651. ชุดเทา
ป้ายสิทธิ์นี้เป็นสีม่วงสนิทและมีร่องรอยแสงสีทองอยู่ภายใน มันดูเหมือนเศษทองม่วงมากกว่า เมื่อสัมผัสมันจะรู้สึกได้ว่ามีเนื้อสัมผัสเป็นไม้หรือไม่ก็ทอง
จักรวาลกว้างใหญ่เกินกว่าคนคนหนึ่งจะรู้จักวัตถุทุกชิ้น หวังหลินไม่ได้เพ่งความคิดว่าของชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นจากอะไรแต่เขากลับมองดูลักษณะของมันอย่างละเอียด
บนผิวป้ายสิทธิ์มีสัญลักษณ์แตกหักบางส่วน หลังจากที่ลังเลไปชั่วขณะ หวังหลินจึงตรวจสอบมันด้วยสัมผัสวิญญาณและเผยท่าทีประหลาดใจ
“ที่เก็บของ…”
ข้างในนั้นมีมิติพิเศษอยู่ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยหมอกม่วงแต่มันคืออุปกรณ์เก็บของจริงๆ
มีของอยู่ข้างในชิ้นเดียวเท่านั้นคือกระบี่ มันไม่ใช่กระบี่สวรรค์แต่เป็นหนึ่งในกระบี่จากสิบสองกระบี่หลิงเทียนโฮว
หลังครุ่นคิดหวังหลินจึงสรุปได้ว่ากระบี่เล่มนี้มาจากศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวคนสุดท้ายที่ถูกขังไว้ในสายหมอก ด้วยเหตุผลบางอย่างตอนที่ศิษย์คนนั้นถูกสังเวยให้กับป้ายสิทธิ์ กระบี่จึงถูกดูดซับเข้าไปด้วย
เพียงแค่คิดกระบี่เล่มนั้นก็ลอยออกมาแทงไปบนพื้นที่ด้านข้างหวังหลิน
หลังจากตรวจสอบมิติข้างในป้ายสิทธิ์อย่างละเอียด หวังหลินจึงถอนสัมผัสวิญญาณมองไปที่มันและคิดอีกต่อนึง
“นอกจากวัตถุดิบของป้ายสิทธิ์นี้แล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรพิเศษ หากข้าไม่ได้เห็นมันเกิดขึ้นจากสายหมอกตรงๆ ก็คงยากที่จะจิตนาการว่าของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนเช่นเทียนหยุน หลิงเทียนโฮวและบรรพชนโลหิตต้องการขโมย!”
“ป้ายสิทธิ์นี้เป็นกุญแจสู่การเปิดถ้ำ มีเพียงถ้ำปลอมทั้งสี่แห่งเท่านั้นที่สามารถเปิดประตูบานสุดท้ายได้ จากปากคำที่เหยาซีเชว่เล่ามา เทียนหยุนและคนอื่นๆยังไม่รู้ว่ามีถ้ำที่สี่อยู่…”
“แต่บรรพชนโลหิตรู้เรื่องนี้”
“เฉินหลงและกรีดต่างรู้ว่าข้าได้ป้ายสิทธิ์ แต่เฉินหลงไม่ได้เห็นทุกอย่าง หากข้าเป็นเขาข้าคงคิดว่ากรีดคงได้ป้ายสิทธิ์ไปตอนท้ายแน่!”
หลังสูดหายใจลึก หวังหลินถอนสายตาออกมามองไปที่รอยร้าวที่ภายนอกมีแต่ความมืดมิด หวังหลินเผยใบหน้าขมขื่นออกมา
“แม้ข้าจะได้ป้ายสิทธิ์ แต่จะทำอะไรได้เมื่อข้าถูกขังไว้ที่นี่และออกไปไม่ได้? ไม่จำเป็นต้องพยายามเคลื่อนที่พริบตาเลยเพราะคนเจ้าเล่ห์แบบกรีดก็ยังไม่เคลื่อนที่พริบตาสักครั้ง ข้าแค่ไม่รู้ว่าข้าจะเข้าไปในถ้ำจากที่นี่ได้อย่างไร” ดวงตาหวังหลินหรี่แคบลงพลันสัมผัสกระเป๋าและผลึกชิ้นหนึ่งปรากฏในฝ่ามือ
หลังผ่านไปนานหวังหลินก็ถอนหายใจและยิ้มอย่างขื่นขม “ข้าไม่สามารถกระตุ้นมันได้!”
หวังหลินขบคิดและมองไปรอบๆ รอยร้าวนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มันกว้างเพียงไม่กี่สิบฟุตเท่านั้น เขาสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจนเพียงแค่มองครั้งเดียว หลังจากนั้นไม่นานนักหวังหลินก็ยืนขึ้นและมาถึงตรงทางเข้ารอยร้าว พลังดึงดูดจากข้างนอกไม่เคยหยุดลง หวังหลินเคลื่อนไปข้างหน้าได้เล็กน้อยก็สามารถสัมผัสมันได้ชัดเจน แม้แต่ร่างกายก็แสดงอาการว่าจะถูกดูดเข้าไปข้างใน
หวังหลินถอยกลับ ดวงตากระพริบแววาว
“ตอนนี้เจ้าอสูรยุงจะเป็นอย่างไรบ้าง…การต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสโจวยี่และกรีดจะเป็นแบบไหน…อย่างไรก็ตามแม้โจวยี่จะเอาชนะได้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าข้าอยู่ไหนอยู่ดี นอกจากนั้นแล้วแม้แต่สัมผัสวิญญาณกระบี่ของเขาก็ไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้”
หวังหลินมองขึ้นไปบนผนัง ร่างกายเคลื่อนไหวพร้อมกับกระตุ้นใช้วิชาหลบหนีปฐพี ทว่าเมื่อร่างกายสัมผัสกำแพงในไม่นานนัก หวังหลินจึงหยุดลง ร่อนลงบนพื้นดินนำธงวิญญาณออกมา ดึงวิญญาณออกมาหนึ่งดวงโยนเข้าใส่ผนังและสังเกตการณ์อย่างละเอียด
วิญญาณดวงนั้นลอยเข้าไปในผนังราวกับควัน แต่หวังหลินสัมผัสเสียงกรีดร้องโหยหวนจากวิญญาณดวงนั้นได้ ราวกับวิญญาณที่เข้าไปข้างในถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆและถูกดูดเข้าไปที่ก้นหลุมด้วยแรงดึงดูดรุนแรง
“จุดอันตราย!” หวังหลินเผยแววตาเจ็บปวดที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เขาถอนหายใจและนั่งสมาธิลงบนพื้นพร้อมกับใบหน้ามืดมน หลังจากนั้นสัมผัสกระเป๋านำกระบี่สามเล่ม แขนแห้งเหี่ยวและกระโหลกออกมา
กระบี่สามเล่มนี้คือกระบี่จากสิบสองกระบี่ รวมกับหนึ่งเล่มในป้ายสิทธิ์พวกมันจึงเป็นอสรพิษ ม้า ไก่และสุนัข
ตอนนี้หวังหลินมีกระบี่ของสิบสองกระบี่จำนวนเจ็ดเล่มไปแล้ว
ค่ายกลสามกระบี่ลอยออกมาจากกระเป๋าหวังหลินเช่นเดียวกันและตกลงด้านข้างเขา หวังหลินสะบัดแขนขวาและเจ็ดกระบี่ลอยล้อมรอบทันที หวังหลินอ้าปากพ่นพลังดั้งเดิมบางส่วนออกมา พลังดั้งเดิมได้ห่อหุ้มไปรอบกระบี่เจ็ดเล่ม
พลังดั้งเดิมของหวังหลินมีเส้นสายพลังสายฟ้าออกมาด้วย หลังจากสัมผัสกับกระบี่ สายฟ้าได้แล่นผ่านตลอดจนทั่วกระบี่ กระบี่เจ็ดเล่มได้เชื่อมต่อกับสายฟ้าก่อเกิดเป็นค่ายกลกระบี่อันลี้ลับ
“เจ็ดกระบี่สามารถสร้างค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราได้! ทั้งยังเชื่อมกับสายฟ้าของข้าจึงทำให้พลังอำนาจของค่ายกลเพิ่มขึ้นถึงสามในสิบส่วน!” หวังหลินถอนสายตาออกมา พลังดั้งเดิมของเขากำลังปรับแต่งกระบี่ หวังหลินไม่ได้ให้ความสำคัญพวกมันอีก เขาหันกลับมามองแขนแห้งเหี่ยวและกะโหลกที่เหลืออยู่
เจ้าของวิญญาณดั้งเดิมและมีปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวยังถูกผนึกข้างในนี้
หวังหลินมีประสบการณ์ในการปรับแต่งวิญญาณและแยกปราณกระบี่ เพียงพลังดั้งเดิมของหวังหลินก็ทำให้เขาแยกปราณกระบี่หลิงเทียนโฮวออกมาและกลืนกินได้แล้ว เดิมทีหลังกลืนกินปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮว วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินจะเกิดคลื่นความเจ็บปวดและหยุดชะงักเล็กน้อยจึงค่อยๆฟื้นฟูกลับมา
ทว่าตอนนี้หลังกลืนกินปราณกระบี่สองสายในครั้งเดียว ไม่เพียงแต่วิญญาณของหวังหลินจะไม่เกิดความรู้สึกอึดอัดแต่เขากลับรู้สึกสะบายอย่างยิ่ง
หลังตรวจสอบวิญญาณดั้งเดิมและพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หวังหลินจึงยิ้มกว้างกับตัวเอง “นี่ข้ายังถือว่าเป็นวิญญาณดั้งเดิมอยู่หรือไม่…” หวังหลินจับกระเป๋าอีกครั้งนำทรงกลมกฏเกณฑ์ออกมา
ทรงกลมขยายขนาดขึ้นสูงห้าฟุต กฏเกณฑ์ในทรงกลมกำลังกระพริบอยู่นับไม่ถ้วน หวังหลินใช้ฝ่ามือขวาสร้างผนึกและชี้ไปที่ทรงพลมพอดิบพอดี
ทรงกลมกฏเกณฑ์เริ่มแยกออกตรงกลางราวกับดอกไม้กำลังเบ่งบาน เผยให้เห็นบุรุษที่หล่อเหลาอยู่ภายใน
เขาคือตู้เจี้ยนแห่งกองกำลังสีแดง ดวงตาหลับสนิทและใบหน้าซีดเผือด หลังจากถูกกฏเกณฑ์ยกขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นจ้องหวังหลิน ใช้เวลาสักพักก่อนที่ดวงตาว่างเปล่านั้นจะกลับคืนสีดังเดิม
เมื่อตรวจสอบตัวเองแล้วเขาพบว่าวิญญาณดั้งเดิมถูกผนึกเอาไว้ทำให้ตอนนี้จึงเป็นเพียงแค่คนทั่วไป
หวังหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พี่ตู้ ตอนนี้ท่านบอกความลับของอาจารย์มาได้แล้ว!”
ตู้เจี้ยนเผยใบหน้าขื่นขม เขามองหวังหลินด้วยสีหน้าซับซ้อน หลังขบคิดอย่างเงียบๆเล็กน้อยจึงกล่าวออกมา “แม้ข้าจะพูดไปแล้ว ข้ากลัวว่าคงยากนักที่จะหลีกเลี่ยงความตายพ้น…”
หวังหลินกวาดสายตาไปหาตู้เจี้ยน นัยน์ตาปรากฏแสงสายฟ้าและแทงเข้าไปในตาของตู้เจี้ยนทำให้ความคิดเขาตื่นตะลึง เขาชี้หวังหลินและอุทานออกมา “เจ้า…ดวงตาเจ้า…”
หวังหลินถอนสายตาและกล่าวอย่างสงบนิ่ง “พี่ตู้ ความอดทนข้ามีจำกัด!”
ราวกับตู้เจี้ยนไม่ได้ยินหวังหลินเลยและดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจกลัว เขายังไม่ได้ฟื้นสติดีจากสายตาจดจ้องของหวังหลินเลย ตู้เจี้ยนเผชิญกับเซียนมามากและกระทั่งเคยเห็นเซียนที่แข็งแกร่งมานักต่อนัก
เขาเคยเห็นเซียนที่มีดวงตาสายฟ้าข้างใน ทว่าสายฟ้าทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากวิชา แม้มันยังเป็นสายฟ้าแต่มันก็ไม่อาจเทียบกับสายฟ้าแห่งสวรรค์ไปได้
อย่างไรก็ตามในจังหวะนั้น สายฟ้าจากดวงตาหวังหลินได้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และกำลังมองไปที่อัสนีบาตตรงนั้น เป็นความรู้สึกของการไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเมื่อเผชิญกับอำนาจแห่งสวรรค์
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาไม่ต้องการทำเรื่องไร้สาระนี้แล้วดังนั้นจึงคว้าตู้เจี้ยนและลากเข้าไปหารอยร้าวที่กำลังเปิดอยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ ตู้เจี้ยนจึงรู้สึกตัวถึงพลังดึงดูดขนาดใหญ่นี้ได้ แม้จะมีระดับบ่มเพาะขนาดนี้เขาก็รู้สึกเหมือนวิญญาณดั้งเดิมกำลังจะถูกดึงออกจากร่างกาย
เขาเริ่มอุทานออกมาเนื่องจากความหวาดกลัว
“พูดมา!” คำพูดของหวังหลินเรียบง่าย มีเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น
สีหน้าตู้เจี้ยนซีดยิ่งกว่าเดิมและเงาแห่งความตายกัดกินร่างกาย หวังหลินคว้าตู้เจี้ยนด้วยสีหน้าสงบนิ่งและลากเข้าไปหารอยร้าวที่กำลังเปิดอยู่มากขึ้น
ตู้เจี้ยนสัมผัสถึงแรงดึงดูดจากภายนอกได้เพิ่มขึ้นสิบเท่า ตอนนี้วิญญาณดั้งเดิมถูกดึงออกไปจากร่างกายและหลุดออกจากร่าง ไม่ว่าวิญญาณของเขาจะดิ้นรนหนักแค่ไหนมันก็ยังถูกดึงออกไปจากร่างกายอย่างช้าๆอยู่ดี
ตู้เจี้ยนตะโกนด้วยร่างกายที่กำลังสั่น “ข้าจะพูดแล้ว ข้าจะพูดแล้ว!”
หวังหลินรั้งมือกลับ โยนตู้เจี้ยนไปด้านข้างและมองเขาด้วยความเย็นเยียบ
ตู้เจี้ยนตัวสั่นเบาๆพร้อมกับวิญญาณดั้งเดิมค่อยๆคืนสู่ร่างกาย น้ำตารื้นขึ้นมา “ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างที่ข้ารู้ แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่ฆ่าข้า!”
“ข้าอาจจะไม่ฆ่าเจ้าแต่จะหาทางใช้เจ้าวิธีอื่นแทน”
ตู้เจี้ยนสูดหายใจลึกมองหวังหลินด้วยใบหน้าอันซับซ้อน “สาบานด้วยเต๋าของเจ้า…”
หวังหลินขมวดคิ้วมองตู้เจี้ยน เขายกแขนขึ้นช้าๆและกำลังจะโยนตู้เจี้ยนเข้าหารอยร้าวที่กำลังเปิด
ร่างกายตู้เจี้ยนสั่นสะท้านและรีบพูดออกมา “ข้าเห็นอาจารย์กลืนกินซุนหยุน!”
ดวงตาหวังหลินเรืองแสงเป็นประกายขณะที่จ้องตู้เจี้ยนอย่างเงียบๆ
“ข้าไม่ได้เห็นด้วยตัวเองแต่ภูติภูเขาเห็นมัน หลังจากข้าเข้ามาในสำนักชะตาสวรรค์ ข้าก็ฝึกฝนวิชาที่สามารถดูดซับพลังปราณจากอสูรได้ ข้าอยู่ในหลังภูเขาตอนที่ข้าพบภูติภูเขาที่ใกล้จะสิ้นชีวิต ข้าจึงดูดซับพลังปราณของมัน แยกความทรงจำของมันออกมาบางส่วน”
“มีฉากหนึ่งในความทรงจำของมันเมื่อนานมาแล้วและนั่นเป็นตอนที่อาจารย์กลืนกินซุนหยุน!”
หวังหลินตกตะลึง
ตู้เจี้ยนรีบเอ่ยขึ้นอีก “ในความทรงจำนั้น ซุนหยุนและอาจารย์ต่อสู้กันอย่างยิ่งใหญ่ แต่ท้ายที่สุดอาจารย์ก็ใช้วิชาที่กลืนกินซุนหยุนแล้วเขาก็จากไป” นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ตอนที่เขาเห็นความทรงจำในวันนั้นเขาก็ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง และในเวลาเดียวกันก็เกิดความหวาดกลัวด้วย
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเคารพและกวาดกลัวเทียนหยุนตลอดเวลา ความลับนี้ถูกฝังลึกในจิตใจเขาและครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาบอกคนอื่น
หวังหลินถาม “ตอนนั้นอาจารย์มีท่าทางเช่นไร?”
“นี่…ดูเหมือนจะมีความเสียจริง มันเป็นความเศร้า” ตู้เจี้ยนรำลึกเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างลังเลราวกับกำลังคิดบางอย่าง จากนั้นเอ่ยขึ้นมา “แต่ว่าในความทรงจำของภูติภูเขานั้นมีอาจารย์บางอย่างประหลาดไป ข้าไม่เคยเห็นอาจารย์สวมชุดสีเทามาก่อน!”
ดวงตาหวังหลินส่องประกายสว่างเจิดจ้าจ้องไปที่ตู้เจี้ยนและเอ่ยขึ้นทีละคำ “เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่าเขาสวมชุดสีเทา?”
ตู้เจี้ยนพยักหน้า “ใช่แล้ว อาจารย์สวมชุดสีเทา!”