732. บรรลุจุดสูงสุดและความสนใจของฉวี่ลี่กั๋ว
วงกลมที่สร้างขึ้นจากแส้ฟาดวิญญาณพลันหดลง จากนั้นเปลี่ยนเป็นลำแสงและหายไป
หลังจากผสานเขตแดนเข้าไปมันจึงไม่มีรูปร่างอีกแล้ว มันเหมือนกับเขตแดนหนึ่งที่ไม่สามารถมองเห็นแต่ยังรู้สึกได้
ฉวี่ลี่กั๋วผู้แทบแตกสลายได้ถอยกลับมาสองสามก้าว สายตายังคงหวาดกลัวรุนแรง มันสูญสิ้นความโอหังก่อนหน้านี้ทั้งหมดและทำหน้าประจบ รีบเอ่ยออกมา “วิชาของนายท่านช่างโหดเหี้ยมจริงๆ ความจริงแล้วฉวี่น้อยเพียงแค่ทำไปเพื่อให้นายท่านฝึกฝน ความจงรักภักดีของฉวี่น้อยต่อนายท่านสูงล้ำเทียมฟ้าไม่คิดก่อกบฏเลยสักนิด!”
หวังหลินมองฉวี่ลี่กั๋ว “เมื่อเจ้าสามารถออกมาได้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปเข้าไปในกระเป๋า เจ้าจงอยู่ระแวกภูเขาในรัศมีห้าพันลี้แห่งนี้ แล้วเข้าใจเจตจำนงกระบี่โบราณซะ!”
ฉวี่ลี่กั๋วตกตะลึง มันไม่คาดว่าเจ้าอสูรร้ายตัวนี้จะปล่อยไปง่ายๆ สายตามันเปลี่ยนไปและรีบพูดขึ้น “นายท่าน ฉวี่ลี่กั๋วไม่เต็มไปที่จะไปจากท่าน ข้าเพียงรู้สึกแน่วแน่เมื่อข้าอยู่ใกล้ท่าน” ขณะที่พูดออกมามันก็มองหวังหลินอย่างละเอียด
หวังหลินพยักหน้าด้วยท่าทางคงเดิม “เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จงอยู่ที่นี่แล้วกัน”
ฉวี่ลี่กั๋วยิ้มแต่หัวใจรู้สึกขมขื่น “เจ้าอสูรร้ายตนนี้จะปล่อยข้าให้ท่องเที่ยวอิสระภายในรัศมีห้าพันลี้แห่งนี้หรือ? นี่มันไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมกับนิสัยของอสูรร้ายตนนี้”
“ต้องเป็นกลลวงบางอย่างแน่! ฮึ่มโชคดีที่ข้าฉลาด ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะเดือดร้อนกว่านี้”
ฉวี่ลี่กั๋วรู้สึกภูมิใจมากขณะคิดแบบนี้ มันรีบสร้างรูปร่างออกมาและนั่งลง หลังจากนั้นสักพักมันกระวนกระวายใจเล็กน้อย มองไปที่หวังหลินเป็นครั้งคราวเพื่อพยายามหาเบาะแส
หวังหลินหยุดให้ความสนใจฉวี่ลี่กั๋วและตบกระเป๋า เจ้าอสูรยุงและคางคกสายฟ้าปรากฏขึ้นทันที อสูรยุงนอนอยู่บนหลังเจ้าคางคกสายฟ้าอย่างสบายใจ หลังจากมันปรากฏขึ้น มันร้องออกมาหาหวังหลินแต่ก็ยังนอนอยู่บนนั้นเหมือนเดิมราวกับไม่ยอมจากไปไหน
ขณะที่พวกมันปรากฏออกมา อสูรยุงตัวอื่นๆก็ตามมาด้วย แม้ว่าพวกมันยังถือว่าอยู่ในสภาวะตัวอ่อนและยังไม่เจริญเติบโตดีนัก พวกมันยังคงดุร้ายยิ่ง
ส่วนเจ้าคางคกสายฟ้า ดูเหมือนมันจะถูกอสูรยุงน่ารังเกียจใช้เป็นที่นอน หลังจากปรากฏขึ้นมามันจึงพองตัวและพบตำแหน่งดีดีอยู่ด้านข้างและหาที่หลับ
หลังจากนั้นไม่นานราชรถสังหารเทพก็ปรากฏออกมาเปลี่ยนเป็นอสูรสายฟ้า มันปรากฏตัวได้ไม่นานก็เห็นคางคกสายฟ้าและเริ่มคำราม
ความขี้เกียจแต่เดิมของคางคกสายฟ้าพลันหายไป ดวงตาเบิกกว้างจ้องอสูรสายฟ้าพร้อมกับพองตัวขึ้นเรื่อยๆ อสูรยุงมีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมเช่นกันจึงมองอสูรสายฟ้าด้วยความสนใจ
ฉวี่ลี่กั๋วอยู่ด้านข้าง ดวงตาเบิกกว้าง มันมองอสูรสายฟ้าอย่างละเอียดและคิดขึ้นมา ‘นายท่านคือนายท่านจริงๆ ผ่านมาไม่นานตอนนี้กลับมีอสูรโง่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว สู้กันสิ พวกเจ้าทั้งหมดสู้กันเลยจะดีที่สุด จากนั้นเจ้าก็จะรู้เองเพราะข้าอยู่กับนายท่านมานานที่สุด!’
‘อย่างไรเสียข้าต้องบอกว่านายท่านมีโชคกับพวกอสูรจริงๆ ข้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีโชคกับสาวๆน่ารักเท่านั้น!’ ใบหน้าฉวี่ลี่กั๋วเริ่มเคลิ้มพร้อมกับคิดถึงหญิงสาวตัวน้อยในดินแดนวิญญาณปิศาจ
‘อนิจจา ตั้งแต่อดีต ความเห็นใจได้นำไปสู่ความเสียใจ…นี่เป็นความจริงที่อสูรร้ายหวังหลินก็ไม่สามารถเข้าใจ’ ฉวี่ลี่กั๋วรู้สึกเศร้าอย่างเงียบๆ มันมองอสูรสายฟ้า คางคกสายฟ้าและพวกอสูรยุงก่อนจะมองไปที่หวังหลิน มันรู้สึกโดดเดี่ยวและมีความภูมิใจ
การหล่อหลอมสมบัติดำเนินต่อไป แต่คราวนี้ไม่ได้เพ่งสมาธิเนื่องจากเวลามีจำกัด หวังหลินตัดสินใจใช้สิ่งที่เขาเห็นในขั้นที่สามและปรับแต่งวิชาของตนเอง
เขาเริ่มขบคิด ท่ามกลางวิชาที่เขาควบคุมได้ วิชาทรงพลังที่สุดที่เขาสามารถใช้ได้คือตัดสวรรค์ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทะลวงขั้นแรกการบ่มเพาะและเข้าสู่ขั้นมายาหยิน มันคงใช้พลังดั้งเดิมที่มีค่าของเขาไปมากมาย
หลังจากนั้นก็เป็นวิชาเทพยับยั้ง วิชานี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาตัดสวรรค์ หากใช้ให้ถูกจังหวะคงนับได้ว่าเป็นวิชาชี้เป็นชี้ตายได้เลย
นอกจากนี้ยังมีอีกสามวิชาคือ ดัชนีแห่งความตาย ดัชนีมารและดัชนีนรก!
ทั้งยังมีแม่น้ำอเวจีที่มีความสามารถสามแบบก็คือ เต๋าสร้างแม่น้ำอเวจี ค่ายกลแม่น้ำวิญญาณ และพลังอำนาจแห่งแม่น้ำอเวจี
ที่เขาจำเป็นต้องปรับแต่งคือสามวิชาดัชนี! หากเขาใช้พวกมันต่อไปเรื่อยๆมันจะเกิดความเสียหายกับเขามากมายบนเส้นทางสู่ขั้นที่สาม สามวิชานี้ไม่สมบูรณ์และทำให้ร่างกายเขาบาดเจ็บ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมมันถึงเป็นอันตรายต่อเส้นทางสู่ขั้นที่สาม หวังหลินไม่รู้ เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น
ขณะขบคิด เขาสะบัดนิ้วมือและใช้วิชาดัชนีทั้งสามแบบเพื่อทำความเข้าใจลึกซึ้ง วิชาแต่ละวิชาใช้ขึ้นมาต่อกัน เขาค่อยๆเพิ่มความเร็วของวิชาขึ้นเรื่อยๆและเรียกใช้งานพวกมันต่อเนื่อง
หวังหลินขมวดคิ้วเมื่อเขาเกิดความรู้สึกคลุมเครือขึ้นในใจและใช้มันเรื่อยๆเพื่อหาเบาะแส กระบวนการนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อยิ่งดังนั้นไม่นานนักเขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
หลังพักผ่อนไปสักพักหวังหลินก็เริ่มอีกครั้ง
กงล้อแห่งเวลาเคลื่อนไหวและเวลาอีกสองปีเลยผ่านไป ในช่วงระยะเวลาสองปีนี้หวังหลินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปรับแต่งวิชา อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่สามารถบรรลุผลเป็นที่น่าพอใจ
หวังหลินเข้าใจว่าตัวเองใจร้อนเกินไป
แต่เขาไม่ได้ยอมแพ้และค่อยปรับแต่งวิชาของตัวเองอย่างช้าๆให้ดีที่สุด หากใครสักคนที่เป็นเซียนขั้นที่สองมาเห็นแบบนี้พวกเขาคงตกตะลึง การปรับแต่งแบบนี้เหมือนกับการอนุมานวิชาเทพดั้งเดิมจากวิชาปัจจุบัน ไม่ต้องกล่าวถึงหวังหลินเลย แม้แต่คนแบบเทียนหยุนมันก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
ช่วงระยะเวลาสองปี คางคกสายฟ้าและอสูรสายฟ้าต่างเป็นศัตรูแต่พวกมันไม่ได้ต่อสู้กัน คางคกสายฟ้าอ่อนแอเกินไปและอสูรสายฟ้ารู้สึกดูถูกดูแคลนแม้จะรู้สึกว่าคางคกสายฟ้าสามารถเป็นภัยคุกคามในอนาคต
ส่วนเจ้าอสูรยุง มันเปลี่ยนความสนใจจากคางคกสายฟ้ามาที่อสูรสายฟ้า มันบินไปรอยตัวอสูรสายฟ้าราวกับต้องการนอนอยู่บนหลัง
อย่างไรก็ตามมันพยายามทุกครั้งแต่ไม่สำเร็จและจึงเหนื่อยไปซึ่งก็ทำให้มันสนใจยิ่งขึ้น
ฉวี่ลี่กั๋วรู้สึกดูถูกต่อพวกมัน ขณะที่เวลาผ่านไปมันก็รับรู้ได้ว่าหวังหลินลืมเลือนพวกมันไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วมันก็ออกห่างจากตัวหวังหลินไปร้อยฟุตและท่องเที่ยวแถวภูเขาอย่างร่าเริง
แต่มันจำคำพูดของหวังหลินได้และไม่กล้าออกไปเกินกว่าห้าพันลี้จากที่นี่ มันค่อยๆเริ่มเบื่อเนื่องจากไม่มีคนสักคนเดียวในระยะห้าพันลี้ มีแนวโน้มว่าผู้คนอยู่ห่างจากที่นี่ออกไปไกลซึ่งทำให้ฉวี่ลี่กั๋วรันทดยิ่งนัก
ราวหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้มีเซียนบางส่วนจากข้างนอกที่เดิมทีกลัวการเข้ามาที่นี่ เจ้าฉวี่ลี่กั๋วใช้วิชาบางอย่างเพื่อหลอกลวงพวกเขาให้เข้ามาข้างใน หลังจากเล่นอยู่สักพักก็ปลดปล่อยออกไป
ทว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีเซียนคนใดกล้ามาที่นี่อีกเลย แม้ว่าอีกหลายปีหลังจากนั้น เมื่อไหร่ที่พวกเซียนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขา จิตใจแต่ละคนต่างหนาวเย็น
ในวันนี้ ขณะที่กำลังเหาะเหินไปรอบๆพื้นที่อย่างเบื่อหน่าย หวังว่าจะมีคนธรรมดาสักคนหลงเข้ามา ทันใดนั้นมันก็ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นเหมือนไม่รู้สึกมานาน
สายตาฉวี่ลี่กั๋วส่องสว่างขณะจ้องสายหมอกและเริ่มตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ในที่สุดก็มีคนมา!!!”
จางซินไฮ่ปรากฏตัวนอกสายหมอกด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ด้านข้างเขาเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าเคร่งเครียด คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำ ระดับบ่มเพาะอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายเช่นเดียวกัน
ชายวัยกลางคนค่อนข้างดูระมัดระวังตัวสายหมอกสีดำที่อยู่ห่างออกไปไกลและกระซิบขึ้น “ท่านพ่อ เราต้องเข้าไปจริงๆหรือ?”
จางซินไฮ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เราต้องไปแน่นอน อายุขัยของพ่อเจ้ากำลังจะหมดลง นอกจากทำคำขอของผู้อาวุโสให้เสร็จสมบูรณ์ การเดินทางครั้งนี้ยังเป็นการแนะนำตัวของเจ้าให้ผู้อาวุโสเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนของข้า เมื่อข้าตายไปเจ้าจะแทนที่ข้าและเป็นผู้ส่งสาส์นของผู้อาวุโสเพื่อมั่นใจได้ว่าตัวตนของตระกูลจางจะคงอยู่ตลอดไป!”
ชายวัยกลางคนลังเลและเอ่ยขึ้น “แต่ว่าท่านพ่อ ข้าได้ยินมาจากสหายบางคนว่าผู้อาวุโสคนนี้…นิสัยใจคอ…ปีก่อนสหายของข้า…” ก่อนที่จะเอ่ยจบ จางซินไฮ่จ้องเขาและทำให้ชายวัยกลางคนหุบปาก
ฉวี่ลี่กั๋วเหมือนภูติพราย รีบปรากฏตัวขึ้นมาใกล้บริเวร มันซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีดำดังนั้นจางซินไฮ่และลูกชายจึงไม่รับรู้ตัวตนของมัน ใบหน้าฉวี่ลี่กั๋วเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะมองสองพ่อลูกและพึมพำ “ใช่ ใช่ คนแก่นั่นกำลังตายและไม่สามารถทนการเล่นของข้าได้ ปู่ฉวี่เป็นคนดีและจะปล่อยร่างเจ้าไป ส่วนคนเล็กนั้น…ฮี่ฮี่…” ความตื่นเต้นของฉวี่ลี่กั๋วยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อมองชายวัยกลางจากในสายหมอก ในแววตามันมีร่องรอยความชั่วร้าย…
มันไอแห้งๆออกมาและกล่าวน้ำเสียงตรงไปตรงมา “ใครกัน? บอกชื่อเจ้ามา!”
จางซินไฮ่สูดหายใจลึก เขาหยุดห่างจากภูเขาไปห้าพันลี้และไม่ได้เข้าไป แต่ใช้การคำนับฝ่ามือและเอ่ยอย่างเคารพแทน “ผู้น้อยจางซินไฮ่ทำตามคำขอของผู้อาวุโสได้สำเร็จลุล่วง และมาขอเข้าพบผู้อาวุโส!”
น้ำเสียงแหบพร่าของเขาค่อยเข้าๆไปในหมอกสีดำ
สายตาฉวี่ลี่กั๋วเปลี่ยนไปและเอ่ยขึ้น “คนแก่เข้ามาได้ ข้าจะพาเจ้าไปพบนายท่านของข้า!” จางซินไฮ่ตกตะลึงและลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในหมอกสีดำ เมื่อเขาเข้าไปพลันรู้สึกถึงสายลมห่อหุ้มรอบตัว ร่างกายถูกส่งออกไปเบื้องหน้ารวดเร็ว
หลังจากนั้นเขาก็มาถึงยอดเขา สายลมพลันเลือนหายไป เขาเห็นหวังหลินและเอ่ยอย่างเคารพทันที “ผู้อาวุโส ผู้นอ้ยไม่ทำให้ท่านผิดหวังและรวบรวมความขุ่นข้องแค้นใจทั้งหมดบนดาวฉิงหลิงนี้มาได้” ขณะที่พูดขึ้นพลันหยิบหินหยกออกมาหลายก้อน ทั้งหมดมีอยู่หนึ่งพันก้อน เขาวางทั้งหมดไว้บนพื้นและถอยกลับหลังสองสามก้าวอย่างเคารพ
หลังฉวี่ลี่กั๋วส่งจางซินไฮ่ไป เขากลับมาที่ชายขอบของหมอกอย่างตื่นเต้น พลันมองชายวัยกลางคนด้านนอกและเอ่ยออกมา “เจ้าหนูน้อย เข้ามาสิ อย่ากลัวไปเลย ปู่ฉวี่จะให้ของดี” เมื่อเห็นชายวัยกลางคนยังคงลังเล เขาตะโกนทันที “ทำไมเจ้าถึงไม่เข้ามา?!”
ชายวัยกลางคนกัดฟันแน่นและก้าวเข้าไปในหมอกสีดำ…
หวังหลินลืมตาและตรวจสอบหินหยก เขาสัมผัสถึงความขุ่นเคืองไม่พอใจข้างในได้ทันที ในนั้นมีกลิ่นอายอาฆาตอันน่ากลัวราวกับพายุ
หวังหลินเอ่ยขึ้น “เยี่ยมมาก คนที่เจ้าพามาจะเป็นผู้ส่งสาส์นของข้านอกภูเขาเหิงหยุนในอนาคต!” หลังขบคิดเล็กน้อยเขาจึงหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ดและโยนมันให้จางซินไฮ่
“ส่งมันให้ลูกชายเจ้า หากเขามีพรสวรรค์เพียงพอ บางทีหากเขาอาศัยกลิ่นอายในเม็ดยา อาจจะได้โอกาสสูงขึ้นในการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ!”
ใบหน้าจางซินไฮ่เต็มไปด้วยความปิติยินดี เขารีบรับยาเอาไว้และเก็บกลับไปดุจสมบัติ กล่าวขึ้นมาอย่างมั่นคง “ขอบคุณมากผู้อาวุโส!”
หวังหลินสั่งการ “ความขุ่นข้องเคืองใจนี้เป็นสิ่งลวงตาและมันจะวนกลับมาใหม่ ในอนาคต ตระกูลจางของเจ้าจะรับผิดชอบในการเก็บรวบรวมมัน!” จากนั้นหวังหลินนำเมล็ดสีแดงออกมาและโยนพวกมันให้กับจางซินไฮ่
“เมล็ดพวกนี้เรียกกันว่าผลทะยานสวรรค์ ให้ผู้คนบนดาวเพาะปลูกและเร่งการเจริญเติบโตด้วยพลังปราณ อีกสิบปีค่อยเก็บเกี่ยวพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”
จางซินไฮ่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
หวังหลินได้รับเมล็ดเหล่านี้มาจากกระเป๋าของเฉียนกุ้ยซื่อ
จางซินไฮ่และลูกชายออกไปจากภูเขาเหิงยั่ว ทว่าลูกชายดูเหมือนจะตกอยู่ในอาการมึนงง ท่าทางแปลกประหลาด
ส่วนเจ้าฉวี่ลี่กั๋วถูกหวังหลินกักบริเวณ! หากสิ่งที่เจ้าฉวี่ลี่กั๋วทำลงไปเลวร้ายกว่านี้ หวังหลินคงหลอมเจ้าฉวี่ลี่กั๋วไปตรงๆแล้ว
หลังจากหวังหลินกักบริเวณให้อยู่ในระยะหนึ่งพันฟุต ฉวี่ลี่กั๋วทำสีหน้าเหมือนมันถูกใส่ร้าย มันไม่กล้าแอบออกไปอีก ที่มันทำได้คือมองออกไปด้านนอกตลอดวันและถอนหายใจอยู่ในใจ
“ข้าแค่เพียงเข้าครอบงำร่างกายเองและลิ้มรสกับความรู้สึกที่มีร่างกายเนื้อ มันเป็นเรื่องใหญ่โตอันใดเล่า…”
หวังหลินไม่มีเวลามาใส่ใจฉวี่ลี่กั๋ว หลังจากกักบริเวณมัน เขาก็เพ่งสมาธิอีกครั้งเพื่อทำวิชาให้สมบูรณ์แบบ ระหว่างนี้ก็ค่อยๆดูดซับความขุ่นเคืองใจเข้าไปในแม่น้ำอเวจี
หลังจากดูดซับเข้าไป แม่น้ำอเวจีแตกต่างจากคราวก่อน วิญญาณของแม่น้ำอเวจีค่อยๆก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่าง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การปรับแต่งวิชาทำให้หวังหลินใช้พลังงานมากเกินไป แม้เขายังทำไม่สำเร็จ แต่การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องได้ทำให้เขาค่อยๆเข้าใจทิศทางของขั้นที่สาม ดังนั้นเขตแดนของหวังหลินค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ท้ายที่สุด ปีที่ 18 ของการอยู่บนดาวฉิงหลิง เขตแดนแห่งชีวิตและความตายของเขาก็ได้บรรลุระดับสมบูรณ์โดยไม่มีข้อบกพร่อง นั่นหมายความว่าเมื่อเขามีพลังปราณสวรรค์เพียงพอ เขาจะอยู่ในจุดสูงสุดของเซียนขั้นแรกได้อย่างแท้จริง!
หวังหลินยังคงมีหินหยกสวรรค์อยู่บ้างแต่ไม่รู้ว่าจะพอหรือไม่ หากมันไม่พอหวังหลินยังคงดื่มน้ำทิพย์สวรรค์ได้ คราวนี้เขาต้องบรรลุขั้นเทวะระดับปลายสูงสุดและบรรลุถึงจุดสูงสุดของการบ่มเพาะขั้นแรก!
“ขั้นแรกของการฝึกเซียน…” ดวงตาหวังหลินส่องประกายเจิดจ้า
“ตอนที่ข้าบรรลุขั้นเทวะ ปิศาจโบราณเป้ยหลัวพูดไว้ว่าเซียนที่กำลังฝืนลิขิตสวรรค์จะเป็นจุดสนใจของทัณฑ์สวรรค์ ข้าสงสัยว่าจะมีทัณฑ์สวรรค์มาอีกครั้งหรือไม่ตอนที่ข้าทะลวงผ่านขั้นแรกและเข้าสู่ขั้นมายาหยิน!” หวังหลินมองไปบนท้องฟ้า ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ