Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 663

Cover Renegade Immortal 1

663. ซุนเล่า

หลังจากการสะบัดฝ่ามือขวา สมบัติวิเศษทั้งสามเปล่งประกายแสงและร่อนลงบนฝ่ามือของหวังหลิน พวกมันหมุนช้าๆส่องแสงวิบวับสะดุดตา

คุณภาพของสมบัติเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้กับสมบัติสวรรค์ของแท้เลย อย่างไรก็ตามสามารถใช้ปราณสวรรค์เพื่อกระตุ้นเขตแดนและวิชาที่อยู่ข้างในได้

ถึงแม้จะไม่มีพลังปราณสวรรค์ เซียนขั้นต่ำกว่าขั้นแปลงวิญญาณสามารถใช้งานสมบัติเหล่านี้ได้ด้วยพลังปราณของตนเอง แต่ประสิทธิภาพก็จะด้อยลงมาอย่างมาก

หวังหลินเอ่ยอย่างแผ่วเบา “สมบัติสวรรค์เทียม!”

สมบัติวิเศษเหล่านี้คมีคุณภาพสูงที่สุดที่เขาสามารถสร้างได้ นอกจากนั้น หวังหลินมีความเข้าใจเพียงแค่ผิวเผินในสร้างสมบัติ ความเข้าใจส่วนใหญ่ของเขามาจากหินหยกแคว้นฮัวเฝินแห่งดาวซูซาคุ

กล่าวโดยปกติแล้ว เขาไม่อาจสร้างสมบัติใดได้เลย แต่เนื่องจากหวังหลินมีเต๋าของตนเองและบรรลุขั้นเทวะสิ่งที่สำคัญคือการควบคุมกฏเกณฑ์ได้

หวังหลินถอนสายตาออกมาจากสมบัติทั้งสาม เขาไม่พอใจกับสมบัติเหล่านี้ หลังครุ่นคิดสักพัก พลันหยิบกระจกขึ้นมาและเริ่มคาดคะเนกฏเกณฑ์

“หากข้าสามารถทำให้สมบัติเหล่านี้ให้ผลลัพธ์สืบทอดเช่นมรดก มูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้นมากแน่นอน” หวังหลินหลับตาและเริ่มประเมินต่อไป

สมบัติธรรมดาสามารถประทับสัมผัสวิญญาณลงไปเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างอิสระ แต่เมื่อมันถูกขโมย ผู้ที่ได้มันไปจะต้องลบล้างสัมผัสวิญญาณนั้นออกและมันจะกลายเป็นของผู้ใช้คนใหม่

แต่สมบัติมรดกเท่านั้นที่ไม่เพียงแต่ยังใช้สัมผัสวิญญาณแต่มันยังต้องการวิธีการพิเศษในการควบคุมด้วย ซึ่งแม้จะมีคนอื่นได้ไปก็ไม่สามารถใช้ได้

ดังนั้นสมบัติวิเศษที่มีการสืบทอดนี้จึงมีมูลค่ามากกว่าเหล่าสมบัติในระดับเดียว

ธงวิญญาณพันล้านดวงของหวังหลินและราชรถสังหารเทพเป็นสมบัติมรดกเช่นกัน หวังหลินตาของเขาและเริ่มขบคิดเกี่ยวกับความลับของมัน แต่มีเพียงผู้เชี่ยวชาญการสร้างเท่านั้นที่สามารถสร้างสมบัติมรดกได้ วิธีการดังกล่าวไม่ได้เผยแพร่ออกมาได้ง่ายๆ และสมบัติเหล่านั้นต่างสร้างขึ้นมาได้ยากยิ่ง จึงทำให้สมบัติมรดกเป็นของหายาก

ไม่นานหลังจากนั้นหวังหลินก็ลืมตาขึ้น เขาขมวดคิ้วและพึมพำออกมา “มรดก…ข้าไม่สามารถเข้าใจมันได้ บางทีข้ากำลังคิดปัญหานี้ผิดวิธี ข้าไม่จำเป็นต้องหาวิธีการทำให้มันต้องใช้การสืบทอดแต่แค่วางกฏเกณฑ์ง่ายๆลงไป จากนั้นข้าจะขายหินหยกเพื่อใช้ปลดผนึกกฏเกณฑ์พร้อมกับสมบัติ ด้วยวิธีนี้แม้ว่าจะไม่มีการสืบทอดมรดก มันก็ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน ”

สายตาหวังหลินพลันสว่างขึ้น จุดสำคัญของการเลียนการสืบทอดนี้คือกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่ง ถ้ากฎเกณฑ์ภายในแข็งแกร่งพอจนไม่มีใครสามารถทำลายมันได้ แม้ว่ามันจะไม่มีการสืบทอดของจริง มันก็ให้ผลลัพธ์เดียวกันกับสมบัติที่มีการสืบทอด

แสงประกายกฎเกณฑ์ปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังหลิน ฝ่ามือซ้ายเริ่มสร้างผนึกและวางกฏเกณฑ์บนกระจกจากนั้นวางกฏเกณฑ์ใส่ไปเรื่อยๆไม่มีหยุด กฏเกณฑ์ทั้งหลายรวบรวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นสัญลักษณ์รูนสีดำอันซับซ้อน

หลังจากนั้นสักครู่ หวังหลินมองไปรอบๆห้องสายตาหยุดตรงเทียน เขาชี้ไปยังเชิงเทียนจากนั้นเทียนพลันสว่างขึ้นทันที เมื่อควันกำลังจะถูกดูดเข้าไปในลูกปัดบนเพดาน หวังหลินบังคับควันและประทับมันไปบนสัญลักษณ์รูน

สัญลักษณ์เริ่มละลายทันทีกลายเป็นสายควันประหลาดลอยเข้าสู่กระจก หวังหลินสัมผัสกระเป๋า นำหินหยกออกมาและใส่วิธีทำลายกฏเกณฑ์ที่อยู่ในหินหยกนี้

หลังจากวางกระจกลง หวังหลินไม่ได้วางกฏเกณฑ์ลงบนสมบัติอีกสองชิ้นที่เหลือ ด้านนอกท้องฟ้าค่อยๆสว่างขึ้น หวังหลินหลับตาลงและเริ่มทำการบ่มเพาะ

แสงอาทิตย์ปกคลุมท้องฟ้าและค่อยๆกลบความมืดไปอย่างช้าๆ หวังหลินลืมตา ยืนขึ้นและเปิดประตู แสงแดดกระทบกับร่างกายก่อเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจทันที ตอนนี้พลังปราณรอบตัวเขามีมากมายซึ่งทำให้จิตใจของเขาปลอดโปร่งกระจ่างชัด

จิตใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสงบ ร่างหวังหลินส่องประกายและเดินไปข้างหน้า ขณะที่เขาเดินผ่านทางออก ชายหนุ่มที่อยู่ภายใต้ก้อนหินยังคงฝึกฝนโดยการดูดซับแกนแห่งฟ้าดิน

จนเมื่อหวังหลินออกไปไกลแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นก็ลืมตาและเผยใบหน้าดูถูก

“เซียนต่างถิ่นคนไหนถึงไม่ใช้การฝึกฝนตลอดทั้งวันและดูดซับพลังปราณให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้? แม้ระดับพรสวรรค์ของเขาจะธรรมดาแต่มันก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนหนักหน่วง ทว่าคนคนนี้กลับยกเลิกฝึกฝนในตอนเช้าในยามที่พลังปราณหนาแน่นที่สุด ข้ามั่นใจว่าเขาจะไม่สามารถสร้างวิญญาณแรกกำเนิดของตัวเองได้แน่!”

เด็กหนุ่มถอนสายตากลับมาและเริ่มบ่มเพาะอีกครั้ง ระดับความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างยิ่งราวกับพลังปราณที่กำลังดูดซับตอนนี้ถูกขโมยมาจากคนอื่น

เมื่อวานที่หวังหลินเข้ามานั้น เขาเห็นว่ามีตลาดค้าขายอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง มีเซียนมากมายแลกเปลี่ยนสมบัติวิเศษและวัตถุดิบที่นั่น

“ที่นี่มีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไม่มากนัก จึงไม่ใช่ที่ที่น่าจะไปมากที่สุด” หวังหลินหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ก้อนหินและเดินไปหา

หวังหลินคำนับฝ่ามือและกล่าวอย่างอ่อนน้อมว่า “สหายเซียน ข้าสงสัยว่ามีสถานที่ใดบ้างในเมืองที่มีการซื้อขายสมบัติระดับสูง”

ชายหนุ่มลืมตาขึ้น นอกจากสายตาที่ดูถูกดูแคลนแล้วเขายังมีคำพูดที่หมดความอดทนด้วย ” อารามสมบัติทั้งหมดตั้งอยู่ในด้านตะวันออกของเมือง!” หลังจากนั้นเขาก็เมินเฉยต่อหวังหลิน

หวังหลินยิ้มบางและจากไป

เด็กหนุ่มหัวเราะเยาะ “เพียงแค่เซียนขั้นแกนลมปราณเท่านั้นแต่กลับอยากแลกเปลี่ยนสมบัติระดับสูง ข้ากลัวว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าอารามด้วยซ้ำ!”

หลังจากเดินออกจากส่วนเหนือของเมือง หวังหลินเดินเรื่อยๆไปทางฝั่งตะวันออก ที่นี่ไม่ได้มีคนธรรมดามากนักเพราะส่วนใหญ่เป็นเซียน ร้านค้าที่นี่มีบรรยากาศน่าประทับใจมากจากทั้งสองฝั่งถนน

มีบางร้านที่มีหินวิญญาณขนาดใหญ่มหึมาอยู่ข้างหน้า หินวิญญาณนี้ยังไม่ได้ถูกปรับแต่งดังนั้นจึงยังคงรูปทรงเดิมเอาไว้และปลดปล่อยพลังปราณหนาแน่น

หวังหลินมองอย่างสนใจ การตกแต่งแบบนี้ได้บอกทุกคนถึงพลังอำนาจของเหล่าร้านค้า

ต้องกล่าวว่าเซียนทั่วไปไม่สามารถขุดหินวิญญาณเช่นนี้ออกมาจากสายแร่วิญญาณได้

ขนาดของหินวิญญาณยังสัมพันธ์กับขนาดของร้านค้า หินวิญญาณบางก้อนที่อยู่นอกร้านสูงถึงยี่สิบฟุต เพียงการมีอยู่ของหินวิญญาณแต่ละก้อนก็สร้างแรงกดดันได้แล้ว

มีทั้งร้านค้าที่มีหินวิญญาณระดับสูงอยู่ข้างนอก การค้นพบนี้ทำให้หวังหลินเกิดสนใจร้านนี้ขึ้นมา

เขามองร้านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ร้านนี้ไม่ใหญ่โตและมีเพียงสองชั้นเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้โอ่อ่าเหมือนร้านอื่นๆโดยรอบ มันกลับองอาจอย่างยิ่ง มีป้ายโลหะขนาดใหญ่เขียนด้วยลายมือว่า “อารามไผ่เขียว”

หวังหลินยังไม่ได้เข้าไปด้านใน เขาถอนสายตาและเดินไปด้านหน้า สุดทางตะวันออกของเมืองมีศาลาขนาดใหญ่ ที่นั่นไม่ได้หินวิญญาณเพียงก้อนเดียวแต่กลับมีถึงแปดก้อน หินวิญญาณระดับสูงแปดก้อนนี้มีความสูงราวสามสิบฟุตและดูเหมือนจะวางในค่ายกล ซึ่งพวกมันแผ่คลื่นแรงกดดันวิญญาณออกมาด้วย

อารามนี้ดูเหมือนจะกลมกลืนกับบริเวณโดยรอบ แค่มองไปที่มันก็รู้สึกว่ามันเลือนลางเล็กน้อย มีแถบหินเรียงรายเป็นคำสามคำแกะสลักไว้ “อารามกองสมบัติ”

แรงกดดันแผ่กระจายออกมา มีกระทั่งกฏเกณฑ์ซ่อนไว้อีกชั้นสำหรับป้องกันการใช้สัมผัสวิญญาณไม่ให้ตรวจสอบภายในได้ หวังหลินบังคับไม่ได้ใช้สัมผัสวิญญาณเข้าตรวจสอบและไม่ค่อยสนใจอารามกองสมบัติเท่าไรนัก

หวังหลินก้าวเข้ามาข้างในแต่ก็ต้องขมวดคิ้วทันที เขาเห็นชายวัยกลางคนเดินออกจากอารามและปิดกั้นทางเดินของเขา เขาตรวจสอบหวังหลินและถามขึ้นมาอย่างใจเย็น “สหายเซียนคงไม่ทราบกฏของอารามกองสมบัติใช่หรือไม่?”

หวังหลินยังคงกล่าวน้ำเสียงปกติ “โอ้? กฏอะไรกันหรือ”

ชายกลางคนตกตะลึงในท่าทีเย็นชาของหวังหลิน เขาเคยเจอเซียนมามากมาย นอกจากพวกเซียนเฒ่าแล้วมีเซียนน้อยมากที่สงบนิ่งภายใต้แรงกดดันของอารามได้

“มีสองกฏในการเข้าไปและมีกฏเดียวในการออกอารามกองสมบัติของข้า เซียนต่ำกว่าขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไม่อาจเข้าไปได้! ผู้ที่ไม่มีหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งแสนก้อนก็ห้ามเข้า! ผู้ที่ไม่ทำการค้าก็ห้ามออก!”

หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย

ชายวัยกลางคนมองท่าทีของหวังหลินและตระหนักบางอย่างได้ทันที “สหายเซียนมีหินวิญญาณหนึ่งแสนก้อนหรือไม่?”

หวังหลินไม่ได้มีหินวิญญาณมากนักในกระเป๋า นอกจากนั้นเมื่อบรรลุขั้นแปลงวิญญาณแล้วเขาก็ใช้แต่หินหยกสวรรค์เป็นหลัก

ชายวัยกลางคนยิ้ม ”สหายเซียนมีคุณสมบัติไม่เพียงพอในการเข้าไปข้างใน แม้จะเข้าไปข้างในแล้วแต่ข้าก็กลัวว่าท่านอาจไม่ได้ออกมา โปรดกลับไปเถอะ”

“สมบัติชิ้นนี้พอได้ไหม?” หวังหลินมองสายตาสงบนิ่งไปยังชายวัยกลางคนพลันตบกระเป๋า กระบี่เหินที่เขาหลอมเองก็ปรากฏขึ้น

ชายวัยกลางคนเบี่ยงสายตาไปที่กระบี่เหินและเผยท่าทางดูถูก เพียงแค่ชำเลืองมองกระบี่เล่มนี้เขาก็บอกได้ว่ามันหลอมขึ้นมาด้วยวิธีการแย่มากและไม่มีอะไรพิเศษ แม้แสงประกายบนตัวดาบจะเยือกเย็นมาก ถึงเขาจะไม่ใช้สัมผัสวิญญาณก็สามารถบอกได้เลยว่ากระบี่เหินเล่มนี้คุณภาพไม่ดีนัก มันอาจไม่ใช่สมบัติวิเศษระดับต่ำด้วยซ้ำ

เขาเป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบของอารามกองสมบัติเป็นเวลาหลายปีดังนั้นสายตาของเขาจึงดีมาก เขาเคยเห็นคนมากมายที่มีระดับบ่มเพาะต่ำพยายามขายสมบัติที่คิดว่ามันดีเยี่ยม ในความคิดของเขา หวังหลินเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

สมมุติว่ากระบี่เหินเล่มนี้มีความสามารถของมันเองแต่ชายวัยกลางคนก็ไม่สนใจ เขายิ้มและส่ายศีรษะ “เราจะไม่รับมัน โปรดออกไปเถอะ!”

หวังหลินมองอย่างเยือกเย็นก่อนจะหันตัวและจากไป

เมื่อสายตาหวังหลินตกอยู่ในสายตาชายวัยกลางคน มันทำให้รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นเทลงบนหัวและทำให้ร่างสั่นสะท้าน สายตาของหวังหลินเย็นราวน้ำแข็งหมื่นปี ทำให้วิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งค้างและเกือบจะพังทลาย

น่าหวาดกลัว เขาเดินถอยหลังหลายก้าว ใบหน้าซีดเซียว มองหวังหลินที่กำลังเดินออกไป ในใจของเขากลับรู้สึกบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับกระบี่เหินเล่มนี้

ขณะนั้นน้ำเสียงเสียงเก่าแก่ออกมาจากข้างในอาราม

“ลู่เฟิงเกิดอะไรขึ้น?”

ชายวัยกลางคนรีบหันกลับไปและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสซุน เมื่อครู่นี้มีเซียนผู้หนึ่งมาขายสมบัติวิเศษ”

ชายชราเดินออกมาจากอาราม เขาหลังค่อม ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งเวลาและสายตาสลัว เขามองไปที่ชายวัยกลางคน “สมบัติแบบใด?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!