได้บ้างคือมู่หรงโจว! สายตาของจ้าวยี่ซวนกวาดผ่านไปยังมู่หรงโจว

มู่หรงโจวคนนี้บางครั้งก็โปร่งใสและชัดเจนและบางครั้งก็เหมือนน้ำอันดำมืด การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดนี้ยากมากที่นางจะมองเห็นได้เพียงแค่คิด

คนสุดท้ายที่นางมองไม่ออกคือหวังหลินผู้ปรากฏตัวขึ้นมา ในสายตาของจ้าวยี่ซวน หวังหลินเป็นคนลึกลับยิ่งขึ้น เขาไม่ได้มีเมฆหมอกเหมือนกับเฉินหลงหรือเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆเหมือนมู่หรงโจว แต่เขาใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อปิดกั้นจิตใจแทน!

เขาไม่จำเป็นต้องมีหมอกหรือภาพมายา เขาเพียงแค่ต้องปิดกั้นจิตใจของตนเอง!

สายตาของนางเผยแสงอันลี้ลับและเพียงแค่ชั่วขณะนั้น หวังหลินกลับมาทันที เขาดูเหมือนจะมองมาที่นางอย่างลวกๆก่อนจะหันกลับไปตามเดิม

ทว่าสายตาดุจกระบี่คมกริบนั้นได้แทงตรงเข้าสู่จิตใจของจ้าวยี่ซวน

“มันเป็นคำเตือน…หวังหลินคนนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง แม้แต่เฉินหลงแห่งสำนักกระบี่ต้าหลัวก็เพียงแค่สังเกตได้หลังจากข้าใช้วิชา ส่วนมู่หรงโจวเพียงแค่ตามร่องรอยของวิชาข้า…แต่หวังหลินคนนี้รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติทันทีตอนที่ข้ามีเจตนาจะเคลื่อนไหว…” สายตาของจ้าวยี่ซวนเผยความสนใจแต่ในไม่ช้านางก็ซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ

ขณะที่หวังหลินเหาะเหินไป ดวงตาส่องประกายและเผยรอยยิ้มเยือกเย็น

“คนทั้งสี่นี้น่าสนใจยิ่ง แต่ละคนซ่อนเล่ห์เหลี่ยมของตัวเองเอาไว้และวิชาแต่ละอย่างไม่ได้อ่อนด้อย อย่างไรก็ตามในสี่คนนี้มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ควรประเมินต่ำไปนั่นก็คือฉีเฟย นางส่งความรู้สึกประหลาดออกมา…”

ทั้งห้าคนผ่านก้อนเมฆไปอย่างรวดเร็ว ในไม่นานนักหุบเหวลึกปรากฏอยู่เบื้องหน้า

หุบเหวนี้กว้างอย่างยิ่งมากกว่าร้อยฟุต ส่วนความยาวมีมากกว่าหมื่นฟุตยื่นออกไปสุดสายตา หุบเหวนี้ราวกับปากที่ซ่อนตัวอยู่บนพื้นดินแต่ดูเหมือนเกิดขึ้นจากวิชาหนึ่งเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!