Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 643

Cover Renegade Immortal 1

643. สติปัญญาของหวังหลิน

ข้างในหมอกม่วงนั้น ดวงตาของกรีดเปิดขึ้นบางๆและปลดปล่อยแสงเยือกเย็น

“แม้อสูรปิศาจประหลาดพวกนี้จะทรงพลังจริงๆ ตราบใดที่เจ็ดเข็มวิเศษของข้ากำลังควบคุมมันอยู่ มันจะไม่สามารถหนีรอดไปจากข้าได้! การควบคุมอสูรราชาตัวนี้ก็หมายถึงการควบคุมทั้งฝูง! อสูรกลุ่มนี้ประหลาดเกินไป หากข้าใช้มันให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แม้ตอนที่เจ้าเฒ่าหลิงเทียนโฮวมาถึง ข้าก็จะมีวิธีต่อกรกับมัน!” สายตาของกรีดแฝงความภูมิใจ

หลังเข้ามาในเหวนรก เขาเริ่มจัดการแผนตนเอง หนึ่งในนั้นคือจำเป็นต้องผสานกับค่ายกลแห่งหนึ่ง ทว่าเขากลับเผชิญกับอสูรยุงเสียได้ ครั้งแรกเขาตกตะลึงแต่จากนั้นเขาก็ปิติยินดี

กรีดไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร เขามักจะท่องไปตามดวงดาวโดยไม่มีจุดหมายมาเสมอ มุ่งหน้าไปหาที่ที่มีสมบัติซึ่งมักจะกล่าวว่า “ที่ไหนมีสมบัติ กรีดก็จะไปที่นั่น”

ในช่วงชีวิตเขาไปมาแล้วหลายที่มาก ดังนั้นเขาจึงเคยเห็นพวกอสูรยุงเช่นนี้มาก่อน!

ตอนที่เขาเห็นมันในครั้งแรก มันอยู่ในดาวเคราะห์รกร้างมาก กรีดกำลังหลบหนีจากการถูกคนไล่ล่าและกำลังออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ในไม่นานที่เขาปรากฏตัว เขาได้เห็นบางอย่างที่จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต!

มันเป็นอวกาศอันกว้างใหญ่ที่มีควันสีเทาพร้อมกับดาวเคราะห์เพียงหนึ่งดวง ดาวเคราะห์เป็นสีม่วง!

หล่าอสูรยุงรวมตัวกันอย่างหนาแน่นรอบดาวดวงนั้น แรงกดดันที่พวกมันปลดปล่อยออกมาทรงพลังยิ่งจนกรีดไม่ลังเลที่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไป

เขาอยากกลับไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไล่ตามเขามากกว่ามาเผชิญหน้ากับอสูรน่ากลัวเช่นนั้น

หลังจากเห็นอสูรยุงอยู่ในรอยร้าวของเหวนรก ความคิดหนึ่งพลันอุบัติในใจ จากนั้นส่งสมบัติแห่งชีวิตออกมานั่นก็คือเจ็ดเข็มวิเศษ เขาใช้สัมผัสวิญญาณส่งเข็มออกไปในรอยแตกร้าวอย่างระมัดระวัง

อสูรยุงทั้งหมดตกอยู่ในสภาวะจำศีล จิตใจของกรีดยังคงกุมความหวาดกลัวตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เจอพวกมันมา เขาระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะกลัวจะทำให้พวกมันตื่น

ในที่สุดก็พบกับราชาอสูรยุง ตอนที่เข็มแทงเข้าไปในราชาพวกมัน เขาจึงถอยจากรอยร้าวทันที

จากนั้นก็เป็นตอนที่กลุ่มของเฉินหลงถูกพวกอสูรยุงขังเอาไว้! ส่วนหมอกม่วงนั้นคือส่วนสำคัญในแผนของกรีด!

กรีดมองดูศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวรอบๆและเยาะเย้ยในใจ

“ในหมู่พวกศิษย์ของหลิงเทียนโฮว นอกจากเฉินหลงแล้วที่เหลือล้วนเป็นขยะ! ข้ามาที่เหวนรกแห่งนี้ถึงสามครั้งตั้งแต่เข้ามาในดินแดนวิญญาณปิศาจ ในที่สุดข้าก็ตัดสินใจได้แล้วว่าภายในหมอกม่วงนี้มีป้ายสิทธิ์ที่ทำให้แม้แต่สายตาของหลิงเทียนโฮวและเทียนหยุนต้องตาลุกวาว!”

“ทว่าป้ายสิทธิ์ช่างประหลาดเล็กน้อย จากการสังเกตการณ์ขอวข้า มันปรากฏออกมาเป็นบางเวลาเท่านั้นและจำเป็นต้องมีการเสียสละอยู่บ้าง…” สายตาของกรีดกวาดผ่านศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวอย่างสุ่มๆรวมถึงเฉินหลงด้วย

“ถ้าข้าไม่กังวลเรื่องปราณกระบี่ในร่างกายพวกมัน ข้าคงจับพวกมันทั้งห้าคนไปแล้ว จากนั้นใช้พวกมันสังเวยตนเองแทนที่จะถูกขังอยู่ที่นี่อีกร้อยปีเพื่อให้ร้อนใจมากกว่าเดิม!”

หวังหลินยืนอยู่บนกระบี่สวรรค์และเข้าใกล้หมอกม่วงจากอีกด้านหนึ่งช้าๆ หลังนั้นไม่นานหวังหลินก็ตรวจจับหมอกม่วงในระยะไกลได้ หมอกม่วงนี้หนาแน่นจนเกือบจะเป็นรูปร่างแล้ว มันขัดขวางทางเดินจนไม่สามารถไปที่ทางออกในแคว้นปิศาจอัคคีได้เว้นแต่จะทะลุผ่านหมอกนี้ไป

“หวังหลิน สัมผัสวิญญาณกระบี่ของข้ายังไม่สามารถแทงทะลุหมอกม่วงนี้ได้ หมอกนี้ประหลาดอย่างยิ่ง แต่สบายใจได้ สัมผัสวิญญาณแต่ละคนจะไม่สามารถตรวจจับเจ้าได้” โจวยี่ส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกมาจากในกระบี่สวรรค์

หวังหลินพยักหน้าและเริ่มคิด แรงกดดันที่ผลักเขาให้ขึ้นไปเบื้องบนเหวนรกยังคงอยู่มาตลอด หวังหลินต้องกระตุ้นปราณสวรรค์ในร่างกายเพื่อทำให้ร่างมั่นคง

เขาจ้องหมอกม่วงและขมวดคิ้ว ชั่วขณะนั้นเองระลอกคลื่นส่งออกมาจากกระเป๋าของหวังหลิน หวังหลินแบ่งสัมผัสวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบข้างในและเห็นเจ้าอสูรยุงทันที เจ้ายุงกระสับกระส่ายและดวงตามีอาการสีแดง

หลังจากมันรับรู้สัมผัสวิญญาณของหวังหลินได้ มันจึงร้องออกมา

หวังหลินค่อนข้างประหลาดใจและถอนสัมผัสวิญญาณตัวเอง อสูรยุงมักจะเชื่อฟังมาตลอดและหายากนักที่มันจะเกิดอาการเช่นนี้ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตบกระเป๋านำเจ้ายุงให้ลอยออกมา

ขณะที่มันปรากฏตัวพลันส่งเสียงร้องและลอยเข้าไปหาหมอกม่วง ดวงตาหวังหลินขมวดเข้าด้วยกัน เขาก้าวออกจากกระบี่สวรรค์ทันทีและจับเจ้ายุงเอาไว้

โจวยี่ประหลาดใจและรีบติดตามอย่างรวดเร็ว

หมอกม่วงไม่มีผลกระทบต่อเจ้ายุงเลย มันเข้าไปในหมอกและหายตัวไป

หวังหลินตื่นตกใจ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอสูรยุง โชคดีที่การเชื่อมต่อกับอสูรยุงยังคงอยู่ดี หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย ตอนนี้ไม่ใช่เวลากังวลเรื่องอสูรยุง เขาถอนหายใจพร้อมกับเพ่งสมาธิตนเองให้ลอยขึ้นด้านบนอย่างช้าๆ ส่วนกระบี่สวรรค์โจวยี่หมุนเป็นวงกลมรอบหวังหลิน เขากระจายสัมผัสวิญญาณกระบี่ออกมาและสังเกตรอบด้าน

กรีดไม่ได้สังเกตว่ามีเซียนเข้ามาในหมอกม่วง เหตุผลที่เขาสามารถตรวจจับแรงสะท้อนของสัมผัสวิญญาณหวังหลินและหลิงเทียนโฮวได้เป็นเพราะคลื่นกระแทกที่ส่งผ่านผนังเข้ามาเท่านั้น

หวังหลินลอยอยู่ในสายหมอกอย่างช้าๆและระมัดระวังอย่างยิ่ง สัมผัสวิญญาณของเขาแทบไม่ได้รับผลกระทบตอนที่อยู่ในหมอก ที่เขาเห็นด้านหน้าทั้งหมดก็คือหมอกหนาๆเท่านั้น ผนึกชีวิตหนึ่งล้านสายกระพริบบนหน้าผากปกคลุมทั่วร่างกาย หากเกิดเหตุการณ์วิกฤตมันจะทำให้หวังหลินมีโอกาสตอบโต้ได้

โจวยี่หมุนวนรอบหวังหลินเป็นวงกลม ขณะเหาะเหินนั้นเขาก็ส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกมาด้วย

“หวังหลิน มีบริเวณพื้นที่ว่างเปล่าข้างหน้าไปห้าลี้และมีคนอยู่ข้างในหกคน! หนึ่งในนั้นมีระดับบ่มเพาะแข็งแกร่งและเสื้อผ้าอีกห้าคนสวมชุดคล้ายกัน!”

“หกคน!” แววตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น

“ข้าจะให้เจ้าดู!” สัมผัสวิญญาณของโจวยี่แทรกเข้ามาในร่างหวังหลินและลากสัมผัสวิญญาณหวัวหลินเข้าไปในสายหมอก พวกเขาแทงทะลุผ่านหมอกม่วงจำนวนมากและเข้าสู่พื้นที่ที่ห่างออกไปห้าลี้ หมอกด้านหน้าหวังหลินกระจัดกระจายและจากนั้นเซียนหกคนปรากฏด้านหน้าระยะสายตา!

“เป็นพวกเขา!” หวังหลินจดจำตัวตนของทั้งหกคนนี้ได้ทันที!

เพียงชั่วขณะนั้นเองชายชราที่นั่งอยู่ตรงกลางพลันลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาปลดปล่อยแสงสีทองพร้อมกับตะโกนออกมา “สหายเซียนคนใด? ข้ามีนามว่ากรีด!”

เสียงตะโกนของกรีดทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวรอบด้านพลันเปลี่ยนไปและพวกเขายืนขึ้นทันที ทว่าเฉินหลงไม่ได้ทำตามด้วยแต่แววตาเกิดประกายแสงลี้ลับ หากมองใกล้ๆจะเห็นได้ว่าในแววตาเกิดความสุขใจ!

โจวยี่พาสัมผัสวิญญาณของหวังหลินกลับเข้าไปในหมอกม่วงและเลือนหายไป กรีดมีสีหน้าไม่ชอบใจและพ่นลมหายใจเย็น เขาตบกระเป๋าแต่ลังเลในชั่วขณะและไม่ได้นำสมบัติวิเศษใดออกมา

สัมผัสวิญญาณอีกฝ่ายประหลาดมากซึ่งทำให้เขาลังเล สัมผัสวิญญาณนี้ดูเหมือนจะเป็นเซียนขั้นเทวะระดับต้นเท่านั้นแต่ว่ามีสัมผัสวิญญาณอื่นอยู่ข้างในด้วย สัมผัสวิญญาณที่สองกลับแข็งแกร่งและแฝงเจตจำนงกระบี่แหลมคม!

ก่อนที่เขาจะเข้าใจความสามารถอีกฝ่าย กรีดจะไม่ไปตอแยฝ่ายตรงข้ามแน่นอนโดยเฉพาะที่ตัวเองยังบาดเจ็บอยู่ด้วย ระดับบ่มเพาะดั้งเดิมของเขาคือขั้นมายาหยิน แต่ตอนนี้ต้องมาตกลงที่ขั้นเทวะระดับปลาย ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปหลายปีเขาก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูมาให้ถึงจุดสูงสุดของตัวเองได้

นี่ไม่ได้หมายความว่าซือถูหนานทรงพลังที่สุด เพียงแต่หากเซียนคนใดที่อยู่ขั้นมายาหินแล้วระดับบ่มเพาะตกลงมา มันจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวเพื่อจะไปถึงที่เดิม! นอกจากนั้นแล้วขั้นมายาหยินรูปธรรมหยางเป็นก้าวสำคัญระหว่างจุดแรกของขั้นที่สอง เสมือนกับตอนที่ผีเสื้อทำลายรังไหมของมันนั่นเอง

แม้แต่ซือถูหนาน หากไม่ใช่ว่าเขาได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังลึกลับในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม เขาคงไม่สามารถฟื้นฟูระดับบ่มเพาะของตัวเองได้

อย่างไรก็ตามแม้ระดับบ่มเพาะของกรีดจะถูกจำกัดไว้ที่ขั้นเทวะระดับปลาย ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ใช่สิ่งที่เซียนเทวะทั่วไปจะมีได้ เพิ่มด้วยสมบัติที่เขาสะสมมาตลอดหลายหมื่นปี แม้แต่เซียนขั้นมายาหยินยังต้องการฆ่าเขา หากพวกเขาระมัดระวังตัวน้อยลงไปชั่วขณะนั่นก็ทำให้กรีดหนีรอดได้แล้ว

โจวยี่นำสัมผัสวิญญาณของหวังหลินกลับมาและให้คืนสู่ร่างกาย

“ในหกคนนั้นมีอยู่ห้าคนเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ต้าหลัว และคนสุดท้าย…เรียกกันว่ากรีด!” หวังหลินไม่ได้อธิบายเรื่องราวของกรีดมากนัก

“สำนักกระบี่ต้าหลัว! ใช่แล้ว ไม่สงสัยเลยว่าทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง…สำนักกระบี่ต้าหลัว!! หวังหลิน เจ้ามีแผนจะทำอะไร?” โจวยี่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบออกมาจากกระบี่สวรรค์

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยตอบ “ผู้อาวุโสอย่าหาเรื่องประหลาดเช่นนี้…ระดับบ่มเพาะของกรีดสูงมากและศิษย์ของหลิงเทียนโฮวทั้งหมดยังมีเศษปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮว ผู้น้อยยังรู้ว่าพวกเขาหายตัวไปเมื่อราวร้อยปีก่อน ผู้น้อยมั่นใจแปดในสิบส่วนว่าพวกเขาต้องมีเหตุผลบางอย่างที่จะอยู่ที่นี่ไม่เช่นนั้นจะถูกขังมาร้อยปีได้อย่างไร!”

“อีกทั้งผู้อาวุโสได้สังเกตไหมว่ามีศิษย์หนึ่งในนั้นเผยรอยยิ้มแววตามีความสุข? ข้าตรวจสอบระดับบ่มเพาะของเขาและพบว่าเป็นขั้นเทวะระดับต้น คนที่บรรลุขั้นเทวะทุกคนจะไม่มีเล่ห์เลี่ยมใดเลยหรือ? เขาจะเผยสีหน้ามีความสุขได้อย่างไร…ใบหน้าความสุขนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณ!”

หวังหลินยิ้มบางและดวงตากระพริบแห่งปัญญา เขาวิเคราะห์ “ศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวคนนี้น่าสนใจ เขากำลังท่าทางมีความสุขเพื่อบอกเราว่าพวกเขาไม่ได้ร่วมมือกับกรีด นั่นควรจะเป็นข้ออ้างให้ช่วยเหลือ”

ร่างโจวยี่ปรากฏตัวเหนือกระบี่สวรรค์ เขามองหวังหลินด้วยแววตาตกใจ เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสถึงความน่ากลัวของหวังหลินได้! ระดับบ่มเพาะของหวังหลินคือขั้นเทวะระดับต้นเท่านั้น หากเขาไม่ได้ยกผลึกเทวะให้หวังหลิน หวังหลินคงไม่สามารถผ่านบททดสอบแห่งชีวิตและความตายมาได้

ในความคิดของโจวยี่ หวังหลินดูเป็นผู้เยาว์มีคุณธรรมและเห็นอกเห็นใจ แม้เขาจะเป็นคนกตัญญูแต่หวังหลินไม่ได้มีสถานะเดียวกันกับเขา

อย่างไรก็ตามความประทับใจของโจวยี่ต่อหวังหลินได้เปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากได้ยินคำพูดหวังหลิน

“แผนการของเด็กคนนี้ซ่อนไว้อย่างล้ำลึกและสังเกตการณ์ทุกรายละเอียดได้เป็นอย่างดี หายากนักที่ข้าจะเจอคนแบบนี้! สติปัญญาของเขาช่างน่ากลัว โดยเฉพาะความเด็ดขาดของเขา การสามารถบรรลุระดับบ่มเพาะนี้ด้วยเวลาเพียงแค่ร้อยปีนับว่าไม่ได้มาด้วยโชคแน่นอน! ข้าประเมินเขาต่ำไป!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!